สวัสดีค่ะ กระทู้นี้จะเป็นการบอกเล่าประสบการณ์ในการท่องเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวแบบ Road trip ที่สนุก เพราะเราได้เที่ยวทั้งเมืองที่มีเสน่ห์อย่าง Los Angeles , San Francisco และยังได้ขับไปตามเส้นทาง Hwy1 แวะเที่ยวเมืองเล็กๆน่ารักๆ ยังไม่พอ เราได้เที่ยวธรรมชาติที่สวยงามมากๆ อย่าง Yosemite National Park ผจญภัยอย่างหฤโหดที่ Death Valley แวะจุดที่ Must visit before die (เขาว่ากันอย่างนั้น)อย่าง Grand Canyon และ Antelope Canyon ก่อนจะไปส่งรถคืนที่ Las Vegas และก่อนกลับขอบินข้ามแวะไปเที่ยวที่ New York มหานครที่มาถึงอเมริกาทั้งทีถ้าไม่ได้มาก็คงเสียดาย!!
รายละเอียดสถานที่จะใส่ไว้ให้ด้านล่างนะคะ ระยะเวลาในการเดินทางทั้งหมด 14 วัน แบ่งเป็นตอนๆ ตามวัน หรือเมืองที่เราเที่ยว จะพยายามเขียนสอดแทรกทริคเล็กๆน้อยๆที่เราได้ไปเจอมา เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับผู้อ่าน เผื่อได้มีโอกาสไปเที่ยวกันค่ะ
EP.2 : แวะชมเมืองตากอากาศ และตามหาอุ๋งๆที่ Santa Barbara, Solvang และ San Simeon
https://pantip.com/topic/37609667
EP.3 : ตื่นเช้าเดินชมเมืองชายทะเล แวะหมู่บ้านสุดน่ารัก ที่ Monterey และ Carmel By The Sea
https://pantip.com/topic/37611987
เราบินกับสายการบิน EVA Air เพราะเวลาและราคาดีค่ะ( Suvarnabhumi BKK : Taipei : Los Angeles LAX)
โดยเมื่อเรามาถึงสุวรรณภูมิก็ทำการจัดแจงเช็คสิ่งของ เตรียมความเรียบร้อยของเอกสาร และเตรียมเช็คอินขึ้นเครื่องตอน 1.30 น. ใช้เวลา 5-6 ชม.ก็ถึงสนามบินไทเปในช่วงเช้า รอ Transit อีกประมาณ 3-4 ชั่วโมง ก็ถือว่าไม่ต้องรอนานหรือรีบจนเกินไป แต่ขอบอกว่าง่วงมากค่ะ
จากนั้นเราก็นั่งเครื่องยาวเลยค่ะทีนี้ 13 ชั่วโมง จนถึงสนามบิน LAX , Los Angeles ถึงตอนเช้าของเวลาที่นี่พอดีค่ะ 7.33 น. ค่ะ
เรารอตรวจคนเข้าเมือง แถวค่อนข้างยาว แต่ก็ใช้เวลารอไม่นานมากประมาณ 15-20 นาทีค่ะ เพราะตอนนี้ระบบคนเข้าเมืองได้มีการนำเครื่องกรอกข้อมูลอัตโนมัติมาใช้แบบ Self service เราสามารถกรอกข้อมูลเองได้เลยโดยที่มีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลืออยู่ค่ะ เสร็จแล้วเราก็นำใบข้อมูลที่พิมพ์ออกมาจากเครื่องไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ ตม. ทางเจ้าหน้าที่ก็จะตรวจสอบข้อมูล สอบถามจุดประสงค์การเข้าประเทศ ระยะเวลา และข้อมูลอื่นๆ ถ้าไม่มีอะไรติดขัดก็ผ่านได้สบาย จากนั้นก็ไปรับกระเป๋า และถ้าไม่มีของต้องสำแดง Declare ก็ถือว่าการเข้าประเทศเป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ
เย้! ถึงแล้ว ออกมาจากสนามบินเราก็มองหา Shuttle bus ของบริษัทรถเช่าที่เราทำการจองไว้ก่อนเลยค่ะ เพราะเราจะรับรถเลย โดยรถบัสจะพาเราไปยังจุดบริการที่ใกล้ๆกับสนามบินค่ะ

เส้นทางการขับรถเที่ยวของเราทั้งหมดในทริปนี้
เช่ารถ Hertz ระยะเวลา 10 วัน
โดยการเที่ยวของเราทั้งหมด 14 วัน เราจะแบ่งเช่ารถขับช่วง 10 วันแรกค่ะ โดยครั้งนี้เราเช่ารถของบริษัท Hertz จองผ่าน Expedia ค่ะ ข้อดีคือ มีหลากหลายบริษัทให้เปรียบเทียบ และแจงราคาที่รวมค่าประกันอุบัติเหตุ หรือข้อเสนออื่นๆชัดเจน แถมการซื้อประกันล่วงหน้าก็จะถูกกว่าการซื้อหน้าเคาเตอร์นะคะ
บริเวณที่เช่ารถส่วนมากก็จะอยู่ใกล้สนามบิน โดยมีรถ Shuttle Bus ของแต่ละบริษัทบริการรับส่งจากสนามบินค่ะ พอถึงที่เช่ารถก็ยื่นเอกสาร พร้อมบัตรเครดิตประกันวงเงินอีก 200$ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย โดยพนักงานจะยื่นเอกสารให้เราไปเลือกรถตามไซส์ที่เราจองเองเลยค่ะ รถที่เราจองคือรถ Midsize ค่ะ โดยราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 15,xxx บาท รวมประกันชั้น 1 สำหรับ 10 วันนะคะ
**ทำการตรวจเช็ครถและถ่ายรูปรถ ลองนั่ง ปรับเบาะ ดูมุมมองการขับและฟังก์ชั่นอะไรต่างๆ ให้เรียบร้อยด้วยนะคะ
LA วันแรก-วันที่สาม
LA วันแรก
โอ้ยทั้งเหนื่อยทั้งตื่นเต้นมาก เพราะเราต้องเริ่มต้นการเดินทางด้วยการขับรถพวงมาลัยซ้าย และถนนก็ไม่คุ้นเลย ขับยากเหมือนกัน ขับกันโหดอยู่ค่ะที่ LA มีจอดด่าๆกัน แบบโผล่หัวออกมานอกหน้าต่าง ด่ากันจริงจังให้เห็นประปรายเหมือนดั่งเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายก็ยังไม่ค่อยจะพร้อมเท่าไหร่ อากาศก็ร้อนด้วยค่ะ ใช้เวลาจากสนามบินมาถึงที่โรงแรมประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่โชคดีมากๆ ที่เราสามารถเช็คอินได้เลย เราจึงได้ขึ้นไปพักผ่อน อาบน้ำ เตรียมตัวก่อนไปเที่ยวค่ะ *สำหรับคนที่มาถึงไฟลท์เช้า ก็อย่าลืมที่จะสอบถามกับทางโรงแรมก่อนล่วงหน้านะคะ ว่าถ้าหาก อยากจะเช็คอินเช้าเงื่อนไขเป็นยังไงบ้างค่ะ บางทีก็จำเป็นนะคะ เพราะพอไปถึงมันเหนื่อยจริงๆค่ะ เที่ยวเลยก็คงจะไม่ไหว โดยที่ LA เราพักกันที่ Best Western Midtown LA (รีวิวอยู่ย่อหน้าสุดท้ายนะคะ)
HOLLYWOOD WALK OF FAME
หลังจากพักผ่อนเล็กน้อย เราก็พร้อมจะตะลุย LA กันค่ะ โดยที่แรกที่จะไปนั้นก็ใครๆก็รู้จัก และมาถึง LA ก็คงต้องแวะไปสักหน่อย นั้นก็คือ Hollywood Walk Of fame จากภาพติดตาที่มีดารามาเดินพรมแดง โดยจะมีสถานที่ดังๆตั้งอยู่ เช่น Dollby Theater สถานที่ประกาศผลรางวัลออสการ์ , TCL Chinese Theater เป็นโรงหนังเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1927 ใช้ในการฉายภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ และประกาศ Award ต่างๆ บริเวณด้านหน้าจะมีลายเซ็น , รอยพิมพ์ฝ่ามือและรอยเท้าของดารามีชื่อเสียง

หากเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ก็จะมี Parking ให้บริการในละแวกใกล้ๆนั้นหลายจุด แต่ด้วยความอ่อนประสบการณ์และไม่ได้หาข้อมูลก่อน เราจึงจอดรถที่ให้บริการแถวนั้นชั่วโมงล่ะ 15 เหรียญ ในใจก็แอบคิดว่าราคาค่อนข้างสูง ก็เลยสอบถามคนเฝ้าว่าจอดได้กี่ชั่วโมงค่ะ เขาก็ตอบว่ากี่ชั่วโมงก็ได้ครับด้วยสีหน้าแบบชิลมาก เราก็คิด ใจดีจังเลยอ่ะ แต่ที่จริงคือเราจอดแพงมากค่ะ เพราะว่าตอนเราเดินเล่นเราเจอที่จอดที่ราคาถูกกว่านี้แบบแค่ไม่กี่เหรียญ อย่างไรก็อย่าลืมลองๆหาข้อมูลเผื่อไปก่อนนะคะ ว่ามีที่จอดรถที่ไหนบ้างและคิดค่าบริการเท่าไหร่ค่ะ (แนะนำ App Best Parking ข้อมูลอยู่ในส่วนของ Appที่แนะนำนะคะ)
มีรถ City Tour ไว้บริการนักท่องเที่ยวค่ะ หากอยากนั่งชมเมืองชิลๆ ก่อน
เราก็เดินเล่นดูดาวประทับชื่อบนทางเท้าตามประสานักท่องเที่ยวมือใหม่ ดูลายเซ็นหน้าดาราหน้า Chinese Theatre และถ้าไปแถว Dolby Theatre ก็จะเห็นป้าย Hollywood Sign อยู่ไกลๆ จากนั้นก็แวะร้านขายของที่ระลึกบ้าง ด้วยอากาศร้อนและแดดแรง แถมยังมึนๆปรับเวลาไม่ค่อยได้ เลยเดินไม่ค่อยทั่วค่ะ
มีพิพิธภัณฑ์ Ribley ด้วยค่ะ
ถ้าเจอตัวการ์ตูน ฮีโร่ ตัวละครจากหนังดังๆ ตามข้างทาง เขาจะชวนเราให้ถ่ายรูปด้วย อยากถ่ายก็ได้นะคะ แต่ก็ต้องเสียเงินให้เขานิดหน่อยค่ะ
Amoeba Music
จากนั้นเราก็แวะไปร้าน Amoeba Music เป็นร้านขายแผ่นเสียงไวนิล ซีดี ดีวีดี ที่ใหญ่มาก รวบรวมเพลงทั้งเก่าและใหม่ ทั้งหายากหาง่าย มีทั้งซีดีจากหลากหลายประเทศ จากประเทศไทยก็มีนะคะแต่ศิลปินสมัยไหนไม่รู้ มีพวกรูปโปสเตอร์ เสื้อยืดศิลปิน จำหน่ายด้วยค่ะ หากคนไหนชื่อชอบทางด้านดนตรีและมีเวลาลองมาแวะชมดู อาจจะเจอแผ่นเสียงที่ถูกใจก็เป็นได้
มีแผ่นเสียงจากไทยด้วยค่ะ
เรากลับถึงโรงแรมประมาณสี่โมงเย็น ยังไม่ทันค่ำ เราก็ง่วงนอนมากสงสัยยังปรับเวลาไม่ค่อยได้ หลับกันไปเลยค่ะ ข้าวเย็นไม่ได้ทาน ตื่นอีกทีตีสี่ ก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปเที่ยววันต่อไปค่ะ
LAวันที่สอง
วันที่สองของการเที่ยว วันนี้เราก็ออกตัวแต่เช้าเลยค่ะ เนื่องจากเราตื่นเช้า เราวางแผนกันว่าจะไปถ่ายรูปกับ Hollywood Sign ค่ะ
Hollywood Sign
ซึ่งถ้าใครมา LA ก็คงอยากจะมีรูปกับป้ายสัญลักษณ์นี้กลับไปสักหน่อย เพื่อแบบว่ามาถึง LA แล้วนะ เราก็เหมือนกันค่ะ โดยเราจะไปกันที่จุดตำแหน่งที่ถ่ายรูปกับป้ายนี้แล้วเป็นมุมที่สวยเห็นชัด แต่ทางไปก็ค่อนข้างจะงงๆนิดนึง เป็นทางคดเคี้ยว ผ่านหมู่บ้าน ก็ทำให้คิดว่ามันจะไปโผล่บ้านใครหรือเปล่า แต่ก็ไปตาม google map เลยนะคะ(แนบลิ้งค์ Location ไว้ให้ด้านล่างนะคะ)
https://goo.gl/maps/vkQDkwBHP7C2
นักท่องเที่ยวก็ค่อนข้างเยอะทีเดียวค่ะ เราก็จอดรถข้างทางและเดินขึ้นเขาไปเล็กน้อย เราก็ถ่ายรูป ชมวิวกัน ดูผู้คนพาหมามาวิ่งเล่น สนุกดีค่ะ
GRIFFITH OBSERVATORY
มาต่อกันที่ Griffith Observatory ซึ่งไม่ไกลมากนักประมาณ 15-20 นาที เป็นพิพิธภัณฑ์ดวงดาว ดาราศาสตร์ หอดูดาว ตรงจุดนี้เราจะเห็นวิวเมืองและป้าย Hollywood sign เล็กๆ นะคะ แต่เสียดายตอนเราไปค่อนข้างเป็นหมอกควันจากไฟป่าเยอะ อากาศไม่ปลอดโปร่ง เลยทำให้เห็นวิวไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ค่ะ
ส่วนภายในอาคาร ก็จะมีจัดให้ความรู้และประวัติศาสตร์เกี่ยวกับดาราศาสตร์ โลก แรงโน้มถ่วง และกล้องดูดาวต่างๆ สถานที่อยู่ในฉากภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง LA LA LAND ด้วยค่ะ
และหากใครขับรถมา ส่วนมากเสียค่าที่จอดรถ ไม่ว่าจะข้างทางหรือตรงลานจอดค่ะ ส่วนเราจอดตรงลานจอดแล้วต้องจ่ายผ่านบัตรเครดิต ประมาณ 4 เหรียญ เราเที่ยวชมใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ
[CR] ขับรถเที่ยวตะลุยอเมริกา USA West Coast Road Trip 14 วัน 3,500 km : [EP.1] เริ่มต้นการเดินทางกันที่ Los Angeles
EP.2 : แวะชมเมืองตากอากาศ และตามหาอุ๋งๆที่ Santa Barbara, Solvang และ San Simeon https://pantip.com/topic/37609667
EP.3 : ตื่นเช้าเดินชมเมืองชายทะเล แวะหมู่บ้านสุดน่ารัก ที่ Monterey และ Carmel By The Sea https://pantip.com/topic/37611987
จากนั้นเราก็นั่งเครื่องยาวเลยค่ะทีนี้ 13 ชั่วโมง จนถึงสนามบิน LAX , Los Angeles ถึงตอนเช้าของเวลาที่นี่พอดีค่ะ 7.33 น. ค่ะ
เรารอตรวจคนเข้าเมือง แถวค่อนข้างยาว แต่ก็ใช้เวลารอไม่นานมากประมาณ 15-20 นาทีค่ะ เพราะตอนนี้ระบบคนเข้าเมืองได้มีการนำเครื่องกรอกข้อมูลอัตโนมัติมาใช้แบบ Self service เราสามารถกรอกข้อมูลเองได้เลยโดยที่มีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลืออยู่ค่ะ เสร็จแล้วเราก็นำใบข้อมูลที่พิมพ์ออกมาจากเครื่องไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ ตม. ทางเจ้าหน้าที่ก็จะตรวจสอบข้อมูล สอบถามจุดประสงค์การเข้าประเทศ ระยะเวลา และข้อมูลอื่นๆ ถ้าไม่มีอะไรติดขัดก็ผ่านได้สบาย จากนั้นก็ไปรับกระเป๋า และถ้าไม่มีของต้องสำแดง Declare ก็ถือว่าการเข้าประเทศเป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ
เย้! ถึงแล้ว ออกมาจากสนามบินเราก็มองหา Shuttle bus ของบริษัทรถเช่าที่เราทำการจองไว้ก่อนเลยค่ะ เพราะเราจะรับรถเลย โดยรถบัสจะพาเราไปยังจุดบริการที่ใกล้ๆกับสนามบินค่ะ
เช่ารถ Hertz ระยะเวลา 10 วัน
บริเวณที่เช่ารถส่วนมากก็จะอยู่ใกล้สนามบิน โดยมีรถ Shuttle Bus ของแต่ละบริษัทบริการรับส่งจากสนามบินค่ะ พอถึงที่เช่ารถก็ยื่นเอกสาร พร้อมบัตรเครดิตประกันวงเงินอีก 200$ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย โดยพนักงานจะยื่นเอกสารให้เราไปเลือกรถตามไซส์ที่เราจองเองเลยค่ะ รถที่เราจองคือรถ Midsize ค่ะ โดยราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 15,xxx บาท รวมประกันชั้น 1 สำหรับ 10 วันนะคะ
LA วันแรก
โอ้ยทั้งเหนื่อยทั้งตื่นเต้นมาก เพราะเราต้องเริ่มต้นการเดินทางด้วยการขับรถพวงมาลัยซ้าย และถนนก็ไม่คุ้นเลย ขับยากเหมือนกัน ขับกันโหดอยู่ค่ะที่ LA มีจอดด่าๆกัน แบบโผล่หัวออกมานอกหน้าต่าง ด่ากันจริงจังให้เห็นประปรายเหมือนดั่งเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายก็ยังไม่ค่อยจะพร้อมเท่าไหร่ อากาศก็ร้อนด้วยค่ะ ใช้เวลาจากสนามบินมาถึงที่โรงแรมประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่โชคดีมากๆ ที่เราสามารถเช็คอินได้เลย เราจึงได้ขึ้นไปพักผ่อน อาบน้ำ เตรียมตัวก่อนไปเที่ยวค่ะ *สำหรับคนที่มาถึงไฟลท์เช้า ก็อย่าลืมที่จะสอบถามกับทางโรงแรมก่อนล่วงหน้านะคะ ว่าถ้าหาก อยากจะเช็คอินเช้าเงื่อนไขเป็นยังไงบ้างค่ะ บางทีก็จำเป็นนะคะ เพราะพอไปถึงมันเหนื่อยจริงๆค่ะ เที่ยวเลยก็คงจะไม่ไหว โดยที่ LA เราพักกันที่ Best Western Midtown LA (รีวิวอยู่ย่อหน้าสุดท้ายนะคะ)
หลังจากพักผ่อนเล็กน้อย เราก็พร้อมจะตะลุย LA กันค่ะ โดยที่แรกที่จะไปนั้นก็ใครๆก็รู้จัก และมาถึง LA ก็คงต้องแวะไปสักหน่อย นั้นก็คือ Hollywood Walk Of fame จากภาพติดตาที่มีดารามาเดินพรมแดง โดยจะมีสถานที่ดังๆตั้งอยู่ เช่น Dollby Theater สถานที่ประกาศผลรางวัลออสการ์ , TCL Chinese Theater เป็นโรงหนังเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1927 ใช้ในการฉายภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ และประกาศ Award ต่างๆ บริเวณด้านหน้าจะมีลายเซ็น , รอยพิมพ์ฝ่ามือและรอยเท้าของดารามีชื่อเสียง
หากเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว ก็จะมี Parking ให้บริการในละแวกใกล้ๆนั้นหลายจุด แต่ด้วยความอ่อนประสบการณ์และไม่ได้หาข้อมูลก่อน เราจึงจอดรถที่ให้บริการแถวนั้นชั่วโมงล่ะ 15 เหรียญ ในใจก็แอบคิดว่าราคาค่อนข้างสูง ก็เลยสอบถามคนเฝ้าว่าจอดได้กี่ชั่วโมงค่ะ เขาก็ตอบว่ากี่ชั่วโมงก็ได้ครับด้วยสีหน้าแบบชิลมาก เราก็คิด ใจดีจังเลยอ่ะ แต่ที่จริงคือเราจอดแพงมากค่ะ เพราะว่าตอนเราเดินเล่นเราเจอที่จอดที่ราคาถูกกว่านี้แบบแค่ไม่กี่เหรียญ อย่างไรก็อย่าลืมลองๆหาข้อมูลเผื่อไปก่อนนะคะ ว่ามีที่จอดรถที่ไหนบ้างและคิดค่าบริการเท่าไหร่ค่ะ (แนะนำ App Best Parking ข้อมูลอยู่ในส่วนของ Appที่แนะนำนะคะ)
เราก็เดินเล่นดูดาวประทับชื่อบนทางเท้าตามประสานักท่องเที่ยวมือใหม่ ดูลายเซ็นหน้าดาราหน้า Chinese Theatre และถ้าไปแถว Dolby Theatre ก็จะเห็นป้าย Hollywood Sign อยู่ไกลๆ จากนั้นก็แวะร้านขายของที่ระลึกบ้าง ด้วยอากาศร้อนและแดดแรง แถมยังมึนๆปรับเวลาไม่ค่อยได้ เลยเดินไม่ค่อยทั่วค่ะ
ถ้าเจอตัวการ์ตูน ฮีโร่ ตัวละครจากหนังดังๆ ตามข้างทาง เขาจะชวนเราให้ถ่ายรูปด้วย อยากถ่ายก็ได้นะคะ แต่ก็ต้องเสียเงินให้เขานิดหน่อยค่ะ
จากนั้นเราก็แวะไปร้าน Amoeba Music เป็นร้านขายแผ่นเสียงไวนิล ซีดี ดีวีดี ที่ใหญ่มาก รวบรวมเพลงทั้งเก่าและใหม่ ทั้งหายากหาง่าย มีทั้งซีดีจากหลากหลายประเทศ จากประเทศไทยก็มีนะคะแต่ศิลปินสมัยไหนไม่รู้ มีพวกรูปโปสเตอร์ เสื้อยืดศิลปิน จำหน่ายด้วยค่ะ หากคนไหนชื่อชอบทางด้านดนตรีและมีเวลาลองมาแวะชมดู อาจจะเจอแผ่นเสียงที่ถูกใจก็เป็นได้
เรากลับถึงโรงแรมประมาณสี่โมงเย็น ยังไม่ทันค่ำ เราก็ง่วงนอนมากสงสัยยังปรับเวลาไม่ค่อยได้ หลับกันไปเลยค่ะ ข้าวเย็นไม่ได้ทาน ตื่นอีกทีตีสี่ ก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปเที่ยววันต่อไปค่ะ
วันที่สองของการเที่ยว วันนี้เราก็ออกตัวแต่เช้าเลยค่ะ เนื่องจากเราตื่นเช้า เราวางแผนกันว่าจะไปถ่ายรูปกับ Hollywood Sign ค่ะ
ซึ่งถ้าใครมา LA ก็คงอยากจะมีรูปกับป้ายสัญลักษณ์นี้กลับไปสักหน่อย เพื่อแบบว่ามาถึง LA แล้วนะ เราก็เหมือนกันค่ะ โดยเราจะไปกันที่จุดตำแหน่งที่ถ่ายรูปกับป้ายนี้แล้วเป็นมุมที่สวยเห็นชัด แต่ทางไปก็ค่อนข้างจะงงๆนิดนึง เป็นทางคดเคี้ยว ผ่านหมู่บ้าน ก็ทำให้คิดว่ามันจะไปโผล่บ้านใครหรือเปล่า แต่ก็ไปตาม google map เลยนะคะ(แนบลิ้งค์ Location ไว้ให้ด้านล่างนะคะ)
https://goo.gl/maps/vkQDkwBHP7C2
นักท่องเที่ยวก็ค่อนข้างเยอะทีเดียวค่ะ เราก็จอดรถข้างทางและเดินขึ้นเขาไปเล็กน้อย เราก็ถ่ายรูป ชมวิวกัน ดูผู้คนพาหมามาวิ่งเล่น สนุกดีค่ะ
มาต่อกันที่ Griffith Observatory ซึ่งไม่ไกลมากนักประมาณ 15-20 นาที เป็นพิพิธภัณฑ์ดวงดาว ดาราศาสตร์ หอดูดาว ตรงจุดนี้เราจะเห็นวิวเมืองและป้าย Hollywood sign เล็กๆ นะคะ แต่เสียดายตอนเราไปค่อนข้างเป็นหมอกควันจากไฟป่าเยอะ อากาศไม่ปลอดโปร่ง เลยทำให้เห็นวิวไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ค่ะ
ส่วนภายในอาคาร ก็จะมีจัดให้ความรู้และประวัติศาสตร์เกี่ยวกับดาราศาสตร์ โลก แรงโน้มถ่วง และกล้องดูดาวต่างๆ สถานที่อยู่ในฉากภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง LA LA LAND ด้วยค่ะ
และหากใครขับรถมา ส่วนมากเสียค่าที่จอดรถ ไม่ว่าจะข้างทางหรือตรงลานจอดค่ะ ส่วนเราจอดตรงลานจอดแล้วต้องจ่ายผ่านบัตรเครดิต ประมาณ 4 เหรียญ เราเที่ยวชมใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ