ทำไมคนที่เป็นพระอริยบุคคลถึงอวดตัวไม่ได้

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
แล้วถ้าหากท่านทำ จะเกิดผลอย่างไร

แล้วจะมีวิธีสังเกตไหม ว่าใครคือพระอริยบุคคล ก็ในเมื่อท่านอวดตัวไม่ได้
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 31
" ทำไมคนที่เป็นพระอริยบุคคลถึงอวดตัวไม่ได้ " --------------> เพราะการการอวดตัวไม่ได้เป็นจริยาของพระอริยะ


" แล้วจะมีวิธีสังเกตไหม ว่าใครคือพระอริยบุคคล ก็ในเมื่อท่านอวดตัวไม่ได้ "

พระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาประกอบด้วย  พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

ธรรมที่เป็นเครื่องวัดของพระอริยะบุคคลที่กล่าวมาคือ สังโยชน์ 10 ประกอบด้วย

๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

หมายความว่าเราไม่พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสใด ๆ ทั้งหมด เราไม่หลงใหลใฝ่ฝันอยู่ในขันธ์ ๕ คิดว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสมบัติของกิเลส และตัณหา เป็นแดนของความทุกข์ และสิ่งนี้มันจะพลัดพรากจากเราก็คือจิต มันจะแตกจะทำลาย มันจะป่วยไข้ไม่สบาย จะถูกอารมณ์ร้ายต่าง ๆ ของโลกเข้ามายั่วยวน เราก็ไม่หวั่นไหว คิดว่าเมื่อถึงกาลถึงสมัยมันก็ต้องพัง ห้ามปรามมันไม่ได้ กฎธรรมดาเป็นอย่างนั้น

๒. วิจิกิจฉา ความสงสัยในพระนิพพานไม่มี คิดว่าพระนิพพานมีจริง ผลของการปฏิบัติที่เราปฏิบัติอยู่นี่ ถ้าปฏิบัติจริง ๆ ต้องถึงพระนิพพานแน่นอน มีจิตตั้งมั่นอยู่อย่างนี้

๓. สีลัพพตปรามาส การรักษาศีลให้เคร่งครัด ไม่ทำศีลให้ด่าง ให้พร้อย ให้ขาด ให้ทะลุ รักศีลยิ่งกว่ารักชีวิต

อาการ ๓ อย่าง คือ สังโยชน์ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นผลที่พึงได้จากอารมณ์วิปัสสนาญาณ เมื่อได้แล้วจะมีอาการอย่างใดก็ตามเข้ามายั่วยวน ทำให้เราหลงใหลในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส เสียดายในชีวิต เสียดายในร่างกาย คิดว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา ก็ไม่เกิด

ใครจะมาทำให้จิตของเราให้คลายจากพระนิพพาน โดยพรรณนาว่า พระนิพพานไม่มีอะไรดี ไม่มีของน่าอยู่น่าชม เราก็ไม่เชื่อ เมื่อจิตใจใฝ่ฝันตั้งมั่นอยู่แล้ว ถึงแล้วว่าเราต้องการพระนิพพาน มีความมั่นคงอยู่อย่างนั้น

สีลัพพตปรามาส ใครจะมายั่วเย้าให้เราทำลายศีลแม้แต่หน่อยหนึ่งเราก็ไม่ทำ

อย่างนี้เชื่อว่าท่านเป็นพระโสดาบันแน่ ก็หมายถึงว่า จิตที่ละได้อย่างนี้แล้วไม่กลับคืนมาอีก ไม่มีความเสียดายในชีวิต ไม่มีความเสียดายในทรัพย์สมบัติที่สูญสลายไป ไม่สงสัยในคุณพระรัตนตรัย คิดว่าพระนิพพานมีจริง ถ้าปฏิบัติแล้วต้องได้จริง ได้ถึงจริง รักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เป็นสมุจเฉทปหาน คือไม่สร้าง ไม่ทำลายศีลให้ด่าง ให้พร้อย ให้ขาด ให้ทะลุ อาการ ๓ อย่างนี้เป็นผลของ พระโสดาบัน และพระสกิทาคามี

๔. กามฉันทะ ทำจิตให้เหือดแห้งในความพอใจในกามารมณ์ ความยินดีในเพศไม่ปรากฏ

๕. พยาบาท ความผูกโกรธ ขังโกรธไว้ในใจไม่มี ใครมาทำให้โกรธ โกรธนิดหนึ่งแล้วก็ทิ้งสลายตัวไป ไม่มีความพยาบาท แล้วต่อไปก็ทำลายความโกรธให้สิ้นไป ในเมื่อจะมีบุคคลหมู่ใดจะมายั่วมาเย้าให้เรามีความโกรธ เราก็ไม่โกรธ หรือมายั่วเย้าให้เราเกิดกามราคะ มีความปรารถนาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส และสัมผัส อารมณ์อย่างนั้นก็ไม่เกิด อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นผลของวิปัสสนาญาณจริง เป็นองค์ของ พระอนาคามี เป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงในขั้นต่อไป

๖. รูปราคะ หมายความว่า เรามีฌานจริง แต่เราไม่หลงว่าฌานนี้เป็นตัววิเศษเกินไปกว่าตัววิปัสสนาญาณ รู้อยู่เสมอว่าฌานเป็นบันไดที่จะเป็นกำลังของจิตใจ ให้เข้าไปใช้อารมณ์ของวิปัสสนาญาณ เข้าประหัตประหารกิเลส ที่เรียกกันว่า “รูปฌาน”

๗. อรูปราคะ เราเห็นว่าอรูปฌานเป็นของดี แต่ว่ายังไม่ดีวิเศษ เพราะอรูปฌานนี้ยังเป็นผลของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร ยังเป็นโลกียฌาน แต่ว่าเป็นกำลัง เป็นบันไดขั้นหนึ่ง หรือเป็นกำลังที่เข้ามาค้ำจุนจิตใจให้เข้าไปเจริญวิปัสสนาญาณ ได้รับผลดี

๘. มานะ ความถือตัวถือตน ถือว่าเราเลวกว่าเขา ถือว่าเราเสมอเขา ถือว่าเราดีกว่าเขา อย่างนี้เราตัดเสียได้ คือไม่คิดอย่างนั้น คิดว่าคนในโลกนี้ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว เกิดมาแล้วก็แก่ ก็เจ็บ ก็ตายเหมือนกันหมด ไม่มีอะไรที่จะต้องเข้าไปถือยศถือศักดิ์ ถือชาติวาสนาและตระกูลใด ๆ ทั้งสิ้น

๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญในจิตใจไม่มี ตัดเสียได้แล้ว มีอารมณ์เป็นอันเดียวคือ เอกัคคตารมณ์ มีจิตใจชุ่มชื่น รู้ได้ตามสภาวะของความเป็นจริง

๑๐. อวิชชา คือความพอใจในทรัพย์สมบัติของโลก คือในร่างกายของเรา หรือในรูปของคนอื่นไม่มี ความกำหนดยินดีในทรัพย์สินของโลก ที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต แม้แต่ตัวเองก็ไม่มี อย่างนี้เรียกว่าตัดอุปาทานขันธ์เสียได้ ตัดตัวอวิชชาความโง่เสียได้
พระรูปใดทำ 10 ข้อนี้ได้คือ พระอรหันต์

สรุป
พระโสดาบัน พระสกิทาคามี ------------> ตัดและได้สังโยชน์ได้ 3 ข้อ -------------> สักกายทิฏฐิ  วิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาส และมีพระนิพพานเป็นอารมณ์

พระอนาคามี -----------------------------> ตัดและได้สังโยชน์ได้ 5 ข้อ --------------> สักกายทิฏฐิ  วิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาส กามฉันทะ  พยาบาท  และมีพระนิพพานเป็นอารมณ์

พระอรหันต์ -------------------------------> ตัดและได้สังโยชน์ ครบ 10 ข้อ และมีพระนิพพานเป็นอารมณ์


ที่ จขกท. ถามเรื่องวิธีการดู  ขอให้ดูปฏิปาท่าน และการสอนของท่านเป็นหลักโดยเอาสังโยชน์ 10 นี้มาเป็นธรรมชี้วัด พระท่านใหนเป็นพระอริยะตาที่กล่าวไว้ต้องสอนและปฏิบัติไปตาม หรือ สอดคล้องในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน โดยเฉพาะเรื่อง สักกายะทิฎฐิ  และพระอริยะระดับใด ท่านจะสอนเฉพาะที่ท่านได้ในระดับของท่าน ท่านจะไม่สอนสิ่งที่เหนือกว่าระดับท่านขึ้นไป กล่าวคือ

พระโสดาบัน จะไม่สอนในส่วนของ พระสกิทาคามี
พระสกิทาคามี จะไม่สอนในส่วนของ พระอนาคามี
พระอนาคามี จะไม่สอนในส่วนของ พระอรหันต์  

แต่ พระอรหันต์ จะสอนในส่วนของ พระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน ได้
พระอนาคามี จะสอนในส่วนของ พระสกิทาคามี พระโสดาบัน ได้
พระสกิทาคามี จะสอนในส่วนของ พระโสดาบัน ได้


พอมีประโยชน์นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่