[หนังโรงเรื่องที่ 226] Avengers: Infinity War - สุดยอด 10 ปีแห่งความทะเยอทะยาน by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 226] Avengers: Infinity War - สุดยอด 10 ปีแห่งความทะเยอทะยาน ; (Anthony Russo, Joe Russo, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : A+++ (จากสเกล D-A)

*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ: เหตุการณ์เกิดขึ้นหลัง Thor: Ragnarok และ Black Panther เมื่อวายร้ายจอมบงการอย่าง "ธานอส" (Josh Brolin) ตัดสินใจที่จะลงมือเริ่มสงครามจักรวาลเอง และออกเดินทางรุกรานตามดาวต่างๆ เพื่อตามหา "Infinity Stone" ทั้ง 6 เม็ดที่กระจัดกระจายไปทั่ว โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ "ลบสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในจักรวาลไปครึ่งหนึ่ง เพื่อคืนสมดุล" และหากเขาได้มณีครบทุกเม็ดมาใส่ไว้ในถุงมือ ความปรารถนานั้นก็จะกลายเป็นจริงในพริบตา

และด้วยวิกฤตินี้เอง ทำให้เหล่า Avengers ที่แยกย้ายไปตามวิถีของตนเองในอดีตต้องกลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง รวมไปถึงบรรดาผู้มีความสามารถทั้งหลายในจักรวาล ทุกคนต้องมาร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะหยุดยั้งธานอสไว้ได้

.
.

ในฐานะที่ติดตามหนังค่ายมาร์เวลมาร่วมสิบปี ก็ต้องบอกเลยว่าความตื่นเต้นของผู้เขียนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าแฟนๆ ท่านอื่นแน่นอน โดยที่ใจหนึ่งก็แอบกังวลว่าหนังมันจะพีคได้สมดั่งที่ตั้งใจไว้มั้ย? มันจะเป็นการตกม้าตายตรงนี้รึเปล่า? ... แต่แล้วทันทีที่หนังเริ่ม ความกังวลใจไร้สาระเหล่านั้นมันก็มลายหายไปในพริบตา

องค์ประกอบของ Avengers: Infinity War คือสิ่งที่เราหลงรักในหนังค่ายนี้มาตลอด ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขัน, พัฒนาการของตัวละคร, ฉากต่อสู้ประจัญบานที่ตื่นตา รวมไปถึงบทสรุปที่ชวนให้อ้าปากค้าง ทั้งหมดคือความลงตัวที่เราอยากจะได้เห็นในหนังเรื่องนี้
.

สิ่งแรกที่หนังยังรักษามาตรฐานได้ดีก็คือ "อารมณ์ขัน" ที่เป็นจุดขายของหนังมาร์เวลมาตลอด นับถือคนเขียนบทและทีมกำกับจริงๆ ที่สามารถเลือกใส่มุกตลกเกรียนๆ เข้าไปในซีนโคตรซีเรียสให้มันเวิร์คได้ยังไง คือในบางฉากมันหน้าสิ่วหน้าขวานมากๆ แต่พอมีจังหวะปุ๊บหนังก็รีบยิงแทรกเข้าไปทันทีจนเราอดขำก๊ากไม่ได้

เช่นฉากระหว่างกรู๊ต+กัปตัน และฉากโอโคเย่+แบนเนอร์ เป็นต้น ซึ่งมันทำให้โทนของหนังบาลานซ์มากๆ คือช่วงขำก็ขำไปเลย แล้วความฮาไร้สาระก็จะค่อยๆ เฟดตัวออกไปและแทนที่ด้วยโทนเรื่องที่ตึงเครียดแทน ซึ่ง "การเปลี่ยนผ่าน" (transition) แบบนี้มันแนบเนียนมากๆ จนอดที่จะทึ่งไม่ได้
.


ในส่วนของฉากแอ็คชั่นที่เราคาดหวังไว้จากในตัวอย่างก็ถือว่าทำออกมาได้ดีสมคำล่ำลือจริงๆ โดยเฉพาะฉากตะลุมบอนในดินแดนของวากานด้านี่คืออีพิคมากๆ มันเป็นเมดเลย์ที่เอาฮีโร่ตัวโปรดของพวกเรามาโฮะไว้ในฉากเดียว ซึ่งมันก็มันส์มากๆด้วย พวกสัตว์ประหลาดที่คล้ายสุนัข (ตัวอะไรวะนั่น) ก็ให้ความรู้สึกน่าเกลียดน่ากลัวจริงๆ เป็นกองทัพสัตว์ร้ายที่ไม่ต้องมีอะไรเลย แค่มันดาหน้าเข้ามาแบบไม่กลัวตายเป็นพันเป็นหมื่นตัวแค่นี้ก็น่ากลัวแล้ว

พาร์ทการต่อสู้ที่ชอบที่สุดคือการรุมกินโต๊ะบนดาว Titan คือมันฉากที่ทุกอย่างมันมีแบบพอเหมาะ มันเป็นการรุมกระทืบที้ดูมั่วซั่วและเละเทะมากๆ แต่มันก็สนุกได้ใจเราดี คือต่างฝ่ายต่างงัดทุกลูกไม้มาเพื่อเอาชนะอีกฝ่าย (โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายตัวร้ายงัดไม้เด็ดลงมาโจมตี แม่เจ้าโว้ย) จริงอยู่มันอาจจะดูไม่แกรนด์เท่าฉากวากานด้า แต่ถือว่าน่าจตจำมากเลยล่ะ

น่าเสียดายที่หนังเกลี่ย screentime ให้เหล่าขุนพลของธานอสน้อยไปหน่อย ถึงจะเข้าใจว่าอยากเน้นขายฮีโร่ตัวหลักก็เถอะนะ คือส่วนตัวเนี่ยผู้เขียนแอบเชียร์ลิ่วล้อคนหนึ่งที่ชื่อ Ebony Maw (ไอ้คนที่ใช้เข็มแทงหน้า Dr.Strange น่ะ) คือมันก็เป็นตัวละครที่ดูตลกดี เอะอะจะอวยลูกพี่ตัวเองลูกเดียว ธานอสจะขยับจะหายใจก็สวยพี่สวยตลอด แต่ในอีกนัยหนึ่งพลังของมันก็ดูน่ากลัวมากด้วย ส่วนขุนพลตัวอื่นๆ ยิ่งแล้วใหญ่เลย บางทีออกฉากมาเรายังแทบจำชื่อจำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ

.

สิ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษก็คืออภิมหาตัวร้ายอย่าง "ธานอส" ที่ก่อนหน้านี้ได้แต่โผล่มาแว้บๆ มาตลอด คือปฏิเสธไม่ได้ว่าองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้หนังสนุกก็คือ "ตัวร้ายที่น่าสนใจ" และธานอสก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทำให้ Infinity War มันขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีพลวัตได้

สาเหตุหลักทำให้ธานอสดูจับต้องได้และน่าสนใจที่สุดก็คือ "ปณิธาน" ของเขาที่คิดว่าการมีประชากรมากไปบนดาวแต่ละดวงจะทำให้ระบบนิเวศพังทลายและบานปลายไปถึงการล่มสลายของดาวในที่สุด ดังนั้น "การล้างสิ่งมีชีวิตครึ่งจักรวาล" จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องและสมควรจะทำในสายตาเขา และในเมื่อไม่มีใครแกร่งและกล้าหาญพอที่จะรับหน้าที่อันหนักอึ้งนี้ เขาก็จะขอทำเอง

แค่แนวคิดอันนี้แหละที่ทำให้เขาโดดเด่นกว่าตัวร้ายดาดๆ ทั่วไป มันทำให้เขากลายเป็น "วายร้ายที่ชอบธรรม" (Lawful Evil) ขึ้นมาในทันที และที่พีคที่สุดคือตัวธานอสเองก็เชื่อแบบสุดใจซะด้วยว่าตัวเองเสียสละเพื่อมาช่วยคนอื่นจริงๆ ทีนี่ถ้าจะมองในแง่ของความเป็นเหตุเป็นผล ธานอสก็อาจจะช่วยจักรวาลจริงๆ ก็ได้ และฝั่งอเวนเจอร์สที่คิดขัดขวางก็จะอาจจะดูเหมือนเป็นตัวร้ายไปเลยก็ได้

.

ส่วนที่ไม่ชอบก็คือ "จุดหักเห" ของเนื้อเรื่องที่ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไรของตัวละครหนึ่ง ที่ส่งผลให้การต่อสู้ครั้งนั้นพลิกกลับมาเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปเลย จริงอยู่ว่าอาจจะอ้างเรื่องอารมณ์โมโหที่ทำให้ตัดสินใจทำอะไรไปแบบไม่คิดได้ แต่มันก็ยังดูผิดที่ผิดทางอยู่ดีเมื่อเทียบกับบริบทที่ทุกคนกำลังสู้อยู่ แล้วด้วยความที่ตัวละครนั้นไม่ได้ถูกปูมาให้มีคุณสมบัติอารมณ์มุทะลุตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งทำให้มันดูไม่สมเหตุสมผลอย่างแรง

และในแง่ของการเกลี่ยบทตัวละคร อันนี้ค่อนข้างจะลำบากใจที่จะตำหนิ เพราะลำพังฮีโร่หลายสิบคนกับหนัง 2 ชั่วโมงครึ่ง มันก็ยากอยู่แล้วที่จะจัดสรรบทให้ทั่วถึงทุกตัวละคร แต่ส่วนตัวก็ยังแอบรู้สึกว่ามีบางช่วงที่หนังมันอืดๆ หน่วงๆ ไปหน่อย และสามารถรวบรัดเข้ามาให้มันคุ้มเวลามากขึ้นได้แต่ในส่วนของ "การเสียชีวิตของตัวละคร" ก็ยิ่งทำให้หนังอิมแพคในแง่ของอารมณ์มากขึ้น และทำให้โทนหนังมันดูจริงจังขึ้นมาในทันที
.
.


แน่นอนว่า Avengers: Infinity War คือหนึ่งในหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปีนี้แน่นอน เป็นการรวบรวมนักแสดงและฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสมกับ 10 ปีที่รอคอย แต่ก็ด้วยความใหญ่โตของมันนี่แหละที่ทำให้มันไปไม่ถึงคำว่า "หนัง Marvel ที่ดีที่สุด" ได้ แต่อย่างน้อยแค่ความกล้าคิดกล้าเล่นของบทหนังก็อาจสุดยอดแล้วแล้วสำหรับ 2 ชั่วโมงครึ่งแห่งสุดยอดความบันเทิง ที่ได้เห็นตัวละครที่เราติดตามมาตลอดได้มารวมอยู่ในหนังเรื่องเดียว แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว.

ป.ล. มี End Credit สำคัญหลังหนังจบ
ป.ล.2 ผู้เขียนภูมิใจมาก ที่หลบสปอยล์ไม่เล่นโซเชียลเป็นเวลา 3 วันได้ (หัวเราะ)

ติดตามรีวิวและแสดงความคิดเห็นได้ที่เพจ "ตั๋วหนังมันแพง" ครับผม https://www.facebook.com/expensivemovie/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่