เราเป็นพนักงานออฟฟิศแห่งหนึ่งค่ะ ปัจจุบันอายุ 26 ปี เราเป็นคนที่มีเพื่อนสนิทเยอะมากทั้งผู้ชายและผู้หญิงเพราะเราเป็นคนเฟรนด์ลี่ แต่มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่เราปฏิบัติกับเขาต่างออกไป
เรากับเขาเป็นเพื่อนกันมาเกือบจะ 10 ปีแล้วค่ะ รู้จักกันเพราะไปเข้าค่ายอบรมของหน่วยงานๆหนึ่ง อายุเรา 2 คนเท่ากัน เกิดเดือนเดียวกัน ปีเดียวกัน เราเกิดกลางเดือน เขาเกิดสิ้นเดือน ลักษณะนิสัยใจคอเป็นในแนวคล้ายๆกัน เขาเหมือนตัวเราในเวอร์ชั่นผู้ชายค่ะ มีความสุดกับชีวิตมากกว่าเรา ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราเรียน ปวช. ส่วนเขาเรียนม.ปลาย เรากับเขาอยู่กันคนละจังหวัดแต่ก็เป็นจังหวัดที่อยู่ติดกัน เราตกหลุมรักเขาาตั้งแต่ตอนเจอกันในค่ายค่ะ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ตัวแล้วยังมีน้ำหน้าไปช่วยเป็นแม่สื่อ ยุให้เขามาจีบเพื่อนตัวเองด้วย(สมน้ำหน้าตัวเองมากตอนนั้น) พอจบค่าย ต่างคนต่างแยกย้ายกลับ เราใช้เวลาทำใจอยู่ 2 วันกว่าจะกล้าโทรไปหาเขาเพื่อสารภาพรักทั้งๆที่รู้เต็มอกว่าเขาตกลงคบกับเพื่อนเราไปแล้ว ตอนนั้นไม่ได้หวังอะไรเลยนอกจากบอกความรู้สึกแล้วจบ ตัดใจไปซะ แล้วเราก็ใช้เวลาตัดใจครึ่งปีกว่าจะดีขึ้น
พอเขาเรียนจบ ม.ปลาย เขาเลือกมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยของจังหวัดที่เราอยู่เพราะเป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ หลังจากนั้นเรากับเขาก็เจอกันหลังจากไม่ได้เจอกันเลยร่วมปีครึ่งได้ มีไปมาหาสู่กันบ้าง ตัวเราเองไม่ค่อยอยากไปเจอเขาบ่อยนักเพราะรู้ใจตัวเองว่ายังรู้สึกดีๆกับเขาเกินเพื่อน จนเขามีแฟนเราก็เฟดตัวเองออกมา เราก็ใช้ชีวิตตามปกติ มีคบกับคนนั้นคนนี้บ้าง ช่วงที่เขาเรียนมหาวิทยาลัยเรากับเขาจึงค่อนข้างห่างกันมากหน่อย จนเขาเรียนจบเรากับเขาก็เลยเจอกันบ่อยขึ้น เขาเริ่มทำงานแรกที่จังหวัดที่เราอยู่ เราเลยนัดเจอกันไปกินข้าวบ้าง ไปดูหนังบ้าง ไปเดินเที่ยวซื้อของด้วยกันบ้าง เวลามีเรื่องมีปัญหา จะเรื่องงาน เรื่องจุกจิกนั่นนี่ เขามักจะนึกถึงเรา พูดระบายกับเราเสมอ เราดีใจนะ ปลื้มใจที่เราดูจะพิเศษกว่าเพื่อนคนอื่นของเขา ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่เขาลำบากหรือเจ็บปวดมา
ส่วนเรื่องความรัก ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเขามีแฟนค่ะ คบกันมานานจนเรียนจบ แต่แล้วก็มีปัญหาจนเลิกรากันไป เขาดูเจ็บปวดมากเลยค่ะ เราก็เป็นเพียง 1 ใน 2 – 3 คนที่เขาเล่ารายละเอียดให้ฟัง แล้วเขาก็มีคนคุยไปเรื่อยเปื่อย จนเขากลับไปทำงานที่บ้านเกิดเขาเอง เหมือนเขาจะเริ่มเปิดใจให้รักครั้งใหม่ จนเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วเรากับเพื่อนในกลุ่มนัดไปเที่ยวโฮมสเตย์กัน ซึ่งเรากับเพื่อนก็ชวนเขามาด้วย ตอนนั้นเรามีความสุขนะ แอบมองเขาแล้วยิ้มในใจ แม้เขาจะเหล่มองสาวโต๊ะอื่น ที่รู้สึกดีมากๆคือเขาชวนเราขึ้นเรือแล้วพายเรือคายัคให้เรานั่งเล่น ตัวเขาเองก็พูดถึงอนาคตของเขากับเรา ในทริปนี้มีสาวๆหลายคน เพื่อนเราก็ชอบเขาอยู่ แต่เขาเลือกชวนเรา พายให้เรานั่งเล่นแค่คนเดียว คุยเรื่องของเขากับเราแค่คนเดียว แต่พอจบทริปกลับไป เขาก็หายไปเลย เพื่อนๆทางนี้ก็พยายามคุยกับเขาทางโซเชียล แต่เขาไม่ตอบหรือคุยด้วย ทุกคนก็เกือบพร้อมใจจะเทเขาแล้ว แต่เมื่อช่วงท้ายๆเทศกาลสงกรานต์เขาทักแชทเรามาพร้อมขอเบอร์โทร.เรา เราเลยได้มีโอกาสคุยกับเขาว่าที่เขาหายไปเพราะอะไร แล้วก็เป็นไปตามที่คาด เกี่ยวกับเรื่องความรักจริงๆ เขาดูเจ็บปวดและอาการแย่มาก เราเลยชวนเขาให้ขึ้นมาเที่ยวที่บ้านเรา หลังจากนั้น 2 วันเขาก็ขึ้นมา พอได้คุยกัน ความโกรธที่เคยมีต่อเขาก็หายไปหมด เราให้เขามาพักที่บ้านเราแต่นอนกันคนละโซน ช่วงที่เขามาพ่อกับแม่เราอยู่ด้วยพอดี เขาอยากเที่ยว อยากดื่ม เราก็พาไป ตามใจเขาเพราะรู้ว่าเขาเสียใจหนักมากจริงๆ ในแต่ละคืนที่ไปเขาจะบังคับให้เราไปด้วยตลอด 555 ซึ่งสาวๆเข้าหาเขาเยอะมาก ขอไลน์กันให้วุ่น เราเห็นแต่พูดอะไรไม่ได้เพราะไม่ใช่แฟน ได้แต่แอบรู้สึกนิดๆในใจ แม้บางคืนเราจะหนีกลับก่อนแต่เขาก็ตามกลับมานอนที่บ้านทุกคืนเช่นกัน เราเลยโล่งใจหน่อยตรงที่เขาไม่ปล่อยตัวไปกับใคร เขาพูดขอบคุณเราบ่อยมากๆ รวมแล้ว 10 กว่าครั้งได้ ขอบคุณที่เราไม่เคยทิ้งเขาเลย ขอบคุณที่ดูแลเขาตลอด
ช่วง 2 ปีหลังมานี้ เราเคยปากลั่นไปพูดกับเขาว่า ถ้าเราลดน้ำหนักได้ มาเป็นแฟนกับเรามั้ย(เราอ้วนค่ะ อ้วนมาก น้ำหนักอยู่หลัก 90 กิโลกรัมเลยทีเดียว) เขาเลยสวนเรามาว่า ทำได้ป่าวล่ะ ซึ่งเราก็อึ้งๆๆ คิดในใจว่าจริงปะวะ พูดจริงปะเนี่ย นี่คือหมายถึงนางใจอ่อนแล้วใช่มะ แต่เราก็ทำไม่ได้ซักทีค่ะ ก็รู้นะ ว่าเขาควรรักเราในแบบที่เราเป็น แต่เขาเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีมาก เขาก็คงหวังดีกับเรา อยากให้เราดูดีค่ะ ซึ่งครั้งนี้ที่เขามาหา อยู่ๆเขาก็พูดทวงสัญญานี้ขึ้นมาอีกครั้ง เราเลยแบบ...เอาไงดีหว่า
ทุกคนคิดว่า เราควรทำตามคำสัญญาที่เราพูดกับเขามั้ยคะ เรื่องเรากับเขามันควรไปต่อที่คำว่าแฟนมั้ยคะ
ป.ล.เขารู้มาตลอดว่าเราคิดกับเขาเกินเพื่อนค่ะ แต่เหมือนเขารอแค่นี้ รอวันที่เราลดน้ำหนักเท่านั้นเอง
เมื่อฉันกลายเป็นนางเอก MV เพลงเป็นทุกอย่างในเวอร์ชั่นชีวิตจริง!
เรากับเขาเป็นเพื่อนกันมาเกือบจะ 10 ปีแล้วค่ะ รู้จักกันเพราะไปเข้าค่ายอบรมของหน่วยงานๆหนึ่ง อายุเรา 2 คนเท่ากัน เกิดเดือนเดียวกัน ปีเดียวกัน เราเกิดกลางเดือน เขาเกิดสิ้นเดือน ลักษณะนิสัยใจคอเป็นในแนวคล้ายๆกัน เขาเหมือนตัวเราในเวอร์ชั่นผู้ชายค่ะ มีความสุดกับชีวิตมากกว่าเรา ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราเรียน ปวช. ส่วนเขาเรียนม.ปลาย เรากับเขาอยู่กันคนละจังหวัดแต่ก็เป็นจังหวัดที่อยู่ติดกัน เราตกหลุมรักเขาาตั้งแต่ตอนเจอกันในค่ายค่ะ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ตัวแล้วยังมีน้ำหน้าไปช่วยเป็นแม่สื่อ ยุให้เขามาจีบเพื่อนตัวเองด้วย(สมน้ำหน้าตัวเองมากตอนนั้น) พอจบค่าย ต่างคนต่างแยกย้ายกลับ เราใช้เวลาทำใจอยู่ 2 วันกว่าจะกล้าโทรไปหาเขาเพื่อสารภาพรักทั้งๆที่รู้เต็มอกว่าเขาตกลงคบกับเพื่อนเราไปแล้ว ตอนนั้นไม่ได้หวังอะไรเลยนอกจากบอกความรู้สึกแล้วจบ ตัดใจไปซะ แล้วเราก็ใช้เวลาตัดใจครึ่งปีกว่าจะดีขึ้น
พอเขาเรียนจบ ม.ปลาย เขาเลือกมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยของจังหวัดที่เราอยู่เพราะเป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ หลังจากนั้นเรากับเขาก็เจอกันหลังจากไม่ได้เจอกันเลยร่วมปีครึ่งได้ มีไปมาหาสู่กันบ้าง ตัวเราเองไม่ค่อยอยากไปเจอเขาบ่อยนักเพราะรู้ใจตัวเองว่ายังรู้สึกดีๆกับเขาเกินเพื่อน จนเขามีแฟนเราก็เฟดตัวเองออกมา เราก็ใช้ชีวิตตามปกติ มีคบกับคนนั้นคนนี้บ้าง ช่วงที่เขาเรียนมหาวิทยาลัยเรากับเขาจึงค่อนข้างห่างกันมากหน่อย จนเขาเรียนจบเรากับเขาก็เลยเจอกันบ่อยขึ้น เขาเริ่มทำงานแรกที่จังหวัดที่เราอยู่ เราเลยนัดเจอกันไปกินข้าวบ้าง ไปดูหนังบ้าง ไปเดินเที่ยวซื้อของด้วยกันบ้าง เวลามีเรื่องมีปัญหา จะเรื่องงาน เรื่องจุกจิกนั่นนี่ เขามักจะนึกถึงเรา พูดระบายกับเราเสมอ เราดีใจนะ ปลื้มใจที่เราดูจะพิเศษกว่าเพื่อนคนอื่นของเขา ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่เขาลำบากหรือเจ็บปวดมา
ส่วนเรื่องความรัก ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเขามีแฟนค่ะ คบกันมานานจนเรียนจบ แต่แล้วก็มีปัญหาจนเลิกรากันไป เขาดูเจ็บปวดมากเลยค่ะ เราก็เป็นเพียง 1 ใน 2 – 3 คนที่เขาเล่ารายละเอียดให้ฟัง แล้วเขาก็มีคนคุยไปเรื่อยเปื่อย จนเขากลับไปทำงานที่บ้านเกิดเขาเอง เหมือนเขาจะเริ่มเปิดใจให้รักครั้งใหม่ จนเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วเรากับเพื่อนในกลุ่มนัดไปเที่ยวโฮมสเตย์กัน ซึ่งเรากับเพื่อนก็ชวนเขามาด้วย ตอนนั้นเรามีความสุขนะ แอบมองเขาแล้วยิ้มในใจ แม้เขาจะเหล่มองสาวโต๊ะอื่น ที่รู้สึกดีมากๆคือเขาชวนเราขึ้นเรือแล้วพายเรือคายัคให้เรานั่งเล่น ตัวเขาเองก็พูดถึงอนาคตของเขากับเรา ในทริปนี้มีสาวๆหลายคน เพื่อนเราก็ชอบเขาอยู่ แต่เขาเลือกชวนเรา พายให้เรานั่งเล่นแค่คนเดียว คุยเรื่องของเขากับเราแค่คนเดียว แต่พอจบทริปกลับไป เขาก็หายไปเลย เพื่อนๆทางนี้ก็พยายามคุยกับเขาทางโซเชียล แต่เขาไม่ตอบหรือคุยด้วย ทุกคนก็เกือบพร้อมใจจะเทเขาแล้ว แต่เมื่อช่วงท้ายๆเทศกาลสงกรานต์เขาทักแชทเรามาพร้อมขอเบอร์โทร.เรา เราเลยได้มีโอกาสคุยกับเขาว่าที่เขาหายไปเพราะอะไร แล้วก็เป็นไปตามที่คาด เกี่ยวกับเรื่องความรักจริงๆ เขาดูเจ็บปวดและอาการแย่มาก เราเลยชวนเขาให้ขึ้นมาเที่ยวที่บ้านเรา หลังจากนั้น 2 วันเขาก็ขึ้นมา พอได้คุยกัน ความโกรธที่เคยมีต่อเขาก็หายไปหมด เราให้เขามาพักที่บ้านเราแต่นอนกันคนละโซน ช่วงที่เขามาพ่อกับแม่เราอยู่ด้วยพอดี เขาอยากเที่ยว อยากดื่ม เราก็พาไป ตามใจเขาเพราะรู้ว่าเขาเสียใจหนักมากจริงๆ ในแต่ละคืนที่ไปเขาจะบังคับให้เราไปด้วยตลอด 555 ซึ่งสาวๆเข้าหาเขาเยอะมาก ขอไลน์กันให้วุ่น เราเห็นแต่พูดอะไรไม่ได้เพราะไม่ใช่แฟน ได้แต่แอบรู้สึกนิดๆในใจ แม้บางคืนเราจะหนีกลับก่อนแต่เขาก็ตามกลับมานอนที่บ้านทุกคืนเช่นกัน เราเลยโล่งใจหน่อยตรงที่เขาไม่ปล่อยตัวไปกับใคร เขาพูดขอบคุณเราบ่อยมากๆ รวมแล้ว 10 กว่าครั้งได้ ขอบคุณที่เราไม่เคยทิ้งเขาเลย ขอบคุณที่ดูแลเขาตลอด
ช่วง 2 ปีหลังมานี้ เราเคยปากลั่นไปพูดกับเขาว่า ถ้าเราลดน้ำหนักได้ มาเป็นแฟนกับเรามั้ย(เราอ้วนค่ะ อ้วนมาก น้ำหนักอยู่หลัก 90 กิโลกรัมเลยทีเดียว) เขาเลยสวนเรามาว่า ทำได้ป่าวล่ะ ซึ่งเราก็อึ้งๆๆ คิดในใจว่าจริงปะวะ พูดจริงปะเนี่ย นี่คือหมายถึงนางใจอ่อนแล้วใช่มะ แต่เราก็ทำไม่ได้ซักทีค่ะ ก็รู้นะ ว่าเขาควรรักเราในแบบที่เราเป็น แต่เขาเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีมาก เขาก็คงหวังดีกับเรา อยากให้เราดูดีค่ะ ซึ่งครั้งนี้ที่เขามาหา อยู่ๆเขาก็พูดทวงสัญญานี้ขึ้นมาอีกครั้ง เราเลยแบบ...เอาไงดีหว่า
ทุกคนคิดว่า เราควรทำตามคำสัญญาที่เราพูดกับเขามั้ยคะ เรื่องเรากับเขามันควรไปต่อที่คำว่าแฟนมั้ยคะ
ป.ล.เขารู้มาตลอดว่าเราคิดกับเขาเกินเพื่อนค่ะ แต่เหมือนเขารอแค่นี้ รอวันที่เราลดน้ำหนักเท่านั้นเอง