สำหรับสายขี้เกียจอ่าน-->เรามีวิดิโอบันทึกตลอดการท่องเที่ยว
https://www.youtube.com/watch?v=v560brpwiZo&t=4s มี2part
สวัสดีครับนักท่องเที่ยวมือใหม่ทุกท่านที่มีความสนใจอยากจะไปเที่ยวแถบประเทศอาเซียน
วันนี้ผมมีเรื่องราวการท่องเที่ยวในแดนสาวงามเพื่อนบ้านเราเองซึ่งที่นั่นก็คือ "ประเทศเวียดนาม"
โดยทริปที่พวกเราไปกันคราวนี้แรกเริ่มเดิมทีมีที่มาจากการที่พวกเราเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่ง
ซึ่งมีการวางแผนไว้ว่าจะหาที่ท่องเที่ยวด้วยกันก่อนเรียนจบ แล้วบังเอิญมหาวิทยาลัยของพวกดันมีวิชาแปลกๆ
ที่สุดแสนจะน่าสนใจซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "วิชาเจนท่องเที่ยว"
จึงไม่แปลกที่จะดึงดูดเด็กชอบเที่ยว อย่างพวกผมและเพื่อนๆได้ ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินในที่จะเข้ามาเรียนวิชานี้
ซึ่งในการเรียนจะมีการเก็บคะแนนจากการที่เราไปเที่ยวที่นู่นที่นี่แล้วนำข้อคิด หรือการสรุปมาทำเป็นรายงานส่งอาจารย์

และงานที่ใหญ่ที่สุดของพวกเราคือการออกทริปแบบ Back Pack กันเป็นกลุ่ม ซึ่งพวกเราเลยตัดสินใจที่จะไปเที่ยว
ต่างประเทศกันโดยประเทศที่พวกเราเลือกที่จะไปก็คือประเทศเวียดนามนั่นเอง
ขอเกริ่นก่อนเล็กน้อยทริปที่เราไปนี้เป็นแบบผสมระหว่างการซื้อโปรแกรมทัวร์+จัดทริปกันเอง เพื่อใช้เวลาในการเดินทางครั้งนี้ให้คุ้มค่าที่สุด
วันแรก 8 เมษายน 2018 เปิดบันทึกการเดินทางในดินแดนเวียดนาม
วันแรกในการเดินทางพวกเรานัดเราตัวกัน 7 คน แล้วไปกันเป็นกลุ่มโดยนัดรวมตัวกันตอนเวลาตี 3 นั่งรถแท็กซี่ออกจากหอพัก
ตอนตี 3 ครึ่ง มาถึงสนามบินประมานตี 4 รอที่สนามบินหาของกิน เช็คอินขึ้นเครื่องตอน 06.45 น. ออกบินจากท่าอากาศยานดอนเมือง
กรุงเทพถึงท่าอากาศยานนอยไบ กรุงฮานอย 08.30 น. เมื่อลงเครื่องรับกระเป๋าโหลดอะไรเรียบร้อยแล้วเราก็ทำสิ่งที่จำเป็นสุดๆสำหรับ
ทริปนี้นั่นคือการแลกเปลี่ยนสกุลเงินจากไทยบาทให้เป็นเวียดนามดอง (อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้นอยู่ที่ 1 บาท เท่า 680 ดอง) ซึ่งบอกเลย
ว่ากลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน(ดอง) กันทุกคน เสร็จแล้วก็เดินออกมาจากสนามบิน ตอนแรกกะจะนั่งรถเมล์เข้าเมืองซึ่งหนึ่งในพวกเราทำ
การบ้านหาข้อมูลมาอย่างดีว่ามีค่าใช้จ่ายคนละ 40,000 ดอง (รวม 280,000 ดอง) เพื่อเข้าตัวเมืองฮานอยไปยังออฟฟิศบริษัททัวร์ที่พวกเรา
จองไว้และหาอะไรกินในตัวเมือง
แต่ทว่าดันมีรถตู้หน้าสนามบินจากไหนก็ไม่รู้เป็นคุณลุงคนหนึ่งมาเรียกให้พวกเราขึ้นรถแก ด้วยความที่พวกเรารู้ราคารถเมล์
จึงคิดว่ารถตู้คงจะมาหลอกฟันเราแน่ๆเลยต่อรองราคาไปอย่างถูกๆเป็นการไล่แบบอ้อมๆว่า 250,000 ดอง แต่เรื่องราวกลับตาลปัด
เมื่อคุณลุงคนนั้นดันตกลง กลับกลายเป็นว่าได้นั่งรถตู้สบายๆแถมยังถูกกว่าอีก
เมื่อเรามาถึงตัวเมืองฮานอยก็เข้าไปยืนยันตัวกับบริษัทจัดทัวร์ที่เราจองไว้ สภาพหน้าบริษัท คือร้านขายกระเป๋าสำหรับ
นักท่องเที่ยว เล่นเอาทำตัวไม่ถูกเลยว่าใช่ที่นี่หรอป่าว แต่เมื่อเจอเจ้าของร้านเขาก็ยืนยันว่านี่แหละบริษัทจัดทัวร์แล้วให้เราขึ้น
ไปรอที่ห้องออฟฟิศซึ่งอยู่ชั้น 2 ของอาคารหลังนี้ เราก็ขึ้นมาก็เจอกับเจ้าหน้าที่สาวสวยที่พวกเราติดต่อไว้ (แต่ประทานโทษหล่อนอุ้มลูกมาด้วย 555+)
หลังจากคุยตกลงเรื่องแผนโปรแกรมการเที่ยวพร้อมจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วในราคา 110 ดอลล่า(ต่อคน) ตามที่ตกลงกันไว้
ก่อนมาที่นี่สำหรับทริป 3 วัน 2 คืนแรก ตอนนั้นเป็นเวลาราวๆ 10 โมงและรถบัสคันแรกที่จะมารับเราไปยัง SAPA คือเวลาบ่ายโมงตรง
ด้วยความที่ออฟฟิศที่เรากำลังอยู่ในตอนนี้คับแคบมาก (อาคารบ้านเรือนของที่เวียดนามนี้จะแคบๆหน่อย แต่มีความสูงหลายชั้น)
อีกทั้งตั้งแต่เดินทางมาถึงก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยพวกเราจึงขอตัวไปหาอะไรกินก่อน
เริ่มจากร้าน ก๊วยจั๊บแถวๆนั้น (มารู้ทีหลังว่ามันเรียกว่า"เฝอ") ซึ่งราคาจะอยู่ที่ประมาณ 90 บาทต่อถ้วย ก็ถือว่าคุ้มค่า
นะเพราะเนื้ออร่อย แถมได้เยอะด้วย
พอเรากินเฝออิ่มแล้วเราก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปเดินเล่นรอบบริเวณถนนกลางเมืองเล็กน้อยก่อน โดยพวกเราได้เดินเท้าไปยัง
โบสถ์กลางเมืองที่โด่งดังกลางกรุงฮานอย ที่มีชื่อว่าโบสถ์ "เซ็นต์โจเซฟ" อันเป็นโบสถ์เก่าแก่ของเมืองฮานอย เราได้เข้าไปชื่นชม
บรรยากาศภายใน และโชคดีที่วันที่เรามานั้นเป็นวันอาทิตย์ เราจึงได้เห็นการทำพิธีของชาวคริสต์ที่เรียกว่า"พิธีมิสซา" มีเสียงเพลงดนตรี
อย่างไพเราะพร้อมทั้งประชาชนผู้เข้าร่วมพิธีร่วมกันขับร้องอย่างพร้อมเพรียง สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอย่างจริงจัง สำหรับชาวคริสต์อาจเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผมคนพุทธนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาเห็นพิธีในโบสถ์ จึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆที่ได้เห็นพิธีการของต่างศาสนา
จนกระทั่งถึงเวลาใกล้บ่ายโมงตามที่นัดไว้กับเจ้าหน้าที่ที่บริษัททัวร์เราก็กลับมายังออฟฟิตทัวร์อีกครั้ง
เพื่อเตรียมออกเดินทางไป Sapa โดยมี Agent บอกให้เราขึ้นแท็กซี่ ไปยังโรงแรมที่ชื่อ Boss legent hotel ซึ่งเป็นจุดรับคนขึ้น
รถบัส เพื่อรอขึ้นรถบัสไปยัง Sapa (ค่าแท็กซี่ 20,000 ดอง หรือราวๆ 30 บาท แท็กซี่ที่นี่ราคาเริ่มต้นที่ 10,000 ดอง หรือ 15 บาท
แล้วมีอัตราเพิ่มขึ้นต่อระยะทางคือ กิโลเมตรละ 1,300 ดองหรือ 2 บาท ใครโดนเกินนี้ถือว่าโดนฟันเป็นอันรู้กัน)
โดยรถบัสที่ทำหน้าที่ส่งเราไปที่ Sapa เป็นรถบัสแบบนอน ซึ่งมันเท่มาก เพราะผมเคยขึ้นแบบนี้เป็นครั้งแรก ก่อนขึ้นรถพนักงานจะเเจกถุงให้ใส่รองเท้า ตอนเเรกกังวลเรื่องกลิ่นเท้ามากเเต่โชคดีที่อากาศเย็นทำให้กลิ่นเท้าไม่ทำงาน . . .
ในระหว่างทางนั้นก็ได้มีการแวะตามจุดพักรถต่างๆซึ่งแน่นอนว่าจุดพักพวกนี้มักจะมีเหล่าเสือสิงห์คอยบริการ (ฟันเงิน)
นักท่องเที่ยวอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
ซึ่งในกลุ่มของพวกเรานั้นก็โดนเต็มๆไป 1 คน จากการใช้บริการห้องน้ำที่มีการเก็บค่าบริการหน้าห้องโดยคุณป้าคนหนึ่ง
ซึ่งเรื่องราวเกิดจากการที่ห้องน้ำแห่งนี้มีค่าเข้าคนละ 2,000 ดองหรือประมาน 3 บาท คล้ายๆบ้านเรา แต่บังเอิญหนึ่งในพวกเรา
ดันไม่มีแบงค์ 2,000 ดอง เลยให้ไป 20,000 ดอง แล้วก็ยืนรอรับเงินทอน แต่ป้าที่รับเงินไปกลับทำหน้าตายไม่ยอมทอนเงิน
ด้วยความที่เห็นอย่างงี้ก็รู้ว่าเอาแล้วไง โดนตั้งแต่ยังไม่ถึงจุดหมายเลย
ผมเลยพยายามโวยวายเพื่อเอาเงินทอนคืนมาแต่ป้าแกก็แสบไม่เบา ตอบกลับมาเป็นภาษาเวียดนามแบบงง ๆ หน้ามึนๆยิ้มๆหน่อย
แล้วทอนมา 2,000 ดอง ผมก็โวยอีกว่า ไม่ใช่เห้ยเอาเงินคืนมาเลย ไม่เข้าแล้วห้องนงห้องน้ำ ป้าแกเลยยื่นมาให้อีก 5,000 ดอง
แล้วบอกกลับคนแถวนั้นว่าผมให้เงินป้าแค่ 10,000 ดอง (แต่นี่มันก็ยังไม่พอมิใช่หรือป้า ถ้าผมให้ 10,000 ดองจริง ป้าต้องทอนผม 8,000 สิ
ไม่ใช่ 7,000 ) แต่ด้วยความหน้า(ด้าน)นิ่งหน้าทนของป้าคนนั้น และผมก็คิดในใจว่านี่ไม่ใช่บ้านเราและลองคำนวณดูแล้ว
มันก็เป็นเงินไม่ได้มากมายอะไร เลยเออวะ ยอมๆก็ได้
แล้วก็เข้าห้องน้ำป้าแกไปอย่างหัวร้อนๆ ด้วยเงินราคารวม 13,000 ดอง (ราวๆ 20 บาท)
แล้วก็แวะพักอย่างนี้อีกจุดหนึ่งซึ่งเป็นคล้ายๆจุดเดิมคือมีบริการห้องน้ำและขายอาหารเล็กๆน้อยๆ พวกเราได้ซื้อซาลาเปา
ลูกหนึ่ง มาลองกินดูเพราะมันมีขนาดใหญ่ดีราคาตกลูกละ 20,000 ดอง หรือราวๆ 30 บาท แต่พอบีบไส้ออกมา กลับเจอแต่แป้ง
กับเศษหมูนิดหน่อย ซึ่งมันก็ไม่น่าผิดหวังอะไรสักเท่าไหร่เพราะกะไว้แล้วว่าต้องเจออย่างนี้ (เริ่มรู้สึกผิดหวังหน่อยๆตั้งแต่โดนโกง
ค่าห้องน้ำเมื่อกี้นี้ละ)
หลังจากการแวะพักครั้งสุดท้ายเราก็ยิงยาวมาจนถึงเมืองซาปาสักที เมื่อเดินลงมาจากรถก็ต้องอึ้งกับอุณหภูมิของอากาศ
ที่นี่เพราะมันเย็นใช้ได้เลย ราวๆ 12-14 องศาเซลเซียสได้ จากนั้นเราก็ไปเอากระเป๋าสัมภาระออกจากใต้ท้องรถแล้วมายืนประชุม
กันพักหนึ่ง อยู่ๆก็มีทั้งชาวบ้านทั้งแท็กซี่มายืนรุมล้อมเราเพื่อเสนอให้เราใช้บริการของเขา แต่แน่นอน เราจะไม่ทำอะไรนอกแผน
เด็ดขาดเพราะเราจองที่พักไว้เรียบร้อยแล้ว ระยะทางไม่ไกลมากจากจุดที่เราอยู่ เราจึงเลือกที่จะเดินฝ่าฟันอากาศเย็นนี้ไปจนถึง
โรงแรมที่พักที่เราจองไว้ เมื่อมาถึงโรงแรมเราจะเจอกับพนักงานสาวสวยชาวเวียดนามที่คอยต้อนรับแขกยืนประจำอยู่ตรง
เคาท์เตอร์ติดต่อลูกค้า เธอพูดภาษาอังกฤษได้ชัดและฟังง่าย ทำให้เราเข้าใจกันได้ดีและเช็คอินเข้าห้องพักอย่างสบายใจ
เมื่อเข้ามาในห้องพักจะรู้สึกได้ถึงอากาศอันหนาวเหน็บ แต่เมื่อสำรวจไปมาก็เห็นว่าห้องพักโรงแรมนี้ถือว่าหรูหราใช้ได้เลย
เพราะความที่ห้องมีขนาดกว้างพอสมควร ห้องน้ำหรูหรา มีน้ำอุ่นให้ใช้ และที่ดีไปกว่านั้นคือเตียงที่เรานอนติดฮีตเตอร์ให้ความร้อน
ไว้ด้วยทำให้เรานอนหลับสบายได้อย่างอุ่นกายอุ่นใจไม่ต้องกลัวว่าตื่นมาจะเป็นหวัด
หลังจากที่เราเข้าที่พักเก็บข้าวของกันเรียบร้อยแล้วเราก็เริ่มทำภารกิจล่าของกินยามค่ำคืนในตัวเมืองซาปาซึ่งตอนที่เราออก
ไปหาอะไรกินกันนั้นก็ไม่ใช่เวลาที่ร้านอาหารจะเปิดกันแล้ว (ตอนนั้นประมานห้าทุ่มเที่ยงคืน) แต่ยังดีที่ได้เจอกับร้านตั้งเก้าอี้ข้างทาง
(อีกลักษณะเด่นๆของร้านอาหารประเทศนี้คือเขามักจะตั้งเก้าอี้ตัวเล็กๆไว้ให้เรานั่งแล้วถือกิน แต่ถ้าใครอยากกินแบบวางจานเขาก็จะ
มีเก้าอี้อีกตัวให้วางได้ ปกติถ้าเป็นตามบ้านเราเขาก็ใช้เก้าอี้คู่กับโต๊ะกัน ก็นับถือว่าก็ไอเดียของที่นี่ดี ไม่เปลืองพื้นที่)
ซึ่งเป็นลักษณะของที่เราไปกินนี้จะคล้ายๆพิซซ่าที่ทำจากแป้งแบบเวียดนามที่เราไว้ห่อแหนมเนืองแผ่นใหญ่ๆ แต่จะใส่เนื้อ+ไข่+ผัก
และไส้กรอกแบบสไตล์เวียดนาม ขายในราคา 30,000 ดอง (45 บาท) อร่อยถูกใจมาก
แต่กินเท่านี้ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับนักกินสายดึกอย่างเรา และมันก็ช่วยไม่ได้ที่ไม่มีอะไรเปิดขายแล้ว พวกเราจึงกลับมาโซ้ยบะหมี่กึ่ง
สำเร็จรูปต่อที่โรงแรมอีกรอบ ค่อยเข้านอนพักผ่อนตามอัธยาศัยต่อไป เพราะพรุ่งนี้เราจะเริ่มเที่ยวกันอย่างจริงๆจังๆละ
[CR] ทริปเวียดนาม 4 วัน 3 คืน (ซาปา-ฟานซีปัง -นิญบิง-จ่างอาน-ฮานอย)
วันนี้ผมมีเรื่องราวการท่องเที่ยวในแดนสาวงามเพื่อนบ้านเราเองซึ่งที่นั่นก็คือ "ประเทศเวียดนาม"
โดยทริปที่พวกเราไปกันคราวนี้แรกเริ่มเดิมทีมีที่มาจากการที่พวกเราเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่ง
ซึ่งมีการวางแผนไว้ว่าจะหาที่ท่องเที่ยวด้วยกันก่อนเรียนจบ แล้วบังเอิญมหาวิทยาลัยของพวกดันมีวิชาแปลกๆ
ที่สุดแสนจะน่าสนใจซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "วิชาเจนท่องเที่ยว"
จึงไม่แปลกที่จะดึงดูดเด็กชอบเที่ยว อย่างพวกผมและเพื่อนๆได้ ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินในที่จะเข้ามาเรียนวิชานี้
ซึ่งในการเรียนจะมีการเก็บคะแนนจากการที่เราไปเที่ยวที่นู่นที่นี่แล้วนำข้อคิด หรือการสรุปมาทำเป็นรายงานส่งอาจารย์
และงานที่ใหญ่ที่สุดของพวกเราคือการออกทริปแบบ Back Pack กันเป็นกลุ่ม ซึ่งพวกเราเลยตัดสินใจที่จะไปเที่ยว
ต่างประเทศกันโดยประเทศที่พวกเราเลือกที่จะไปก็คือประเทศเวียดนามนั่นเอง
ขอเกริ่นก่อนเล็กน้อยทริปที่เราไปนี้เป็นแบบผสมระหว่างการซื้อโปรแกรมทัวร์+จัดทริปกันเอง เพื่อใช้เวลาในการเดินทางครั้งนี้ให้คุ้มค่าที่สุด
วันแรกในการเดินทางพวกเรานัดเราตัวกัน 7 คน แล้วไปกันเป็นกลุ่มโดยนัดรวมตัวกันตอนเวลาตี 3 นั่งรถแท็กซี่ออกจากหอพัก
ตอนตี 3 ครึ่ง มาถึงสนามบินประมานตี 4 รอที่สนามบินหาของกิน เช็คอินขึ้นเครื่องตอน 06.45 น. ออกบินจากท่าอากาศยานดอนเมือง
กรุงเทพถึงท่าอากาศยานนอยไบ กรุงฮานอย 08.30 น. เมื่อลงเครื่องรับกระเป๋าโหลดอะไรเรียบร้อยแล้วเราก็ทำสิ่งที่จำเป็นสุดๆสำหรับ
ทริปนี้นั่นคือการแลกเปลี่ยนสกุลเงินจากไทยบาทให้เป็นเวียดนามดอง (อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้นอยู่ที่ 1 บาท เท่า 680 ดอง) ซึ่งบอกเลย
ว่ากลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน(ดอง) กันทุกคน เสร็จแล้วก็เดินออกมาจากสนามบิน ตอนแรกกะจะนั่งรถเมล์เข้าเมืองซึ่งหนึ่งในพวกเราทำ
การบ้านหาข้อมูลมาอย่างดีว่ามีค่าใช้จ่ายคนละ 40,000 ดอง (รวม 280,000 ดอง) เพื่อเข้าตัวเมืองฮานอยไปยังออฟฟิศบริษัททัวร์ที่พวกเรา
จองไว้และหาอะไรกินในตัวเมือง
แต่ทว่าดันมีรถตู้หน้าสนามบินจากไหนก็ไม่รู้เป็นคุณลุงคนหนึ่งมาเรียกให้พวกเราขึ้นรถแก ด้วยความที่พวกเรารู้ราคารถเมล์
จึงคิดว่ารถตู้คงจะมาหลอกฟันเราแน่ๆเลยต่อรองราคาไปอย่างถูกๆเป็นการไล่แบบอ้อมๆว่า 250,000 ดอง แต่เรื่องราวกลับตาลปัด
เมื่อคุณลุงคนนั้นดันตกลง กลับกลายเป็นว่าได้นั่งรถตู้สบายๆแถมยังถูกกว่าอีก
เมื่อเรามาถึงตัวเมืองฮานอยก็เข้าไปยืนยันตัวกับบริษัทจัดทัวร์ที่เราจองไว้ สภาพหน้าบริษัท คือร้านขายกระเป๋าสำหรับ
นักท่องเที่ยว เล่นเอาทำตัวไม่ถูกเลยว่าใช่ที่นี่หรอป่าว แต่เมื่อเจอเจ้าของร้านเขาก็ยืนยันว่านี่แหละบริษัทจัดทัวร์แล้วให้เราขึ้น
ไปรอที่ห้องออฟฟิศซึ่งอยู่ชั้น 2 ของอาคารหลังนี้ เราก็ขึ้นมาก็เจอกับเจ้าหน้าที่สาวสวยที่พวกเราติดต่อไว้ (แต่ประทานโทษหล่อนอุ้มลูกมาด้วย 555+)
หลังจากคุยตกลงเรื่องแผนโปรแกรมการเที่ยวพร้อมจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วในราคา 110 ดอลล่า(ต่อคน) ตามที่ตกลงกันไว้
ก่อนมาที่นี่สำหรับทริป 3 วัน 2 คืนแรก ตอนนั้นเป็นเวลาราวๆ 10 โมงและรถบัสคันแรกที่จะมารับเราไปยัง SAPA คือเวลาบ่ายโมงตรง
ด้วยความที่ออฟฟิศที่เรากำลังอยู่ในตอนนี้คับแคบมาก (อาคารบ้านเรือนของที่เวียดนามนี้จะแคบๆหน่อย แต่มีความสูงหลายชั้น)
อีกทั้งตั้งแต่เดินทางมาถึงก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยพวกเราจึงขอตัวไปหาอะไรกินก่อน
เริ่มจากร้าน ก๊วยจั๊บแถวๆนั้น (มารู้ทีหลังว่ามันเรียกว่า"เฝอ") ซึ่งราคาจะอยู่ที่ประมาณ 90 บาทต่อถ้วย ก็ถือว่าคุ้มค่า
นะเพราะเนื้ออร่อย แถมได้เยอะด้วย
พอเรากินเฝออิ่มแล้วเราก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปเดินเล่นรอบบริเวณถนนกลางเมืองเล็กน้อยก่อน โดยพวกเราได้เดินเท้าไปยัง
โบสถ์กลางเมืองที่โด่งดังกลางกรุงฮานอย ที่มีชื่อว่าโบสถ์ "เซ็นต์โจเซฟ" อันเป็นโบสถ์เก่าแก่ของเมืองฮานอย เราได้เข้าไปชื่นชม
บรรยากาศภายใน และโชคดีที่วันที่เรามานั้นเป็นวันอาทิตย์ เราจึงได้เห็นการทำพิธีของชาวคริสต์ที่เรียกว่า"พิธีมิสซา" มีเสียงเพลงดนตรี
อย่างไพเราะพร้อมทั้งประชาชนผู้เข้าร่วมพิธีร่วมกันขับร้องอย่างพร้อมเพรียง สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอย่างจริงจัง สำหรับชาวคริสต์อาจเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผมคนพุทธนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาเห็นพิธีในโบสถ์ จึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆที่ได้เห็นพิธีการของต่างศาสนา
จนกระทั่งถึงเวลาใกล้บ่ายโมงตามที่นัดไว้กับเจ้าหน้าที่ที่บริษัททัวร์เราก็กลับมายังออฟฟิตทัวร์อีกครั้ง
เพื่อเตรียมออกเดินทางไป Sapa โดยมี Agent บอกให้เราขึ้นแท็กซี่ ไปยังโรงแรมที่ชื่อ Boss legent hotel ซึ่งเป็นจุดรับคนขึ้น
รถบัส เพื่อรอขึ้นรถบัสไปยัง Sapa (ค่าแท็กซี่ 20,000 ดอง หรือราวๆ 30 บาท แท็กซี่ที่นี่ราคาเริ่มต้นที่ 10,000 ดอง หรือ 15 บาท
แล้วมีอัตราเพิ่มขึ้นต่อระยะทางคือ กิโลเมตรละ 1,300 ดองหรือ 2 บาท ใครโดนเกินนี้ถือว่าโดนฟันเป็นอันรู้กัน)
โดยรถบัสที่ทำหน้าที่ส่งเราไปที่ Sapa เป็นรถบัสแบบนอน ซึ่งมันเท่มาก เพราะผมเคยขึ้นแบบนี้เป็นครั้งแรก ก่อนขึ้นรถพนักงานจะเเจกถุงให้ใส่รองเท้า ตอนเเรกกังวลเรื่องกลิ่นเท้ามากเเต่โชคดีที่อากาศเย็นทำให้กลิ่นเท้าไม่ทำงาน . . .
ในระหว่างทางนั้นก็ได้มีการแวะตามจุดพักรถต่างๆซึ่งแน่นอนว่าจุดพักพวกนี้มักจะมีเหล่าเสือสิงห์คอยบริการ (ฟันเงิน)
นักท่องเที่ยวอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
ซึ่งในกลุ่มของพวกเรานั้นก็โดนเต็มๆไป 1 คน จากการใช้บริการห้องน้ำที่มีการเก็บค่าบริการหน้าห้องโดยคุณป้าคนหนึ่ง
ซึ่งเรื่องราวเกิดจากการที่ห้องน้ำแห่งนี้มีค่าเข้าคนละ 2,000 ดองหรือประมาน 3 บาท คล้ายๆบ้านเรา แต่บังเอิญหนึ่งในพวกเรา
ดันไม่มีแบงค์ 2,000 ดอง เลยให้ไป 20,000 ดอง แล้วก็ยืนรอรับเงินทอน แต่ป้าที่รับเงินไปกลับทำหน้าตายไม่ยอมทอนเงิน
ด้วยความที่เห็นอย่างงี้ก็รู้ว่าเอาแล้วไง โดนตั้งแต่ยังไม่ถึงจุดหมายเลย
ผมเลยพยายามโวยวายเพื่อเอาเงินทอนคืนมาแต่ป้าแกก็แสบไม่เบา ตอบกลับมาเป็นภาษาเวียดนามแบบงง ๆ หน้ามึนๆยิ้มๆหน่อย
แล้วทอนมา 2,000 ดอง ผมก็โวยอีกว่า ไม่ใช่เห้ยเอาเงินคืนมาเลย ไม่เข้าแล้วห้องนงห้องน้ำ ป้าแกเลยยื่นมาให้อีก 5,000 ดอง
แล้วบอกกลับคนแถวนั้นว่าผมให้เงินป้าแค่ 10,000 ดอง (แต่นี่มันก็ยังไม่พอมิใช่หรือป้า ถ้าผมให้ 10,000 ดองจริง ป้าต้องทอนผม 8,000 สิ
ไม่ใช่ 7,000 ) แต่ด้วยความหน้า(ด้าน)นิ่งหน้าทนของป้าคนนั้น และผมก็คิดในใจว่านี่ไม่ใช่บ้านเราและลองคำนวณดูแล้ว
มันก็เป็นเงินไม่ได้มากมายอะไร เลยเออวะ ยอมๆก็ได้
แล้วก็เข้าห้องน้ำป้าแกไปอย่างหัวร้อนๆ ด้วยเงินราคารวม 13,000 ดอง (ราวๆ 20 บาท)
แล้วก็แวะพักอย่างนี้อีกจุดหนึ่งซึ่งเป็นคล้ายๆจุดเดิมคือมีบริการห้องน้ำและขายอาหารเล็กๆน้อยๆ พวกเราได้ซื้อซาลาเปา
ลูกหนึ่ง มาลองกินดูเพราะมันมีขนาดใหญ่ดีราคาตกลูกละ 20,000 ดอง หรือราวๆ 30 บาท แต่พอบีบไส้ออกมา กลับเจอแต่แป้ง
กับเศษหมูนิดหน่อย ซึ่งมันก็ไม่น่าผิดหวังอะไรสักเท่าไหร่เพราะกะไว้แล้วว่าต้องเจออย่างนี้ (เริ่มรู้สึกผิดหวังหน่อยๆตั้งแต่โดนโกง
ค่าห้องน้ำเมื่อกี้นี้ละ)
หลังจากการแวะพักครั้งสุดท้ายเราก็ยิงยาวมาจนถึงเมืองซาปาสักที เมื่อเดินลงมาจากรถก็ต้องอึ้งกับอุณหภูมิของอากาศ
ที่นี่เพราะมันเย็นใช้ได้เลย ราวๆ 12-14 องศาเซลเซียสได้ จากนั้นเราก็ไปเอากระเป๋าสัมภาระออกจากใต้ท้องรถแล้วมายืนประชุม
กันพักหนึ่ง อยู่ๆก็มีทั้งชาวบ้านทั้งแท็กซี่มายืนรุมล้อมเราเพื่อเสนอให้เราใช้บริการของเขา แต่แน่นอน เราจะไม่ทำอะไรนอกแผน
เด็ดขาดเพราะเราจองที่พักไว้เรียบร้อยแล้ว ระยะทางไม่ไกลมากจากจุดที่เราอยู่ เราจึงเลือกที่จะเดินฝ่าฟันอากาศเย็นนี้ไปจนถึง
โรงแรมที่พักที่เราจองไว้ เมื่อมาถึงโรงแรมเราจะเจอกับพนักงานสาวสวยชาวเวียดนามที่คอยต้อนรับแขกยืนประจำอยู่ตรง
เคาท์เตอร์ติดต่อลูกค้า เธอพูดภาษาอังกฤษได้ชัดและฟังง่าย ทำให้เราเข้าใจกันได้ดีและเช็คอินเข้าห้องพักอย่างสบายใจ
เมื่อเข้ามาในห้องพักจะรู้สึกได้ถึงอากาศอันหนาวเหน็บ แต่เมื่อสำรวจไปมาก็เห็นว่าห้องพักโรงแรมนี้ถือว่าหรูหราใช้ได้เลย
เพราะความที่ห้องมีขนาดกว้างพอสมควร ห้องน้ำหรูหรา มีน้ำอุ่นให้ใช้ และที่ดีไปกว่านั้นคือเตียงที่เรานอนติดฮีตเตอร์ให้ความร้อน
ไว้ด้วยทำให้เรานอนหลับสบายได้อย่างอุ่นกายอุ่นใจไม่ต้องกลัวว่าตื่นมาจะเป็นหวัด
หลังจากที่เราเข้าที่พักเก็บข้าวของกันเรียบร้อยแล้วเราก็เริ่มทำภารกิจล่าของกินยามค่ำคืนในตัวเมืองซาปาซึ่งตอนที่เราออก
ไปหาอะไรกินกันนั้นก็ไม่ใช่เวลาที่ร้านอาหารจะเปิดกันแล้ว (ตอนนั้นประมานห้าทุ่มเที่ยงคืน) แต่ยังดีที่ได้เจอกับร้านตั้งเก้าอี้ข้างทาง
(อีกลักษณะเด่นๆของร้านอาหารประเทศนี้คือเขามักจะตั้งเก้าอี้ตัวเล็กๆไว้ให้เรานั่งแล้วถือกิน แต่ถ้าใครอยากกินแบบวางจานเขาก็จะ
มีเก้าอี้อีกตัวให้วางได้ ปกติถ้าเป็นตามบ้านเราเขาก็ใช้เก้าอี้คู่กับโต๊ะกัน ก็นับถือว่าก็ไอเดียของที่นี่ดี ไม่เปลืองพื้นที่)
ซึ่งเป็นลักษณะของที่เราไปกินนี้จะคล้ายๆพิซซ่าที่ทำจากแป้งแบบเวียดนามที่เราไว้ห่อแหนมเนืองแผ่นใหญ่ๆ แต่จะใส่เนื้อ+ไข่+ผัก
และไส้กรอกแบบสไตล์เวียดนาม ขายในราคา 30,000 ดอง (45 บาท) อร่อยถูกใจมาก
แต่กินเท่านี้ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับนักกินสายดึกอย่างเรา และมันก็ช่วยไม่ได้ที่ไม่มีอะไรเปิดขายแล้ว พวกเราจึงกลับมาโซ้ยบะหมี่กึ่ง
สำเร็จรูปต่อที่โรงแรมอีกรอบ ค่อยเข้านอนพักผ่อนตามอัธยาศัยต่อไป เพราะพรุ่งนี้เราจะเริ่มเที่ยวกันอย่างจริงๆจังๆละ