หล่อนเดินเซมานั่งตรงกลางห้อง ตอนนี้สมองยังมึน ๆ หล่อนคิดว่าต้องมีใครแกล้งหล่อนแน่ ๆ แต่มัน ... แต่มันจะเป็นไปได้เหรอ พวกเขามีเหตุผลอะไรที่ต้องทำเช่นนี้
“ป้าขอเข้าไปในห้องหนูนะ”
พูดจบป้าก็เดินเข้ามา ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยหล่อนอย่างเต็มที่ ป้าพูดคุยกับหล่อนอย่างจริงใจเป็นที่สุด
“แม่หนูคนดีของป้า อย่าเก็บตัวอีกเลย ไปหาหมอเถอะนะ เชื่อป้าเถอะ”
หล่อนได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา หล่อนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป หล่อนไม่แน่ใจแม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเองในขณะนี้
ป้าหันไปหาคนขับรถที่ชื่อว่าดิลก
“ดิลก มาช่วยกันประคองแม่หนูคนนี้กันหน่อย”
ดิลก ชายร่างใหญ่รีบเดินเข้าไปในห้องของหล่อนโดยไม่รั้งรอ ทั้งสองช่วยกันประคองหล่อนออกจากห้อง
หล่อนไม่ได้ขัดขืนใด ๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้หล่อนรู้สึกใจคอไม่ดี จะหาทางหนีกลับก็คงไม่ไหว แต่ที่สำคัญ หล่อนคิดถึงแต่ชานนท์ ชายหนุ่มผู้น่ารักคนนั้น เขาหายไปไหนหรือเขาอยู่ในขบวนการบ้า ๆ นี้ด้วย หล่อนคงทนไม่ได้ถ้ารู้ว่าเขาอยู่ในขบวนการนี้ด้วย ทนไม่ได้พอ ๆ กับการที่รู้ว่าเขาเป็นเพียงภาพหลอน
สองคนนั้นพาหล่อนมาถึงรถคันเขียว
“เราจำเป็นต้องคืนรถคันขาวให้กับศูนย์เช่า คุณท่านเมตตาให้รถคันเขียวมาให้หนูใช้”
หล่อนไม่อยากได้ยินคำพูดในลักษณะนี้อีกเลย หล่อนอยากจะปิดโสตประสาทของตัวเอง หล่อนงง ๆ ในขณะที่ป้าแม่บ้านยัดหล่อนเข้าไปในรถคันเขียว
“ไม่เป็นไรหรอก โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลมาก หนูทนได้นะ”
คำพูดที่เหมือนออกมาจากปากของคนที่เมตตามาก ๆ แต่หล่อนไม่อยากได้ยินคำพูดแบบนี้อีก
พอเถอะ ได้โปรดพอได้แล้ว
หล่อนได้แต่ครวญครางในใจ ไม่อาจพูดออกไปให้ใครได้ยิน ถึงแม้ในรถจะอากาศเย็น แต่เนื้อตัวของหล่อนกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ
“แม่หนูน่าจะไม่ไหวแล้ว”
ป้าพูดออกมาพร้อมกับเอามือลูบหัวของหล่อน
“เวรกรรมอะไรนะถึงทำให้แม่หนูที่หน้าตาสะสวยเป็นโรคประสาทหลอนได้ถึงขนาดนี้”
อีแก่ หยุดพล่ามเสียทีเถอะ
หล่อนได้แต่ตะโกนด่าอยู่ในใจ ซึ่งก็ไม่มีใครได้ยิน ตอนนี้หัวสมองของหล่อนมึนมาก หล่อนไม่อยากตกอยู่ในสภาพแบบนี้เลย เพียงแต่หล่อนไม่รู้จะพูดอะไรออกไปให้พวกนักแสดงเหล่านี้ได้ยินและให้อภัยหล่อน ยอมปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระจากนรกที่พวกเขาช่วยกันสร้างเสียที
“แม่หนู พูดอะไรบ้างเถอะ ป้าใจไม่ดีเลย”
อีป้าวิปริต หุบปากได้แล้ว
หล่อนได้แต่เกรี้ยวกราดแบบไร้เสียง ชานนท์ ... คุณอยู่ที่ไหน
หล่อนรู้สึกปวดหัวอย่างมาก ตอนนี้ใจหล่อนเต้นแรง หล่อนทำตัวไม่ถูกและไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ร่างกายเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงไปหมด
สักพักใหญ่ ๆ รถก็เลี้ยวซ้ายเข้าโรงพยาบาล
ป้าประคองหล่อนออกจากรถและพาเดินไปได้สักห้าก้าวก็กระซิบข้างหูหล่อน
“เดินเข้าไปหาหมอเองนะ อีกสองชั่วโมงเราจะมารับ”
หล่อนหันไปมองป้าที่เดินไปขึ้นรถแล้วรถก็วิ่งออกไป หล่อนหันไปอีกทางก็มองเห็นด้านหน้าของโรงพยาบาล หล่อนกลั้นใจเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงตัวตึก พอเดินเข้าไปข้างใน หล่อนงง ๆ กับสถานที่แห่งนั้น หล่อนไม่รู้จะเดินไปบอกใครว่าหล่อนมาที่นี่ทำไมและก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป หล่อนรู้สึกปวดหัวตรงข้างขวาของศีรษะอย่างรุนแรง ตาหล่อนเริ่มพร่า หล่อนเริ่มหายใจถี่ขึ้น หล่อนล้มลงและก็ไม่รู้สึกใด ๆ อีกเลย.
จบภาคแรก ติดตามต่อได้ใน The Hospital ( Maxim de Winter at Manderley ภาค 2 )
Maxim de Winter at Manderley บทที่ 13 ( ตอนจบภาคแรก )
“ป้าขอเข้าไปในห้องหนูนะ”
พูดจบป้าก็เดินเข้ามา ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยหล่อนอย่างเต็มที่ ป้าพูดคุยกับหล่อนอย่างจริงใจเป็นที่สุด
“แม่หนูคนดีของป้า อย่าเก็บตัวอีกเลย ไปหาหมอเถอะนะ เชื่อป้าเถอะ”
หล่อนได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา หล่อนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป หล่อนไม่แน่ใจแม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเองในขณะนี้
ป้าหันไปหาคนขับรถที่ชื่อว่าดิลก
“ดิลก มาช่วยกันประคองแม่หนูคนนี้กันหน่อย”
ดิลก ชายร่างใหญ่รีบเดินเข้าไปในห้องของหล่อนโดยไม่รั้งรอ ทั้งสองช่วยกันประคองหล่อนออกจากห้อง
หล่อนไม่ได้ขัดขืนใด ๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้หล่อนรู้สึกใจคอไม่ดี จะหาทางหนีกลับก็คงไม่ไหว แต่ที่สำคัญ หล่อนคิดถึงแต่ชานนท์ ชายหนุ่มผู้น่ารักคนนั้น เขาหายไปไหนหรือเขาอยู่ในขบวนการบ้า ๆ นี้ด้วย หล่อนคงทนไม่ได้ถ้ารู้ว่าเขาอยู่ในขบวนการนี้ด้วย ทนไม่ได้พอ ๆ กับการที่รู้ว่าเขาเป็นเพียงภาพหลอน
สองคนนั้นพาหล่อนมาถึงรถคันเขียว
“เราจำเป็นต้องคืนรถคันขาวให้กับศูนย์เช่า คุณท่านเมตตาให้รถคันเขียวมาให้หนูใช้”
หล่อนไม่อยากได้ยินคำพูดในลักษณะนี้อีกเลย หล่อนอยากจะปิดโสตประสาทของตัวเอง หล่อนงง ๆ ในขณะที่ป้าแม่บ้านยัดหล่อนเข้าไปในรถคันเขียว
“ไม่เป็นไรหรอก โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลมาก หนูทนได้นะ”
คำพูดที่เหมือนออกมาจากปากของคนที่เมตตามาก ๆ แต่หล่อนไม่อยากได้ยินคำพูดแบบนี้อีก
พอเถอะ ได้โปรดพอได้แล้ว
หล่อนได้แต่ครวญครางในใจ ไม่อาจพูดออกไปให้ใครได้ยิน ถึงแม้ในรถจะอากาศเย็น แต่เนื้อตัวของหล่อนกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ
“แม่หนูน่าจะไม่ไหวแล้ว”
ป้าพูดออกมาพร้อมกับเอามือลูบหัวของหล่อน
“เวรกรรมอะไรนะถึงทำให้แม่หนูที่หน้าตาสะสวยเป็นโรคประสาทหลอนได้ถึงขนาดนี้”
อีแก่ หยุดพล่ามเสียทีเถอะ
หล่อนได้แต่ตะโกนด่าอยู่ในใจ ซึ่งก็ไม่มีใครได้ยิน ตอนนี้หัวสมองของหล่อนมึนมาก หล่อนไม่อยากตกอยู่ในสภาพแบบนี้เลย เพียงแต่หล่อนไม่รู้จะพูดอะไรออกไปให้พวกนักแสดงเหล่านี้ได้ยินและให้อภัยหล่อน ยอมปล่อยให้หล่อนเป็นอิสระจากนรกที่พวกเขาช่วยกันสร้างเสียที
“แม่หนู พูดอะไรบ้างเถอะ ป้าใจไม่ดีเลย”
อีป้าวิปริต หุบปากได้แล้ว
หล่อนได้แต่เกรี้ยวกราดแบบไร้เสียง ชานนท์ ... คุณอยู่ที่ไหน
หล่อนรู้สึกปวดหัวอย่างมาก ตอนนี้ใจหล่อนเต้นแรง หล่อนทำตัวไม่ถูกและไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ร่างกายเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงไปหมด
สักพักใหญ่ ๆ รถก็เลี้ยวซ้ายเข้าโรงพยาบาล
ป้าประคองหล่อนออกจากรถและพาเดินไปได้สักห้าก้าวก็กระซิบข้างหูหล่อน
“เดินเข้าไปหาหมอเองนะ อีกสองชั่วโมงเราจะมารับ”
หล่อนหันไปมองป้าที่เดินไปขึ้นรถแล้วรถก็วิ่งออกไป หล่อนหันไปอีกทางก็มองเห็นด้านหน้าของโรงพยาบาล หล่อนกลั้นใจเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงตัวตึก พอเดินเข้าไปข้างใน หล่อนงง ๆ กับสถานที่แห่งนั้น หล่อนไม่รู้จะเดินไปบอกใครว่าหล่อนมาที่นี่ทำไมและก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป หล่อนรู้สึกปวดหัวตรงข้างขวาของศีรษะอย่างรุนแรง ตาหล่อนเริ่มพร่า หล่อนเริ่มหายใจถี่ขึ้น หล่อนล้มลงและก็ไม่รู้สึกใด ๆ อีกเลย.
จบภาคแรก ติดตามต่อได้ใน The Hospital ( Maxim de Winter at Manderley ภาค 2 )