เราA(นามสมมุติ) อายุ15 ปี2015 กำลังเรียนอยู่ม.3 ต้องบอกก่อนว่า เราเป็นลูกคนเล็ก ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก เราอยู่ในกรอบเสมอ การเรียนต้องเป๊ะทุกอย่าง ต้องเรียนติดอันดับ1-10 ทุกเทอม เราก็ทำดีมาตลอดเป็นที่ภาคภูมิใจของครอบครัว ของญาติๆ พ่อชื่นชมทุกๆครั้ง แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าการอยู่ในกรอบมันอึดอัดแค่ไหน
จนวันนึง ช่วงกลางเทอมม.3 เรามีแฟนชื่อB(นามสมมุติ) เขาเป็นทุกๆอย่าง เราทะเลาะกับพี่สาวบ่อยๆ เราก็จะให้เขามารับ-ส่ง เราเริ่มติดเที่ยว ไม่กลับบ้าน อ้างต่างๆนาๆ งานเยอะบ้าง กินเลี้ยงบ้าง พ่อแม่เราก็เริ่มจะเบื่อนิสัยติดเที่ยวเรา จึงเริ่มมีปากเสียงกัน เราจึงหนีออกจากบ้านช่วงปิดเทอมม.3 พ่อแม่และญาติๆตามเราเจออยู่ที่บ้านแฟน จึงตกลงกันให้มั่นหมายไว้ก่อน แต่ตาเราไม่ยอม จะให้แต่ง เราสงสารพ่อแม่แฟนที่ไม่ได้รวยอะไร เลยขัดใจตาเต็มที่ว่าไม่แต่ง ซึ่งตาเราก็ต้องยอมแต่มีข้อแม้ว่าอีก3ปีต้องแต่ง ก้ตกลงกันตามนั้น
เรา2คนก็ไปๆมาๆ ไปรับ-ส่งกันธรรมดา จนม.4 เราย้ายร.ร. เราเริ่มโดดเรียนไปกับแฟน ตอนนั้นเราเริ่มคิดขึ้นมาได้ว่า "จำไว้ ว่าตอนนี้มีความสุขมากแค่ไหน และอย่ามาเสียใจในสิ่งที่ทำไปทีหลังล่ะA" เขาแคร์เรามาก ทำให้เราทุกๆอย่าง แต่ด้วยความเป็นเด็ก เราก็ติดเที่ยว พอหลังๆมาแฟนเราเริ่มติดยา ติดเหล้า ติดเพื่อน ตบตีเราในบางครั้ง เพื่อนมันก็มาห้ามไว้ ค่าเหนื่อย พ่อแม่เรายังไม่เคยตีเลย จนเราไม่อยากไปเรียน มันเริ่มน่าเบื่อ มันก็กราบเท้าขอโทดเราเสมอในทุกๆครั้งที่มันทำร้ายเรา เราก็ให้อภัยตลอด มันชวนเราไปอยู่กับพ่อแม่มันที่ต่างจังหวัด เราก็ตามใจ พอไปถึง โอ้.......เราต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองและแฟน โดยที่ขอจากพ่อแม่เรานี้แหละ พ่อแม่แฟนไม่ช่วยอะไรเลย เราเริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น....มารู้ตัวอีกที
.......เราท้อง ได้ประมาณ3เดือน ด้วยค่าห้อง ค่านุ้นนี้ต่างๆ เงินไม่พอใช้ แฟนเราก็ทำงานบ้าง หยุดบ้าง เราต้องขอพ่อแม่เราตลอด และวันนึงมันพูดขึ้นมาว่า มี2วิธีให้เลือก 1ไปเอาออกซะ 2คลอดแล้วเดี่ยวกูเอาไปทิ้งในป่าเอง
เราอึ้งสักพักจึงตัดสินใจจะหนีกลับบ้าน แฟนเรากระโดดถีบอัดเข้ากับประตูตรงที่หน้าท้อง ทั้งๆที่รู้ว่าเราท้องอยู่ เราทรุดลงกับพื้นและนอนร้องไห้ ขยับไม่ได้ เราคิดเห็นแต่หน้าพ่อแม่ จนอยากจบชีวิตห่วยๆ สักพักมันมาอุ้มเราแล้วกราบเท้าเราและขอโทดอยู่ซ้ำๆ พอเรามีแรงก็ตบเข้าที่หน้ามันทีนึง และถีบมือที่มันไหว้อยู่ แล้วเราก็พูดว่า กี่ครั้งแล้ว กูยอมมากี่ครั้งแล้ว ปล่อยกูไปเถอะ กูจะกลับบ้าน พอพูดจบ มันทั้งร้องไห้ อ้อนวอน กราบเท้า กอดเราไว้ จนเราเผลอหลับไป
อาทิตย์ต่อมาเราก็ขอกลับบ้านมันเลยบอกกลับด้วยกันนะ เริ่มใหม่กัน....ผ่านไปสักพัก มันติดยาเหมือนเดิม เราเกลียดคนติดยามาก เลยพูดไปว่า กูไม่อยากให้ลูกกูมีพ่อขี้ยาหรอกนะ มันยิ่งติดหนักกว่าเดิม ทิ้งเราไว้บ้านคนเดียว หายไปนานๆกลับมาที พอเราท้องได้7เดือน พ่อแม่เราจับได้ พ่อไม่คุยกับเราเลย แม่ก็พาเราไปฝากท้องปกติ แฟนเราก็ดีขึ้น ทำตัวดีมาก เพราะเรายอมมันทุกๆอย่าง ไม่พูด ปล่อย ตามใจ ก่อนวันคลอดมันจับท้องเราและพูดว่า...อยากรู้จังลูกเราจะหน้าเหมือนใคร...และยิ้ม...เรารู้ว่าเราไม่ได้มีความสุขเหมือนเดิมอีกแล้ว เราเฉยไปแล้ว พอคลอด มันมาเฝ้าเรา1คืน เรานอนให้น้ำเกลือ3คืน แม่เรามานอนเฝ้าเราทุกวัน มันก็หายไปเลย มาเซ็นชื่อเป็นพ่อเด็กและใช้นามสกุลมัน พอเรากลับบ้าน เราเฉยไปแล้ว เราห่างจากคำว่าความสุข เราหาคำนั้นในรอยยิ้มแฟนไม่เจอ เราหงุดหงิด รำคารสายตาที่เรามาวุ่นวายกับครอบครัวเราทั้งๆที่กลิ่นทินเนอร์ยังติดตัวอยู่ เราเริ่มห่าง เราเริ่มบล็อคเบอร์แฟน เราห่างกันไป เราเลี้ยงลูก มันไปทำงาน แต่เราไม่คุยกันเลย ต่างคนต่างอยู่ เราเป็นคนไม่คุยเรื่องส่วนตัวกับครอบครัวอยู่แล้ว แต่พ่อแม่ก็น่าจะดูออก จึงไม่เอ่ยถึงชื่อแฟนเราเลยสักคำ
....จนเราอายุ17 ตาเราเสีย เราจึงมาทำงานที่กทม. ลูกเราอายุได้5เดือน เราทำงานร้านอาหาร เงินเดือน6500 แต่มีทิปพออยู่ได้ เราส่งลูกเราบ้าง ไม่ได้ส่งบ้าง และแฟนเราก็มีแฟนใหม่จนได้มั่นหมายกัน (คบกับน้องสาวเพื่อนเรา) เราเฉยไปแล้วก็เลยเเฉยๆ ไม่สนใจอะไร แต่...ด้วยความที่แฟนของแฟนเรายังเด็ก เขาชอบมาถามเราเรื่องSexบ้าง เรื่องท้องบ้าง เรื่องนิสัยBบ้างว่าตอนอยู่กับเราเขานิสัยยังไง บลาๆๆ จนเราสงสาร คิดเหนสภาพตัวเองในอดีต เราก็บอกให้กลับไปเรียนให้จบม.ต้นก่อน มันจะดีกับอนาคต แต่นางก็หายไปเลย สักพักโพล่มาบอกว่านางท้อง....เราก็ยังเฉย เลยได้แต่ปลอบไปเรื่อยๆ จนสติเราแทบจะหลุดออกนอกโลก อยากกลับไปเรียนให้จบเหมือนที่พ่อหวัง คำนี้วนเวียนอยู่ในหัวเราซ้ำแล้วซ้ำอีก
จนเราเริ่มติดเที่ยวอีกครั้ง เมาแล้วนอนแล้วก็ลืมม
จนเราทะเลาะกับเจ้าของร้านในหลายๆเรื่องเนื่องมาจากตัวเรานี้แหละ ทั้งเรื่องเงินประกัน เราจะลาออกไปอยู่บ้าน แต่เขาไม่คืนเงินประกัน เพราะมันมีหลายๆเรื่อง ขอข้ามไป เราทำได้8เดือนก็ออก มีเงินติดตัวอยู่ 2300 เราออกมากับรุ่นพี่ มาขออาศัยกับคนที่พึ่งรู้จักอยู่ร้านเหล้า ซึ้งคบกับรุ่นพี่น่ะแหละ เขาเป็นคนดีมากๆ เหมือนครอบครัวเล็กๆเลย มันอบอุ่น แต่เงินเราไกล้จะหมด ลูกก็รออยู่ เราเริ่มหางานใหม่ ประมาณ19วัน เราได้งานใหม่ แต่รุ่นพี่เราอยากไปทำงานที่อื่น เราจึงต้องไปด้วย เพราะเราไม่มีที่ไป เราจะขอลาออกจากที่ทำงาน ที่พึ่งทำได้แค่4วัน รุ่นพี่ผู้ชายที่ทำงานเราบอกว่า จะเช่าห้องให้ แต่มีข้อแม้ว่า เราจะมาแชร์ค่าห้องกัน เขาออกค่าห้อง เราออกค่าน้ำ-ไฟ ด้วยความที่ว่า เราไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ เราไม่อยากออกจากงาน เพราะมันโอเคมาก เราเลยตกลง เราอยู่ไปสักพัก เขาก็ไม่ได้มาวุ่นวายกับเรา พอประมาน3เดือน เขาจะเข้ามาอยู่ เราไม่ยอม เลยทะเลาะกัน และ....เราก็โดนไล่ออกจากห้อง
เราเล่าให้เพื่อนที่ทำงานฟังว่าเราไม่มีที่อยู่ เพื่อนๆพี่ๆก็เลยหาห้องให้เรา พวกพี่ๆและผจก.ก็ตกลงกันว่าจะให้เราไปอยู่หอเจ้าของที่ทำงาน ไม่เสียค่ามัดจำ ลดค่าห้อง1000 อยู่ไปก่อน ค่อยเสียค่าห้องสิ้นเดือน เราก็ตกลง โดยที่ตอนย้ายห้อง พวกเพื่อนๆพี่ๆที่ทำงานช่วยย้าย ออกค่ารถขนของ ไปส่งถึงห้อง พวกเขาดีกับเรามาก เราโอเคที่จะอยู่ที่นี้ แต่เรื่องเดิมๆของสังคมที่วุ่นวายก็มีอยู่เสมอ เราท้อ แต่เราไม่เคยถอย เราขอทำงานเข้า 06:30เลิก22:30 ไม่เอาวันหยุด บางครั้งเราเข้างาน08:00เลิก08:00ของอีกวันก็มี จนเราได้เงินเดือนมา16000 เราภูมิใจมาก (ร่างกายแทบพังสติแทบหลุด) ทั้งๆที่เป็นพาทไทม์อยู่ ต่อมาเราก็ได้ปรับเป็นพนักงาน เราโอเคกับงาน ถึงจะมีเรื่องราววุ่นวายไม่เข้าใจกันมากมาย แต่เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง
......พอชีวิตเราดีขึ้นมากๆ ในวันเกิดลูกเรา2ขวบกำลังจะเข้าร.ร.พ่อของลูกเราโทรมา บอกว่าอยากส่งเสียลูกเรียน อยากรับผิดชอบลูก บลาๆๆ ยังไงก็ลูกมัน เรานึกขึ้นได้ว่า ป้าที่ทำงานสอน ว่า ถึงเราจะเลิกกัน แต่อย่าตัดความเปนพ่อลูกเขา เพราะเราอาจจะเปนคนทำร้ายลูกเองก็ได้ เราเลยให้โอกาสแต่....เราถามมันว่า ลูกกูเข้าเรียน เมียก็คลอดลูกพอดี ส่งไม่ไหวหรอก
หายไปเป็นปีๆ อยู่ๆก็โพล่หัวมา กูผ่านอะไรมาบ้าง จะไม่หน้าด้านไปน่อยหรอ มันก็ขอโทดเหมือนเดิม เราเลยยิ้มและพูดว่า ถ้าทำได้กูจะยอมให้เรียกลูกได้ปกติ แต่ถ้าไม่ ต้องหายไปจากชีวิตกูกับลูกซะ และเลี้ยงลูกเขาให้ดีๆ กูเหนตัวเองแล้วสางสารจริงๆ
เราก็ให้โอกาสมันคุยกับแม่เราเอง แม่เราก็คุยดีๆ ทันก็บอกว่าแม่เราพูดดี ไม่โกรธมันเลย
สักพักแม่เราโทรมาแล้วบอกเราว่า ตอนเราไม่มีมันแม่ยังเลี้ยงมาได้ มันหายไปเป็นปี จะกลับมาทำไม ลูกแม่แม่เลี้ยงเอง ไม่ต้องไปวุ่นวายกับเขา ไม่ต้องขอใครกินเราก็อยู้ได้
เรายิ้มและภูมิใจในความเข้มแข็งของแม่ ( แม่เราเป็นมะเร็ง ยายเราเปนอัลไซเมอร์ ตาพึ่งเสีย พี่สาวเราเรียนป.ตรี พ่อเราขายของส่งงวดรถธรรมดาๆ)
เราไม่ต้องการอะไรอีกแล้วเราเคารพการตัดสินใจของแม่ และจะก้าวไปข้างหน้าด้วยครอบครัวที่อุ่บอุ่นของเรา และ....หนูจะเรียนให้จบค่ะพ่อ หนูจะพยายาม เป็นเวลา2ปีสินะ ที่เราคุยกับพ่อไม่ถึง5คำเลยถึงจะเป็นตอนที่อยู่บ้านก็ตาม
...หนูหวังว่าสักวันพ่อจะให้อภัยหนูนะคะ
เพราะชีวิตคนเราไม่มีปุ่ม Restart.
จนวันนึง ช่วงกลางเทอมม.3 เรามีแฟนชื่อB(นามสมมุติ) เขาเป็นทุกๆอย่าง เราทะเลาะกับพี่สาวบ่อยๆ เราก็จะให้เขามารับ-ส่ง เราเริ่มติดเที่ยว ไม่กลับบ้าน อ้างต่างๆนาๆ งานเยอะบ้าง กินเลี้ยงบ้าง พ่อแม่เราก็เริ่มจะเบื่อนิสัยติดเที่ยวเรา จึงเริ่มมีปากเสียงกัน เราจึงหนีออกจากบ้านช่วงปิดเทอมม.3 พ่อแม่และญาติๆตามเราเจออยู่ที่บ้านแฟน จึงตกลงกันให้มั่นหมายไว้ก่อน แต่ตาเราไม่ยอม จะให้แต่ง เราสงสารพ่อแม่แฟนที่ไม่ได้รวยอะไร เลยขัดใจตาเต็มที่ว่าไม่แต่ง ซึ่งตาเราก็ต้องยอมแต่มีข้อแม้ว่าอีก3ปีต้องแต่ง ก้ตกลงกันตามนั้น
เรา2คนก็ไปๆมาๆ ไปรับ-ส่งกันธรรมดา จนม.4 เราย้ายร.ร. เราเริ่มโดดเรียนไปกับแฟน ตอนนั้นเราเริ่มคิดขึ้นมาได้ว่า "จำไว้ ว่าตอนนี้มีความสุขมากแค่ไหน และอย่ามาเสียใจในสิ่งที่ทำไปทีหลังล่ะA" เขาแคร์เรามาก ทำให้เราทุกๆอย่าง แต่ด้วยความเป็นเด็ก เราก็ติดเที่ยว พอหลังๆมาแฟนเราเริ่มติดยา ติดเหล้า ติดเพื่อน ตบตีเราในบางครั้ง เพื่อนมันก็มาห้ามไว้ ค่าเหนื่อย พ่อแม่เรายังไม่เคยตีเลย จนเราไม่อยากไปเรียน มันเริ่มน่าเบื่อ มันก็กราบเท้าขอโทดเราเสมอในทุกๆครั้งที่มันทำร้ายเรา เราก็ให้อภัยตลอด มันชวนเราไปอยู่กับพ่อแม่มันที่ต่างจังหวัด เราก็ตามใจ พอไปถึง โอ้.......เราต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองและแฟน โดยที่ขอจากพ่อแม่เรานี้แหละ พ่อแม่แฟนไม่ช่วยอะไรเลย เราเริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น....มารู้ตัวอีกที
.......เราท้อง ได้ประมาณ3เดือน ด้วยค่าห้อง ค่านุ้นนี้ต่างๆ เงินไม่พอใช้ แฟนเราก็ทำงานบ้าง หยุดบ้าง เราต้องขอพ่อแม่เราตลอด และวันนึงมันพูดขึ้นมาว่า มี2วิธีให้เลือก 1ไปเอาออกซะ 2คลอดแล้วเดี่ยวกูเอาไปทิ้งในป่าเอง
เราอึ้งสักพักจึงตัดสินใจจะหนีกลับบ้าน แฟนเรากระโดดถีบอัดเข้ากับประตูตรงที่หน้าท้อง ทั้งๆที่รู้ว่าเราท้องอยู่ เราทรุดลงกับพื้นและนอนร้องไห้ ขยับไม่ได้ เราคิดเห็นแต่หน้าพ่อแม่ จนอยากจบชีวิตห่วยๆ สักพักมันมาอุ้มเราแล้วกราบเท้าเราและขอโทดอยู่ซ้ำๆ พอเรามีแรงก็ตบเข้าที่หน้ามันทีนึง และถีบมือที่มันไหว้อยู่ แล้วเราก็พูดว่า กี่ครั้งแล้ว กูยอมมากี่ครั้งแล้ว ปล่อยกูไปเถอะ กูจะกลับบ้าน พอพูดจบ มันทั้งร้องไห้ อ้อนวอน กราบเท้า กอดเราไว้ จนเราเผลอหลับไป
อาทิตย์ต่อมาเราก็ขอกลับบ้านมันเลยบอกกลับด้วยกันนะ เริ่มใหม่กัน....ผ่านไปสักพัก มันติดยาเหมือนเดิม เราเกลียดคนติดยามาก เลยพูดไปว่า กูไม่อยากให้ลูกกูมีพ่อขี้ยาหรอกนะ มันยิ่งติดหนักกว่าเดิม ทิ้งเราไว้บ้านคนเดียว หายไปนานๆกลับมาที พอเราท้องได้7เดือน พ่อแม่เราจับได้ พ่อไม่คุยกับเราเลย แม่ก็พาเราไปฝากท้องปกติ แฟนเราก็ดีขึ้น ทำตัวดีมาก เพราะเรายอมมันทุกๆอย่าง ไม่พูด ปล่อย ตามใจ ก่อนวันคลอดมันจับท้องเราและพูดว่า...อยากรู้จังลูกเราจะหน้าเหมือนใคร...และยิ้ม...เรารู้ว่าเราไม่ได้มีความสุขเหมือนเดิมอีกแล้ว เราเฉยไปแล้ว พอคลอด มันมาเฝ้าเรา1คืน เรานอนให้น้ำเกลือ3คืน แม่เรามานอนเฝ้าเราทุกวัน มันก็หายไปเลย มาเซ็นชื่อเป็นพ่อเด็กและใช้นามสกุลมัน พอเรากลับบ้าน เราเฉยไปแล้ว เราห่างจากคำว่าความสุข เราหาคำนั้นในรอยยิ้มแฟนไม่เจอ เราหงุดหงิด รำคารสายตาที่เรามาวุ่นวายกับครอบครัวเราทั้งๆที่กลิ่นทินเนอร์ยังติดตัวอยู่ เราเริ่มห่าง เราเริ่มบล็อคเบอร์แฟน เราห่างกันไป เราเลี้ยงลูก มันไปทำงาน แต่เราไม่คุยกันเลย ต่างคนต่างอยู่ เราเป็นคนไม่คุยเรื่องส่วนตัวกับครอบครัวอยู่แล้ว แต่พ่อแม่ก็น่าจะดูออก จึงไม่เอ่ยถึงชื่อแฟนเราเลยสักคำ
....จนเราอายุ17 ตาเราเสีย เราจึงมาทำงานที่กทม. ลูกเราอายุได้5เดือน เราทำงานร้านอาหาร เงินเดือน6500 แต่มีทิปพออยู่ได้ เราส่งลูกเราบ้าง ไม่ได้ส่งบ้าง และแฟนเราก็มีแฟนใหม่จนได้มั่นหมายกัน (คบกับน้องสาวเพื่อนเรา) เราเฉยไปแล้วก็เลยเเฉยๆ ไม่สนใจอะไร แต่...ด้วยความที่แฟนของแฟนเรายังเด็ก เขาชอบมาถามเราเรื่องSexบ้าง เรื่องท้องบ้าง เรื่องนิสัยBบ้างว่าตอนอยู่กับเราเขานิสัยยังไง บลาๆๆ จนเราสงสาร คิดเหนสภาพตัวเองในอดีต เราก็บอกให้กลับไปเรียนให้จบม.ต้นก่อน มันจะดีกับอนาคต แต่นางก็หายไปเลย สักพักโพล่มาบอกว่านางท้อง....เราก็ยังเฉย เลยได้แต่ปลอบไปเรื่อยๆ จนสติเราแทบจะหลุดออกนอกโลก อยากกลับไปเรียนให้จบเหมือนที่พ่อหวัง คำนี้วนเวียนอยู่ในหัวเราซ้ำแล้วซ้ำอีก
จนเราเริ่มติดเที่ยวอีกครั้ง เมาแล้วนอนแล้วก็ลืมม
จนเราทะเลาะกับเจ้าของร้านในหลายๆเรื่องเนื่องมาจากตัวเรานี้แหละ ทั้งเรื่องเงินประกัน เราจะลาออกไปอยู่บ้าน แต่เขาไม่คืนเงินประกัน เพราะมันมีหลายๆเรื่อง ขอข้ามไป เราทำได้8เดือนก็ออก มีเงินติดตัวอยู่ 2300 เราออกมากับรุ่นพี่ มาขออาศัยกับคนที่พึ่งรู้จักอยู่ร้านเหล้า ซึ้งคบกับรุ่นพี่น่ะแหละ เขาเป็นคนดีมากๆ เหมือนครอบครัวเล็กๆเลย มันอบอุ่น แต่เงินเราไกล้จะหมด ลูกก็รออยู่ เราเริ่มหางานใหม่ ประมาณ19วัน เราได้งานใหม่ แต่รุ่นพี่เราอยากไปทำงานที่อื่น เราจึงต้องไปด้วย เพราะเราไม่มีที่ไป เราจะขอลาออกจากที่ทำงาน ที่พึ่งทำได้แค่4วัน รุ่นพี่ผู้ชายที่ทำงานเราบอกว่า จะเช่าห้องให้ แต่มีข้อแม้ว่า เราจะมาแชร์ค่าห้องกัน เขาออกค่าห้อง เราออกค่าน้ำ-ไฟ ด้วยความที่ว่า เราไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ เราไม่อยากออกจากงาน เพราะมันโอเคมาก เราเลยตกลง เราอยู่ไปสักพัก เขาก็ไม่ได้มาวุ่นวายกับเรา พอประมาน3เดือน เขาจะเข้ามาอยู่ เราไม่ยอม เลยทะเลาะกัน และ....เราก็โดนไล่ออกจากห้อง
เราเล่าให้เพื่อนที่ทำงานฟังว่าเราไม่มีที่อยู่ เพื่อนๆพี่ๆก็เลยหาห้องให้เรา พวกพี่ๆและผจก.ก็ตกลงกันว่าจะให้เราไปอยู่หอเจ้าของที่ทำงาน ไม่เสียค่ามัดจำ ลดค่าห้อง1000 อยู่ไปก่อน ค่อยเสียค่าห้องสิ้นเดือน เราก็ตกลง โดยที่ตอนย้ายห้อง พวกเพื่อนๆพี่ๆที่ทำงานช่วยย้าย ออกค่ารถขนของ ไปส่งถึงห้อง พวกเขาดีกับเรามาก เราโอเคที่จะอยู่ที่นี้ แต่เรื่องเดิมๆของสังคมที่วุ่นวายก็มีอยู่เสมอ เราท้อ แต่เราไม่เคยถอย เราขอทำงานเข้า 06:30เลิก22:30 ไม่เอาวันหยุด บางครั้งเราเข้างาน08:00เลิก08:00ของอีกวันก็มี จนเราได้เงินเดือนมา16000 เราภูมิใจมาก (ร่างกายแทบพังสติแทบหลุด) ทั้งๆที่เป็นพาทไทม์อยู่ ต่อมาเราก็ได้ปรับเป็นพนักงาน เราโอเคกับงาน ถึงจะมีเรื่องราววุ่นวายไม่เข้าใจกันมากมาย แต่เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง
......พอชีวิตเราดีขึ้นมากๆ ในวันเกิดลูกเรา2ขวบกำลังจะเข้าร.ร.พ่อของลูกเราโทรมา บอกว่าอยากส่งเสียลูกเรียน อยากรับผิดชอบลูก บลาๆๆ ยังไงก็ลูกมัน เรานึกขึ้นได้ว่า ป้าที่ทำงานสอน ว่า ถึงเราจะเลิกกัน แต่อย่าตัดความเปนพ่อลูกเขา เพราะเราอาจจะเปนคนทำร้ายลูกเองก็ได้ เราเลยให้โอกาสแต่....เราถามมันว่า ลูกกูเข้าเรียน เมียก็คลอดลูกพอดี ส่งไม่ไหวหรอก
หายไปเป็นปีๆ อยู่ๆก็โพล่หัวมา กูผ่านอะไรมาบ้าง จะไม่หน้าด้านไปน่อยหรอ มันก็ขอโทดเหมือนเดิม เราเลยยิ้มและพูดว่า ถ้าทำได้กูจะยอมให้เรียกลูกได้ปกติ แต่ถ้าไม่ ต้องหายไปจากชีวิตกูกับลูกซะ และเลี้ยงลูกเขาให้ดีๆ กูเหนตัวเองแล้วสางสารจริงๆ
เราก็ให้โอกาสมันคุยกับแม่เราเอง แม่เราก็คุยดีๆ ทันก็บอกว่าแม่เราพูดดี ไม่โกรธมันเลย
สักพักแม่เราโทรมาแล้วบอกเราว่า ตอนเราไม่มีมันแม่ยังเลี้ยงมาได้ มันหายไปเป็นปี จะกลับมาทำไม ลูกแม่แม่เลี้ยงเอง ไม่ต้องไปวุ่นวายกับเขา ไม่ต้องขอใครกินเราก็อยู้ได้
เรายิ้มและภูมิใจในความเข้มแข็งของแม่ ( แม่เราเป็นมะเร็ง ยายเราเปนอัลไซเมอร์ ตาพึ่งเสีย พี่สาวเราเรียนป.ตรี พ่อเราขายของส่งงวดรถธรรมดาๆ)
เราไม่ต้องการอะไรอีกแล้วเราเคารพการตัดสินใจของแม่ และจะก้าวไปข้างหน้าด้วยครอบครัวที่อุ่บอุ่นของเรา และ....หนูจะเรียนให้จบค่ะพ่อ หนูจะพยายาม เป็นเวลา2ปีสินะ ที่เราคุยกับพ่อไม่ถึง5คำเลยถึงจะเป็นตอนที่อยู่บ้านก็ตาม
...หนูหวังว่าสักวันพ่อจะให้อภัยหนูนะคะ