วิทยาศาสตร์อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนส่วนใหญ่ ถ้าเราเดินไปถามคน 10 คน ว่าเรื่องละครเรื่องบุพเพสันนิวาส หรือหนึ่งด้าวฟ้าเดียวเป็นอย่างไร สนุกไหม อาจจะมีสัก 3-4 คนที่ตอบ อธิบายเล่าเรื่องได้ แต่ถ้าลองเปลี่ยนคำถามใหม่เป็น กฎข้อที่ 2 ของเทอโมไดนามิกเป็นอย่างไร ช่วยอธิบายให้ฟัง น่าจะมีคนที่ตอบคำถามเรื่องนี้ได้น้อยกว่าคำถามข้อแรก
แม้แต่ห้องหว้ากอในพันทิปก็ดูเป็นเอกเทศจากห้องอื่นๆ คำถามมักเป็นเรื่องที่เจาะจงไปในทางวิทยาศาสตร์ เราสงสัยกันว่าจุดจบของเอกภพเป็นอยางไร สภาพภายในของหลุมดำเป็นอย่างไร จำนวนธรรมชาติควรนิยามด้วย สัจพจน์ของเปอาโน หรือใช้ Von Neumann construction ดี ? คำถามในห้องหว้ากอมักไม่ถามเรื่องใหญ่ๆของระดับกาแลคซี เอกภพ ก็จะถามเรื่องเล็กๆของอิเล็กตรอน ควาก นิวตริโน แต่ในเรื่องของ มนุษย์ สังคม ดูไม่ค่อยมีคำถามแนวนี้กันสักเท่าไหร่ นั่นก็อาจจะเป็นเพราะตัวธรรมชาติของสาขาวิชาวิทยาศาสตร์เองด้วย
C. P. Snow (1905–1980) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษก็เคยตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องนี้เช่นกัน
C. P. Snow
ในเลกเชอร์ต่อสาธารณชนปี 1959 เรื่อง The Two Cultures (ไม่ใช่ The Two Towers ศึกหอคอยคู่กู้พิภพ ในลอร์ดออฟเดอะริงส์นะ) C. P. Snow เขาเสนอว่า ชีวิตของพวกกลุ่มปัญญาชนทั้งหมดในสังคมโลกตะวันตก ดูจะแบ่งออกเป็น 2 ค่ายอย่างชัดเจนคือ วิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และนั่นจะเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ในการแก้ปัญหาต่างๆของสังคมมนุษย์เรา
มองในระดับสังคมก็ได้ วิทยาศาสตร์ดูเป็นเรื่องห่างไกลจากผู้คนส่วนใหญ่ ทั้งที่สังคมสมัยใหม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ความรู้วิทยาศาสตร์จำนวนมาก และวิทยาศาสตร์ก็เป็นเครื่องมือแสวงหาความจริงที่สำคัญมาก
นั้นบางทีเราลองเลิกสนใจหลุมดำ กาแลคซีแอนโดรเมดา หรือทฤษฎีสตริงที่ดูห่างไกลจากตัวเราสักพัก แล้วมามองที่เรื่องใกล้ตัว คือสังคมมนุษย์บ้าง เอาแว่นวิทย์มาส่องเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาสังคม อาจจะได้มุมมอง แนวคิดที่น่าสนใจก็เป็นได้
พักสมการอันน่าปวดหัวไว้ก่อน
----------------------------------
อ่านหลายๆกระทู้ มีหลายคนบ่น เบื่องาน เบื่อชีวิต ถามว่าเกิดมาทำไม ชีวิตมนุษย์มีความหมายอย่างไร เรามาลองใช้วิทยาศาสตร์หาความจริงเพื่อตอบคำถามนี้กัน
อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเคยบอกว่าการจะแก้ปัญหาได้ ขั้นแรกสุดต้องตระหนักได้ก่อนว่ามีปัญหา เมื่อจะแก้ปัญหาก็ต้องอาศัยข้อมูลความจริง และตรงนี้เองที่วิทยาศาสตร์เข้ามามีส่วน เพราะทำให้มองโลกด้วยความเป็นจริง เพราะวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการศึกษาความจริง ไม่ใช่ความเชื่อ
คุณกำลังมีปัญหา existential crisis ใช่ไหม?
แล้วคุณสงสัยไหมว่าชีวิตมนุษย์เกิดมาทำไม?
ความหมายของชีวิตคืออะไร ?
มาค้นหาความจริงกันเถอะ
-----------------------------
เดี๋ยวมาเขียนต่อครับ ถ้าชอบช่วยกดบวก กดถูกใจด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
- จขกท. สุดหล่อ
==เบื่องาน เบื่อชีวิต คนเราเกิดมาทำไม? ตอบคำถาม หาความหมายของชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์กันเถอะกับแนวคิด Optimistic Nihilism==
วิทยาศาสตร์อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนส่วนใหญ่ ถ้าเราเดินไปถามคน 10 คน ว่าเรื่องละครเรื่องบุพเพสันนิวาส หรือหนึ่งด้าวฟ้าเดียวเป็นอย่างไร สนุกไหม อาจจะมีสัก 3-4 คนที่ตอบ อธิบายเล่าเรื่องได้ แต่ถ้าลองเปลี่ยนคำถามใหม่เป็น กฎข้อที่ 2 ของเทอโมไดนามิกเป็นอย่างไร ช่วยอธิบายให้ฟัง น่าจะมีคนที่ตอบคำถามเรื่องนี้ได้น้อยกว่าคำถามข้อแรก
แม้แต่ห้องหว้ากอในพันทิปก็ดูเป็นเอกเทศจากห้องอื่นๆ คำถามมักเป็นเรื่องที่เจาะจงไปในทางวิทยาศาสตร์ เราสงสัยกันว่าจุดจบของเอกภพเป็นอยางไร สภาพภายในของหลุมดำเป็นอย่างไร จำนวนธรรมชาติควรนิยามด้วย สัจพจน์ของเปอาโน หรือใช้ Von Neumann construction ดี ? คำถามในห้องหว้ากอมักไม่ถามเรื่องใหญ่ๆของระดับกาแลคซี เอกภพ ก็จะถามเรื่องเล็กๆของอิเล็กตรอน ควาก นิวตริโน แต่ในเรื่องของ มนุษย์ สังคม ดูไม่ค่อยมีคำถามแนวนี้กันสักเท่าไหร่ นั่นก็อาจจะเป็นเพราะตัวธรรมชาติของสาขาวิชาวิทยาศาสตร์เองด้วย
C. P. Snow (1905–1980) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษก็เคยตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องนี้เช่นกัน
C. P. Snow
ในเลกเชอร์ต่อสาธารณชนปี 1959 เรื่อง The Two Cultures (ไม่ใช่ The Two Towers ศึกหอคอยคู่กู้พิภพ ในลอร์ดออฟเดอะริงส์นะ) C. P. Snow เขาเสนอว่า ชีวิตของพวกกลุ่มปัญญาชนทั้งหมดในสังคมโลกตะวันตก ดูจะแบ่งออกเป็น 2 ค่ายอย่างชัดเจนคือ วิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และนั่นจะเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ในการแก้ปัญหาต่างๆของสังคมมนุษย์เรา
มองในระดับสังคมก็ได้ วิทยาศาสตร์ดูเป็นเรื่องห่างไกลจากผู้คนส่วนใหญ่ ทั้งที่สังคมสมัยใหม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ความรู้วิทยาศาสตร์จำนวนมาก และวิทยาศาสตร์ก็เป็นเครื่องมือแสวงหาความจริงที่สำคัญมาก
นั้นบางทีเราลองเลิกสนใจหลุมดำ กาแลคซีแอนโดรเมดา หรือทฤษฎีสตริงที่ดูห่างไกลจากตัวเราสักพัก แล้วมามองที่เรื่องใกล้ตัว คือสังคมมนุษย์บ้าง เอาแว่นวิทย์มาส่องเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาสังคม อาจจะได้มุมมอง แนวคิดที่น่าสนใจก็เป็นได้
พักสมการอันน่าปวดหัวไว้ก่อน
----------------------------------
อ่านหลายๆกระทู้ มีหลายคนบ่น เบื่องาน เบื่อชีวิต ถามว่าเกิดมาทำไม ชีวิตมนุษย์มีความหมายอย่างไร เรามาลองใช้วิทยาศาสตร์หาความจริงเพื่อตอบคำถามนี้กัน
อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเคยบอกว่าการจะแก้ปัญหาได้ ขั้นแรกสุดต้องตระหนักได้ก่อนว่ามีปัญหา เมื่อจะแก้ปัญหาก็ต้องอาศัยข้อมูลความจริง และตรงนี้เองที่วิทยาศาสตร์เข้ามามีส่วน เพราะทำให้มองโลกด้วยความเป็นจริง เพราะวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการศึกษาความจริง ไม่ใช่ความเชื่อ
คุณกำลังมีปัญหา existential crisis ใช่ไหม?
แล้วคุณสงสัยไหมว่าชีวิตมนุษย์เกิดมาทำไม?
ความหมายของชีวิตคืออะไร ?
มาค้นหาความจริงกันเถอะ
-----------------------------
เดี๋ยวมาเขียนต่อครับ ถ้าชอบช่วยกดบวก กดถูกใจด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
- จขกท. สุดหล่อ