เมื่อได้รับหมายเรียก
ตามความคิดเห็นทั่วๆ ไป ก็คือ เรื่องมาถึงตัวแล้ว ต้องรีบไปพบ พงส. ซะนะ
ไม่งั้น ถ้าโดนออกหมาย 2 ครั้งแล้วไม่ไป เขาจะออกหมายจับนะ ฯลฯ
หมายเรียก คืออะไร? ทำไม? อย่างไร? ก็คงทราบกันดีแล้ว จะขอไม่กล่าวถึงรายละเอียดนะครับ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งจะกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ด้วยคำพื้นๆ
หมายเรียก ถือเป็นขั้นตอนลำดับแรกๆ ของกระบวนการยุติธรรม และไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
ในขั้นตอนของกระบวนการสอบสวน
เมื่อมีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษใครก็ตาม ซึ่งเราจะเรียกผู้ร้องทุกข์ว่า “ผู้(ที่น่าจะ)เสียหาย”
และผู้ถูกกล่าวโทษ ว่า “ผู้ถูกกล่าวหา (ถูกหาว่า)”
เมื่อผู้เสียหายมาร้องทุกข์
พงส. จะรับเรื่องหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลักฐานและ/หรือพยานในการร้องทุกข์นั้น
หากไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันพอจะเชื่อได้ว่าตามที่มาร้องทุกข์นั้น พงส. อาจจะไม่รับเรื่องร้องทุกข์นั้นได้
แต่ใช่ว่าจะไม่สนใจใยดี
พงส อาจจะให้ผู้ร้องทุกข์ไปหาพยานหลักฐานอะไรก็ได้ ที่พอจะยืนยันได้ว่า เกิดเรื่องราวความเสียหายขึ้นจริง
เพราะไม่เช่นนั้น ใครจะมโน นึกไปแจ้งความกล่าวหาใครตามอำเภอใจก็ได้ อย่างนั้นรับรองว่า คดีท่วมประเทศแน่
หลังจาก พงส รับเรื่องร้องทุกข์ไว้แล้ว ก็จะพิจารณาพยานหลักฐานนั้นอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่า”น่าจะ”เกิดเรื่องจริงๆ (พงส. ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จะสรุปว่าจริงไม่ได้)
พงส ก็จะอาศัยอำนาจตาม ป.วิ อาญา หลายๆ มาตรามาประกอบการดำเนินการ
อย่างแรกคือ
ต้องขอรับฟังความอีกฝ่ายหนึ่งก่อน ว่าเรื่องราวความเป็นมาเป็นอย่างไร เขาถึงมากล่าวหาเช่นนั้น
โดยการออกหมายเรียก จริงๆ แล้ว พงส อาจจะไม่ต้องออกหมายเรียกก็ได้ (เพราะอะไร เคยกล่าวไว้แล้วในกระทู้อื่น)
การออกหมายเรียก ก็เพื่อจะขอให้ผู้ถูกกล่าวหานั้น มาให้ปากคำตามกฎหมาย
นั่นคือ การสอบถามข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ พงส อยากทราบ
ตรงนี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ถูกกล่าวหา เพราะสามารถแก้ต่างข้อกล่าวหาได้ในทันที
ถ้า พงส ถามว่า ได้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งจริงไหม ก็ขอให้ตอบไปตามความเป็นจริง (อย่าไปเชื่อทะแนะมาก)
การตอบว่าทำจริง ไม่ได้หมายความว่าเรายอมรับความผิด แต่เป็นการยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าจริง
เมื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็ขอให้ตอบไปตามความจริงให้หมด
ซึ่งความจริงนั้น อาจทำให้เราไม่ใช่ผู้ที่กระทำผิดโดยเจตนาก็ได้
และจะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ถูกกล่าวหาเองในหลายๆ ด้าน
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำจากเหตุต่อเนื่อง หรือการยอมรับเพื่อเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการ ในการนำมาซึ่งเหตุของการบรรเทาโทษ
หลังจาก พงส สอบถาม(สอบสวนและบันทึกปากคำ) จนพอใจแล้ว ก็จะให้เราอ่านบันทึกการให้ปากคำ(สำนวน)นั้น
ถ้าสงสัยในข้อความหรือประโยคไหน ก็ให้รีบสอบถาม
ปากคำใดที่เราเห็นว่าเป็นประโยชน์ แต่ไม่มีการบันทึก ก็ต้องบอก
แต่ถ้าบอกแล้ว ไม่แก้ไขให้ตรงกับที่ให้ปากคำไว้ โดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ ก็ให้ปฏิเสธการลงชื่อรับรองข้อเท็จจริงในสำนวนนั้น
เพราะในท้ายสำนวน จะมีการยืนยันการให้ปากคำ ว่าไม่มีการจูงใจหรือบังคับขู่เข็ญผู้ถูกกล่าวหา
การพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราว
พงส ผู้มีอำนาจพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราว จะดูที่พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา
ว่าให้ความร่วมมือดีไหม มาพบด้วยความเต็มใจโดยไม่ขัดขืนหรือไม่
มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง มีงานมีการ มีกิจการในการประกอบสัมมาอาชีพหรือไม่
แต่โดยทั่วๆ ไป คดีลหุโทษประเภทความผิดส่วนบุคคล มักจะไม่มีเหตุที่จะต้องควบคุม ถ้าข้อพิจารณาด้านบนนั้นครบถ้วน
ดังนั้น การได้รับหมายเรียก จึงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร
ซ้ำยังเป็นการเข้าถึงกระบวนการในการพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ หรือความไม่ตั้งใจ(ประมาท) ของตนเองได้อย่างดีอีกด้วย
อีกเรื่องหนึ่ง
การไปร้องทุกข์กล่าวโทษยังสถานีตำรวจในชนบท(ถ้ามีอำนาจสอบสวนในคดีนั้นๆ)
อย่าไปคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ให้ถือว่า นั่นเป็นผลดีต่อระยะเวลาในการพิสูจน์
เนื่องจาก โรงพักตามชนบทบางแห่ง มีคดีร้องทุกข์น้อย ขั้นตอนการดำเนินการก็ย่อมต้องรวดเร็วกว่าโรงพักที่มีคดีล้นคน
เชื่อว่า ไม่ว่าฝ่ายไหน ก็อยากให้เรื่องราวคดีความต่างๆ จบลงอย่างรวดเร็ว
ให้คิดเสียว่า ลำบากในการเดินทางเพื่อแลกกับเวลาที่เรื่องจะจบเร็ว
ฉะนั้น เมื่อได้รับหมายเรียก อย่าตกใจ หรือรีรอที่จะไปแก้ข้อกล่าวหา
เพราะถ้าไม่ไปโดยไม่มีเหตุสมควร ก็จะเข้าข้อกังขาที่ว่า “คนผิดมักไม่อยากมาสู้หน้า”
สุดท้าย ยังหวังลึกๆ ว่า เหตุการณ์ต่างๆ คงจะคลี่คลายลงด้วยดี และเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย
เมื่อได้รับหมายเรียก .............. นายอ่ำ
ตามความคิดเห็นทั่วๆ ไป ก็คือ เรื่องมาถึงตัวแล้ว ต้องรีบไปพบ พงส. ซะนะ
ไม่งั้น ถ้าโดนออกหมาย 2 ครั้งแล้วไม่ไป เขาจะออกหมายจับนะ ฯลฯ
หมายเรียก คืออะไร? ทำไม? อย่างไร? ก็คงทราบกันดีแล้ว จะขอไม่กล่าวถึงรายละเอียดนะครับ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งจะกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ ด้วยคำพื้นๆ
หมายเรียก ถือเป็นขั้นตอนลำดับแรกๆ ของกระบวนการยุติธรรม และไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
ในขั้นตอนของกระบวนการสอบสวน
เมื่อมีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษใครก็ตาม ซึ่งเราจะเรียกผู้ร้องทุกข์ว่า “ผู้(ที่น่าจะ)เสียหาย”
และผู้ถูกกล่าวโทษ ว่า “ผู้ถูกกล่าวหา (ถูกหาว่า)”
เมื่อผู้เสียหายมาร้องทุกข์
พงส. จะรับเรื่องหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลักฐานและ/หรือพยานในการร้องทุกข์นั้น
หากไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันพอจะเชื่อได้ว่าตามที่มาร้องทุกข์นั้น พงส. อาจจะไม่รับเรื่องร้องทุกข์นั้นได้
แต่ใช่ว่าจะไม่สนใจใยดี
พงส อาจจะให้ผู้ร้องทุกข์ไปหาพยานหลักฐานอะไรก็ได้ ที่พอจะยืนยันได้ว่า เกิดเรื่องราวความเสียหายขึ้นจริง
เพราะไม่เช่นนั้น ใครจะมโน นึกไปแจ้งความกล่าวหาใครตามอำเภอใจก็ได้ อย่างนั้นรับรองว่า คดีท่วมประเทศแน่
หลังจาก พงส รับเรื่องร้องทุกข์ไว้แล้ว ก็จะพิจารณาพยานหลักฐานนั้นอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่า”น่าจะ”เกิดเรื่องจริงๆ (พงส. ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จะสรุปว่าจริงไม่ได้)
พงส ก็จะอาศัยอำนาจตาม ป.วิ อาญา หลายๆ มาตรามาประกอบการดำเนินการ
อย่างแรกคือ
ต้องขอรับฟังความอีกฝ่ายหนึ่งก่อน ว่าเรื่องราวความเป็นมาเป็นอย่างไร เขาถึงมากล่าวหาเช่นนั้น
โดยการออกหมายเรียก จริงๆ แล้ว พงส อาจจะไม่ต้องออกหมายเรียกก็ได้ (เพราะอะไร เคยกล่าวไว้แล้วในกระทู้อื่น)
การออกหมายเรียก ก็เพื่อจะขอให้ผู้ถูกกล่าวหานั้น มาให้ปากคำตามกฎหมาย
นั่นคือ การสอบถามข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ พงส อยากทราบ
ตรงนี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ถูกกล่าวหา เพราะสามารถแก้ต่างข้อกล่าวหาได้ในทันที
ถ้า พงส ถามว่า ได้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งจริงไหม ก็ขอให้ตอบไปตามความเป็นจริง (อย่าไปเชื่อทะแนะมาก)
การตอบว่าทำจริง ไม่ได้หมายความว่าเรายอมรับความผิด แต่เป็นการยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าจริง
เมื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็ขอให้ตอบไปตามความจริงให้หมด
ซึ่งความจริงนั้น อาจทำให้เราไม่ใช่ผู้ที่กระทำผิดโดยเจตนาก็ได้
และจะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ถูกกล่าวหาเองในหลายๆ ด้าน
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำจากเหตุต่อเนื่อง หรือการยอมรับเพื่อเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการ ในการนำมาซึ่งเหตุของการบรรเทาโทษ
หลังจาก พงส สอบถาม(สอบสวนและบันทึกปากคำ) จนพอใจแล้ว ก็จะให้เราอ่านบันทึกการให้ปากคำ(สำนวน)นั้น
ถ้าสงสัยในข้อความหรือประโยคไหน ก็ให้รีบสอบถาม
ปากคำใดที่เราเห็นว่าเป็นประโยชน์ แต่ไม่มีการบันทึก ก็ต้องบอก
แต่ถ้าบอกแล้ว ไม่แก้ไขให้ตรงกับที่ให้ปากคำไว้ โดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ ก็ให้ปฏิเสธการลงชื่อรับรองข้อเท็จจริงในสำนวนนั้น
เพราะในท้ายสำนวน จะมีการยืนยันการให้ปากคำ ว่าไม่มีการจูงใจหรือบังคับขู่เข็ญผู้ถูกกล่าวหา
การพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราว
พงส ผู้มีอำนาจพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราว จะดูที่พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา
ว่าให้ความร่วมมือดีไหม มาพบด้วยความเต็มใจโดยไม่ขัดขืนหรือไม่
มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง มีงานมีการ มีกิจการในการประกอบสัมมาอาชีพหรือไม่
แต่โดยทั่วๆ ไป คดีลหุโทษประเภทความผิดส่วนบุคคล มักจะไม่มีเหตุที่จะต้องควบคุม ถ้าข้อพิจารณาด้านบนนั้นครบถ้วน
ดังนั้น การได้รับหมายเรียก จึงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร
ซ้ำยังเป็นการเข้าถึงกระบวนการในการพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ หรือความไม่ตั้งใจ(ประมาท) ของตนเองได้อย่างดีอีกด้วย
อีกเรื่องหนึ่ง
การไปร้องทุกข์กล่าวโทษยังสถานีตำรวจในชนบท(ถ้ามีอำนาจสอบสวนในคดีนั้นๆ)
อย่าไปคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ให้ถือว่า นั่นเป็นผลดีต่อระยะเวลาในการพิสูจน์
เนื่องจาก โรงพักตามชนบทบางแห่ง มีคดีร้องทุกข์น้อย ขั้นตอนการดำเนินการก็ย่อมต้องรวดเร็วกว่าโรงพักที่มีคดีล้นคน
เชื่อว่า ไม่ว่าฝ่ายไหน ก็อยากให้เรื่องราวคดีความต่างๆ จบลงอย่างรวดเร็ว
ให้คิดเสียว่า ลำบากในการเดินทางเพื่อแลกกับเวลาที่เรื่องจะจบเร็ว
ฉะนั้น เมื่อได้รับหมายเรียก อย่าตกใจ หรือรีรอที่จะไปแก้ข้อกล่าวหา
เพราะถ้าไม่ไปโดยไม่มีเหตุสมควร ก็จะเข้าข้อกังขาที่ว่า “คนผิดมักไม่อยากมาสู้หน้า”
สุดท้าย ยังหวังลึกๆ ว่า เหตุการณ์ต่างๆ คงจะคลี่คลายลงด้วยดี และเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย