[Review] Avengers: Infinity War: กล้าไว้ก่อน (พ่อสอนไว้) [Spoil!]

**บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ 100 %!!!

By มาร์ตี้ แม็คฟราย


นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้งของวงการหนังไทยที่ความสนใจถูกหันเหไปจุดเดียคือสงครามชิงอัญมณีคราวนี้ ทั้งเรื่องดาม่าสปอยล์อย่างมักง่ายใน Facebook อย่างที่พวกเราเห็นกัน และโหมกระหน่ำของรายได้ที่แตะร้อยล้านได้ตั้งแต่เข้าฉายเพียงสองวันแรก (และมีโอกาสสูงที่จะปาดหน้า Furious 7 กลายเป็นหนังต่างประเทศที่ทำรายได้สูงสุดในประเทศไทยในท้ายที่สุด)

สำหรับตัวหนังฉลองครบรอบ 10 ปีของ มาร์เวล สตูดิโอส์ ที่แฟน ๆ รอคอยเรื่องนี้ สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกคือความกล้า

กล้าที่จะไม่ถนอมน้ำใจคนดู - โดยเฉพาะในเรื่องประเด็นว่าใครอยู่ ใครตาย อย่างที่เห็นว่ามาร์เวลแสดงความเด็ดขาดให้เราเห็นตั้งแต่ 5 นาทีแรกด้วยการกำจัดตัวละครวายร้ายเบอร์หนึ่งที่แฟน ๆ รักที่สุดคนนึงอย่าง โลกิ ทิ้งทันที (แต่จะตายจริง หรือไม่จริง ต้องรอดูต่อไปอีกที) เพียงแค่นั้นก็คงเพียงพอกับการให้คนดูเตรียมตัวเตรียมใจดูความระทมที่ต้องลุ้นว่าใครจะเป็นรายต่อไปแน่นอน ซึ่งนี่เป็นความรู้สึกและโทนหนังที่เราไม่เคยได้พบมาก่อนจากหนัง 18 เรื่องก่อนหน้านี้

และเขาก็มาตามนัด เมื่อในฉากจบก็ทำตามอย่างที่หลายคนนึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ามันจะล้างไปครึ่งจักรวาลขนาดนั้น ..

กล้าที่จะเปลี่ยนโทนหนังของตัวเอง  - นี่เป็นการทำให้คนที่ไม่ชอบมาร์เวลและบรรดาแฟน DC ที่พูดอยู่บ่อย ๆ ว่าหนังมาร์เวลคือหนังโทนสดใส เป็นหนังครอบครัวดูได้ทุกวัย ไม่หม่น ไม่ดาร์ก ข้อครหาทั้งหมดคงหายไปในฉากจบของเรื่องจนหมดสิ้น เพราะสิ่งที่เราได้ไม่ใช่แค่ความหม่นและดาร์กจากการกำจัดตัวละครทิ้งไปเท่านั้น แต่รวมถึงการทิ้งค้างในอารมณ์สุดจะสิ้นหวัง มืดมิดทุกทางจนไม่รู้จะทำอย่างไรในสถานการณ์ที่คนครึ่งจักรวาลอันตรธานหายไป โดยไม่มีใครจะหยุดยั้งได้ แม้เราจะรู้อยู่เต็มอกว่าพวกที่สลายเป็นผุยผงทั้งหมดที่เห็น ยังไงก็จะได้กลับมาอยู่แล้วใน Avengers 4 และยังมีปริศนาของ ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ กับหนทางชนะเพียง 1 หนทางจากไม่รู้กี่ล้านหนทางที่แพ้ ซึ่งหากคิดเข้าข้างหนัง เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็กำลังเดินทางเส้นทางของ 1 หนทางชนะที่สเตรนจ์หมายถึงนั่นแหละ เราแค่ต้องอดทนและรอจนกว่าจะถึงปีหน้า ถึงจะได้รู้ว่าหนทางนั้นจะต้องทำอย่างไร

แต่หากพูดถึงตัวหนัง โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนคิดว่านี่เป็นหนังดูสนุก มีอะไรให้แฟน ๆ ได้สะใจ และร้องว้าวได้ตลอดเรื่อง โดยเฉพาะเหล่าตัวละครที่ได้รวมฉากกัน (สักที) และต้องร่วมมือการต่อสู้ในฝันที่แฟน ๆ รอคอยกันมานาน แต่ดูกันที่ความลงตัวของหนังกลับไม่เท่ากับเรื่องก่อน ๆ ที่ทำได้ลงตัวและสมบูรณ์แบบกว่านี้ โดยเฉพาะงานกำกับก่อนหน้านี้ของ โจ และ แอนโธนี รุสโซ อย่าง Captain America: Civil War อย่างการเล่าเรื่องนั้นเห็นได้ชัดว่ามีการเรียงลำดับเรื่องราวที่ไต่ระดับอารมณ์ที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ แบบแรงไม่มีตกกลางทาง ซึ่งทั้งหมดขมวดสู่ไคลแมกซ์ได้อย่างสะเทือนอารมณ์ แต่เรื่องนี้กลับไม่ใช่แบบนั้น เพราะหลังจากเปิดเรื่องด้วยความดุเดือดและความตื่นเต้นทั้งฉากบนยานของ ธอร์ ต่อเนื่องด้วย การบุกนิวยอร์กของเหล่าสมุนธานอสที่มีฉากแอ็คชั่นทั้ง ฮัลค์ ปะหมัดกับ ธานอส และพลังอันน่าตื่นตาของ อีโบนี มาว ปะทะกับพลังเวทย์สุดเทพของหมอแปลกและ หว่อง

ซึ่งหลังจากนั้นหนังกลับผ่อนแรงลง ความน่าตื่นตาและตื่นเต้นลดทอนลงไป รวมถึงช่องโหว่ของการตัดตัวละครออกไปอย่างง่ายดายเกินไป เช่น อีโบนี มาว ที่หลังจากโชว์พลังสุดเทพที่นั่งนึกตั้งนานว่าเหล่าอเวนเจอร์สจะสู้ยังไง สุดท้ายก็ตายแบบง่าย ๆ ด้วยมุกเนิร์ด ๆ จากหนังเอเลี่ยน ของ ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เป็นต้น กลายเป็นว่าหนังช่วงแรกกลับสนุกกว่าช่วงไคลแมกซ์อย่างเห็นได้ชัด เพราะฉากยกทัพสู้กันของพวกสมุนธานอสกับเหล่าอเวนเจอร์สในสมรภูมิวาคานด้านั้นนับว่าเป็นฉากแอ็คชั่นที่ธรรมดามาก ๆ หากเทียบกับฝีมือการกำกับฉากแอ็คชั่นสุดเจ๋งของพี่น้องรุสโซในผลงานก่อนหน้านี้

และยังมีเรื่องของการลดทอนพลังฮีโร่ตัวเทพจากหนังเรื่องก่อน ๆ ที่พอถึงเวลาสงครามจริง ๆ กลับทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยโชว์พลังเทพอยู่แท้ ๆ ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือ วิชั่น และ หมอแปลก ที่ถือ Time Stone อยู่ในมือแท้ ๆ กลับไม่ใช้ประโยชน์อะไร ทั้งที่เคยใช้มันต่อรองกับ ดอร์มามู มาแล้ว

ตรงกันข้ามกับ ธานอส ที่ผู้กำกับเปิดโอกาสให้โชว์พลังเก่งสุด ๆ โดยเฉพาะเมื่อได้อัญมณีอันใดอันหนึ่งมา เขาก็มักจะใช้พลังของอัญมณีต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมและพลิกสถานการณ์อยู่เสมอ ที่เห็นได้ชัดที่สุด คือการใช้ Reality Stone เปลี่ยนแปลงความจริงชนิดอ้าปากค้างทั้งโรง (จนแอบคิดได้เลยว่าเป้าหมายทำให้จักรวาลมืดมิดของ มาเลคีธ ใน Thor: The Dark World เป็นการกระทำอันสิ้นคิดของเด็ก 5 ขวบ) และการใช้ Time Stone ดับความหวังจนหมดสิ้นในช่วงไคลแมกซ์อย่างที่เรา (จนแอบด่าหมอแปลกในใจว่า ใช้ทำแบบนี้บ้างไม่เป็นเหรอ! กันเลยทีเดียว)

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ช่องโหว่ทั้งหมดสามารถกลบได้ด้วยเหตุผล 1 ในล้านหนทางชนะที่หมอแปลกได้เห็น และเป็นความฉลาดของมาร์เวลในการวางหมากกลบช่องโหว่ทั้งหมดของหนัง เพราะสุดท้ายแล้วมันก็สามารถคิดได้ว่าทั้งหมดนั้นได้เป็นไปตามที่มันควรจะเป็นแล้ว อันเป็นแผนที่กำลังเดินตามหนทางชนะเพียง 1 ที่หมอแปลกว่ามานั่นเอง

ถึงแม้ว่าเราจะเข้าใจได้ว่าไม่ว่ายังไงหนังก็มีภาคต่ออยู่แล้ว และนี่ก็เป็นหนังเรื่องแรกจากมาร์เวลที่ไม่ได้จบในตอน แต่ชัดเจนว่ามีเรื่องราวต่อแน่นอน เพราะประเด็นหลักของหนังไม่ได้ถูกนำมาพามาสู่จุดจบ แต่อย่างน้อยกลวิธีการจบในรูปแบบหนังที่แบ่งออกเป็น 2 ตอน (Part) ก่อนหน้านี้ ก็มีเรื่องอื่น ๆ ที่ทำได้ลงตัวกว่านี้ อย่างน้อย Part 1 ก็ยังมีไคลแมกซ์ซีนใหญ่หรือบทสรุปประเด็นรองบางอย่างให้จบลงไป เช่น Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 1–2 (ภาคแรกเคลียร์ความสัมพันธ์ชวนอึดอัดของ แฮร์รี่, รอน และ เฮอร์ไมโอนี่ และ ไคลแมกซ์คือการทำลายล็อกเก็ต) หรือ Kill Bill Vol. 1-2 (ที่ภาคแรกเน้นเรื่องไปที่ตัวละคร โอเรน อิชิอิ และจบเรื่องของเธอไป ภาคสองจึงเน้นที่จุดเริ่มต้นความรัก, การฝึกฝนไปจนถึงสรุปการล้างแค้น) ทั้งสองเรื่องชัดเจนว่าผ่านการวางแผนประเด็นที่ต้องเล่าในแต่ละภาคที่ชัดเจน แม้จะจบประเด็นนั้นไป แล้วค่อยมาสานประเด็นหลักไปจนถึงบทสรุปในภาคต่อไป ซึ่งสิ่งนี้เราไม่ได้เห็นจาก Infinity War เราได้เห็นเพียงแต่การกระจายตัวละครอยู่ในที่ต่าง ๆ และโฟกัสที่ตัวละคร ธานอส เป็นหลัก

สำหรับธานอสที่หลายคนชื่นชมเหลือเกินว่าเป็นวายร้ายที่ดีที่สุดกันเลยทีเดียว แต่ผู้เขียนกลับรู้สึกว่า ‘เกือบจะดี’ มากกว่า จริง ๆ มันเป็นความน่าชื่นชมของทางมาร์เวลอย่างยิ่งในการสร้างตัวละครอันหลากมิติขนาดนี้ แต่มิติที่ว่าที่ทางมาร์เวลใส่เข้ามาเป็นมิติทางด้านอารมณ์ ความรู้สึก และความมีหัวจิตหัวใจมากกว่าที่เราคิด

ธานอสโกรธเป็น ร้องไห้เป็น เสียใจเป็น และรักเป็น หากแต่มิติในเรื่องการกระทำและที่มาของตัวละคร ก็ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามที่ผู้เขียนบทยังใส่มาไม่ละเอียดพอ

ไม่รู้ว่าคนอื่นจับประเด็นหรือผู้เขียนพลาดจุดไหนไปหรือเปล่า แต่ดูทั้งเรื่องก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ทำไม! ธานอสถึงมุ่งมั่นเหลือเกินที่จะสร้างสมดุลให้กับจักรวาลโดยการล้างประชากรครึ่งหนึ่งของจักรวาล? เขาไปเจอเหตุการณ์อะไรที่เราไม่รู้หรือแม้แต่ยังไม่ได้เห็นหรือเปล่า? และอะไรคือจุดเริ่มต้นความคิดที่จะตั้งตัวเป็นพระเจ้าเพื่อพิพากษาคนอีกครึ่งจักรวาลแบบนี้?

ผู้เขียนจึงได้แต่ภาวนาให้ Avengers 4 ที่ยังไม่มีชื่อเรื่อง (ที่จริงควรใช้เป็น Infinity War Part 2 ไปเลยก็หมดเรื่อง) จะยังไม่ต้องทิ้งที่มาของธานอสไว้เพียงแค่นี้ เข้าใจว่ายังมีเรื่องให้เล่าและตัวละครอีกเพียบ แต่ขอเวลาสัก 10 นาทีเพื่ออธิบายความเป็นมาของพี่ม่วงสักหน่อยคงไม่เป็นการรบกวนเวลาของหนังภาคหน้าจนเกินไป เพราะที่บอกมาแค่นี้ ยังไม่พอ

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าผู้เขียนไม่ชอบหรือแอนตี้ตัวหนัง แค่รู้สึกว่าหนังยังไม่ลงตัวในทุกองค์ประกอบเหมือนกับเรื่องก่อนอย่าง Iron Man, Guardians of the Galaxy และ Captain America: Civil war ก็เท่านั้น เอาเข้าจริงรู้สึกสนุกและชอบอีกหลายอย่างของหนังเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะตัวละครอันหลากสีสันที่ออกมาได้โชว์เสน่ห์กันทุกคน ไม่ว่าจะออกมากออกน้อย ซึ่งเชื่อเถอะว่าช่องโหว่ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องใหญ่ เมื่อถูกกลบด้วยความบันเทิงระดับเมกกะโปรเจกต์ของฮอลลีวูดโปรเจกต์นี้

ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่