“อะไรนะคะ” หล่อนถามย้ำ ทำให้หมอยิ่งย้ำความเห็นของตัวเองหนักขึ้น
“ถึงแม้เรื่องที่เล่ามันจะน่านำมาวิเคราะห์มากแค่ไหน แต่พอสถานที่ ๆ อยู่ในเรื่องเล่ามันไม่มีอยู่จริง ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นอกจาก”
หมอยังพูดไม่จบ หล่อนก็พูดแซงขึ้น
“เป็นไปไม่ได้ค่ะ ก็ดิฉันอยู่ที่นั่นมา อย่างน้อยก็สามวันเต็ม ๆ”
หมอหันไปมองภาพที่ติดไว้บนฝาผนังก่อนที่จะหันมาสบตากับหล่อน
“สิ่งที่ผมกำลังสงสัยก็คือสามวันที่ผ่านมาคุณไปอยู่ที่ไหน เรื่องนี้คุณต้องให้ความร่วมมือกับผมนะ”
หล่อนแย้งเขาทั้งสีหน้าและแววตา
“หมอต้องไปดูให้เห็นกับตาค่ะว่าที่นั่นมีอยู่จริง ๆ”
หมอจ้องไปที่ดวงตาของหล่อน หล่อนเองก็ไม่หลบสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว
“ได้ งั้นคุณตามผมมา เราจะไปพิสูจน์กัน”
หมอเดินนำไปจนถึงหน้าโรงพยาบาลโดยมีหล่อนเดินตามมาติด ๆ
“เราไปขึ้นรถผมกัน” หมอหันไปบอกหล่อน หล่อนเองก็ตามหมอไปขึ้นรถอย่างไม่รอช้า
เมื่อทั้งคู่อยู่ในรถ การพิสูจน์ก็เริ่มต้นขึ้น
“เราจะเริ่มจากที่คุณบอก รถคันเขียวของคุณเลี้ยวซ้ายเข้าโรงพยาบาล งั้นผมจะออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปตามเส้นทางที่คุณมา”
หมอทำทุกอย่างตามที่พูด หล่อนเองก็เห็นด้วยทุกประการ หล่อนพยายามมองทางซ้าย หล่อนแน่ใจมากว่าคฤหาสน์หลังงามจะต้องอยู่ทางนี้ มันจะต้องมีอยู่ ถ้าหล่อนหลอนถึงขนาดเพ้อไปว่าได้ไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่ไม่มีอยู่จริง อาการของหล่อนคงจะหนักมาก
หมอเองขับรถไม่เร็วและก็ไม่ช้าไป เขามุ่งไปตามทางที่หล่อนอ้างว่าจากมา จนแล้วจนรอดหล่อนก็มองไม่เห็นคฤหาสน์นั้น หมอขับมาจนสุดทาง
“ถ้าเรายังขับตรงไปอีก มันกลายเป็นเส้นทางที่กำลังจะเข้าเมืองแล้ว”
ไม่มีเสียงตอบจากหล่อน หมอหันไปมองดูหล่อน เห็นหล่อนอยู่ในอาการที่ตื่นตระหนก
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก ผมจะไม่ทิ้งคุณ ผมจะรักษาคุณจนหาย”
หมอพูดถึงขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบใด ๆ เล็ดลอดมาจากปากของหล่อน หมอไม่ถึงกับบังคับให้หล่อนต้องพูดอะไรออกมาบ้าง เขาทิ้งเวลาสักพักก่อนจะพูดขึ้นอีก
“เรากลับกันเถอะครับ”
“ค่ะ” เป็นเสียงตอบครั้งแรกในห้วงเวลาหลายนาที
ตอนนี้ในหัวหล่อนค่อนข้างสับสน หล่อนปวดหัวมาก แต่ขณะที่หมอขับรถกลับไปตามเส้นทาง หล่อนยังคงมองไปทางขวาเกือบจะตลอดเวลา หล่อนมองด้วยความหวังแฝงความวิตกกังวล
พอถึงจุดหนึ่ง หล่อนจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน “หยุดค่ะ”
หมอรีบหยุดรถ
“เลี้ยวไปทางขวาหน่อยค่ะ”
หมอทำตามที่เธอบอก
“หยุดค่ะ หยุดตรงนี้”
พอรถหยุด หล่อนเปิดประตูรถแล้วเดินลงไป หล่อนเดินตรงไปนิดนึงแล้วก็หยุด หล่อนหันกลับมามองหน้าหมอที่กำลังมองหล่อนด้วยความวิตกกังวล
“มันเดอร์เลย์เคยอยู่ตรงนี้ค่ะ”
หล่อนพูดออกมาด้วยเสียงสะอื้น น้ำตาไหลนองหน้า
“ดิฉันไม่รู้จริง ๆ ว่ามันหายไปไหนแล้ว”
หมอเดินเข้าไปกอดหล่อน เขาเองก็รู้ว่าระหว่างหมอกับคนไข้ ควรจะมีระยะห่าง แต่เขาอดสงสารเธอไม่ได้ จึงเดินเข้าไปสวมกอดเธออย่างไม่รู้ตัว
“ผมต้องหาสาเหตุให้ได้ว่าคุณเป็นอะไรกันแน่ ลิเดีย”
หล่อนได้แต่ร้องไห้ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หมอผละจากตัวหล่อน เขาเอามือจับไหล่ทั้งสองข้าง
“ทำใจดี ๆ ไว้นะ”
หล่อนยิ้มให้หมอทั้ง ๆ ที่หล่อนกำลังร้องไห้
“มันเดอร์เลย์เคยอยู่ตรงนี้ค่ะหมอ ดิฉันไม่รู้จริง ๆ ว่ามันหายไปไหน”
หมอเข้าสวมกอดหล่อนอีกครั้ง ครั้งนี้หล่อนกอดตอบพร้อมกับเอาหน้าซบไหล่ของหมอ หล่อนร้องไห้ออกมาแทบจะขาดใจ
“ทำใจดี ๆ ไว้นะ ผมต้องหาสาเหตุให้ได้ว่าคุณเป็นอะไร”
หล่อนแทบไม่ได้พูดอะไรอีกเลย
โปรดติดตามตอนต่อไป
The Hospital ( Maxim de Winter at Manderley ภาค 2 ) บทที่ 3
“ถึงแม้เรื่องที่เล่ามันจะน่านำมาวิเคราะห์มากแค่ไหน แต่พอสถานที่ ๆ อยู่ในเรื่องเล่ามันไม่มีอยู่จริง ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นอกจาก”
หมอยังพูดไม่จบ หล่อนก็พูดแซงขึ้น
“เป็นไปไม่ได้ค่ะ ก็ดิฉันอยู่ที่นั่นมา อย่างน้อยก็สามวันเต็ม ๆ”
หมอหันไปมองภาพที่ติดไว้บนฝาผนังก่อนที่จะหันมาสบตากับหล่อน
“สิ่งที่ผมกำลังสงสัยก็คือสามวันที่ผ่านมาคุณไปอยู่ที่ไหน เรื่องนี้คุณต้องให้ความร่วมมือกับผมนะ”
หล่อนแย้งเขาทั้งสีหน้าและแววตา
“หมอต้องไปดูให้เห็นกับตาค่ะว่าที่นั่นมีอยู่จริง ๆ”
หมอจ้องไปที่ดวงตาของหล่อน หล่อนเองก็ไม่หลบสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว
“ได้ งั้นคุณตามผมมา เราจะไปพิสูจน์กัน”
หมอเดินนำไปจนถึงหน้าโรงพยาบาลโดยมีหล่อนเดินตามมาติด ๆ
“เราไปขึ้นรถผมกัน” หมอหันไปบอกหล่อน หล่อนเองก็ตามหมอไปขึ้นรถอย่างไม่รอช้า
เมื่อทั้งคู่อยู่ในรถ การพิสูจน์ก็เริ่มต้นขึ้น
“เราจะเริ่มจากที่คุณบอก รถคันเขียวของคุณเลี้ยวซ้ายเข้าโรงพยาบาล งั้นผมจะออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปตามเส้นทางที่คุณมา”
หมอทำทุกอย่างตามที่พูด หล่อนเองก็เห็นด้วยทุกประการ หล่อนพยายามมองทางซ้าย หล่อนแน่ใจมากว่าคฤหาสน์หลังงามจะต้องอยู่ทางนี้ มันจะต้องมีอยู่ ถ้าหล่อนหลอนถึงขนาดเพ้อไปว่าได้ไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่ไม่มีอยู่จริง อาการของหล่อนคงจะหนักมาก
หมอเองขับรถไม่เร็วและก็ไม่ช้าไป เขามุ่งไปตามทางที่หล่อนอ้างว่าจากมา จนแล้วจนรอดหล่อนก็มองไม่เห็นคฤหาสน์นั้น หมอขับมาจนสุดทาง
“ถ้าเรายังขับตรงไปอีก มันกลายเป็นเส้นทางที่กำลังจะเข้าเมืองแล้ว”
ไม่มีเสียงตอบจากหล่อน หมอหันไปมองดูหล่อน เห็นหล่อนอยู่ในอาการที่ตื่นตระหนก
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก ผมจะไม่ทิ้งคุณ ผมจะรักษาคุณจนหาย”
หมอพูดถึงขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบใด ๆ เล็ดลอดมาจากปากของหล่อน หมอไม่ถึงกับบังคับให้หล่อนต้องพูดอะไรออกมาบ้าง เขาทิ้งเวลาสักพักก่อนจะพูดขึ้นอีก
“เรากลับกันเถอะครับ”
“ค่ะ” เป็นเสียงตอบครั้งแรกในห้วงเวลาหลายนาที
ตอนนี้ในหัวหล่อนค่อนข้างสับสน หล่อนปวดหัวมาก แต่ขณะที่หมอขับรถกลับไปตามเส้นทาง หล่อนยังคงมองไปทางขวาเกือบจะตลอดเวลา หล่อนมองด้วยความหวังแฝงความวิตกกังวล
พอถึงจุดหนึ่ง หล่อนจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน “หยุดค่ะ”
หมอรีบหยุดรถ
“เลี้ยวไปทางขวาหน่อยค่ะ”
หมอทำตามที่เธอบอก
“หยุดค่ะ หยุดตรงนี้”
พอรถหยุด หล่อนเปิดประตูรถแล้วเดินลงไป หล่อนเดินตรงไปนิดนึงแล้วก็หยุด หล่อนหันกลับมามองหน้าหมอที่กำลังมองหล่อนด้วยความวิตกกังวล
“มันเดอร์เลย์เคยอยู่ตรงนี้ค่ะ”
หล่อนพูดออกมาด้วยเสียงสะอื้น น้ำตาไหลนองหน้า
“ดิฉันไม่รู้จริง ๆ ว่ามันหายไปไหนแล้ว”
หมอเดินเข้าไปกอดหล่อน เขาเองก็รู้ว่าระหว่างหมอกับคนไข้ ควรจะมีระยะห่าง แต่เขาอดสงสารเธอไม่ได้ จึงเดินเข้าไปสวมกอดเธออย่างไม่รู้ตัว
“ผมต้องหาสาเหตุให้ได้ว่าคุณเป็นอะไรกันแน่ ลิเดีย”
หล่อนได้แต่ร้องไห้ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หมอผละจากตัวหล่อน เขาเอามือจับไหล่ทั้งสองข้าง
“ทำใจดี ๆ ไว้นะ”
หล่อนยิ้มให้หมอทั้ง ๆ ที่หล่อนกำลังร้องไห้
“มันเดอร์เลย์เคยอยู่ตรงนี้ค่ะหมอ ดิฉันไม่รู้จริง ๆ ว่ามันหายไปไหน”
หมอเข้าสวมกอดหล่อนอีกครั้ง ครั้งนี้หล่อนกอดตอบพร้อมกับเอาหน้าซบไหล่ของหมอ หล่อนร้องไห้ออกมาแทบจะขาดใจ
“ทำใจดี ๆ ไว้นะ ผมต้องหาสาเหตุให้ได้ว่าคุณเป็นอะไร”
หล่อนแทบไม่ได้พูดอะไรอีกเลย
โปรดติดตามตอนต่อไป