คำถามจากแม่พิมพ์ที่บิดเบี้ยว
การเป็นครูไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องพัฒนาการสอนอยู่ตลอดเวลา ต้องสอนคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เด็ก เป็นแบบอย่างที่ดีตลอดเวลา การเป็นครูต้องเป็นตลอด 24 ชั่วโมง ต่อให้ลาออกจากอาชีพนี้ไปแล้ว ความเป็นครู มันก็จะติดตัวเราไปตลอด ครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดี อะไรที่ไม่อยากให้เด็กทำ เราก็ต้องไม่ทำให้เด็กเห็นเป็นตัวอย่าง ให้สมกับคำกล่าวที่ว่า
“ครูคือแม่พิมพ์ของชาติ”
ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีกว่าๆ กับการเป็นครู (เป็นครูม.ปลาย และครูอาชีวศึกษา) เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากอาชีพนี้ เราได้พัฒนาการสอน พัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยวิธีที่แปลกออกไปจากการสอนเดิม จากการที่ให้เด็กเป็นฝ่ายเข้าหาครู เรากลายเป็นฝ่ายเข้าหาเด็ก ถามสารทุกข์สุกดิบ ถามปัญหาชีวิต นำสิ่งต่างๆ ที่เขาประสบพบเจอ มาพัฒนาการสอนของเราให้เหมาะสมกับเด็กเหล่านั้น เด็กของเราเกือบทั้งหมดไม่ใช่เด็กเก่ง แต่เป็นเด็กที่มาจากสังคมสลัม สังคมแฟลต ซึ่งมีแต่ปัญหาสารพัด โดยเฉพาะแหล่งมั่วสุม ยาเสพติดและอบายมุขทั้งหลาย ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ที่เราสอน ก็เคยได้ประสบพบเจอ ได้ลิ้มลองกับสิ่งเหล่านั้น เราได้เข้าไปหาเขา ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจเขา ทำตัวเป็นเหมือนญาติ เหมือนพี่ เหมือนกัลยาณมิตร จนวันหนึ่งเราซื้อใจพวกเขาได้สำเร็จ เด็กมีความสุขที่ได้เรียนกับเรา เพราะเรารับฟังปัญหาทุกอย่างของเขา และเด็กได้นำคำสอนของเราไปใช้แล้วได้ผลจริง เด็กรักเรา และเราก็ภูมิใจในสิ่งที่เรามอบให้เขา เราเห็นเด็กที่เราสอนมีความสุข เราก็มีความสุขตามไปด้วย เด็กอยากฟังเรื่องผี เราก็เล่าเรื่องผีก่อนเรียน เด็กอยากเห็นเราทำนั่นทำนี่ เราก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เราไม่ได้เป็นแค่ครู เราทั้งนักแสดง นักพูด นักร้อง นักเต้น เต้นโชว์สร้างสีสันในงานกีฬาโรงเรียนก็ทำมาแล้ว เป็นโค้ชสอนเต้นก็ทำมาแล้ว ร้องเพลงโชว์ในงานปัจฉิมนิเทศก็ทำมาแล้ว เด็กๆ ชอบในสิ่งที่เราทำ และเขามีความสุข เราก็มีความสุขในสิ่งที่เราทำด้วย
แต่ด้วยความจริงใจ และหวังดีของเรา กลับถูกเพ่งเล็งจากครูบางท่าน ด้วยรสนิยมทางเพศที่ผิดแปลกไปจากคนอื่น และการเข้าหาเด็กของเรา ถูกมองว่าเป็นการล่วงเกิน ลวนลาม และผิดจรรยาบรรณ ทั้งๆ ที่เราเองก็ไม่เคยทำแบบนั้นกับเด็กที่เราสอน ยกเว้นเด็กบางคนที่เกินไปจริงๆ อาจจะมีร้ายใส่บ้าง แต่ก็มีการคุยกันด้วยเหตุผลตลอดว่าเราร้ายใส่เขาเพราะเหตุใด และทำการปรับความเข้าใจกันใหม่ ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของครูที่เมื่อปฏิบัติไม่ดีกับเด็กไป ก็ต้องยอมรับผิด มีการปรับความเข้าใจและพูดคุยด้วยเหตุผล แต่ก็ถูกครูบางท่านมองในแง่ไม่ดีตลอด เรายอมรับว่าเมื่อก่อนเราเคยจู้จี้จุกจิก เจ้าระเบียบ และร้ายกับเด็กมากในสมัยที่เราเป็นนักศึกษาฝึกสอน แต่บทเรียนนั้นก็ได้สอนให้เราเป็นครูได้อย่างทุกวันนี้
เรื่องไลฟ์สไตล์ส่วนตัวก็ถูกเพ่งเล็งไม่แพ้กัน เราเป็นคนที่ชอบเที่ยว เพราะพื้นฐานชีวิตของเรามาจากสถานที่ตรงนั้น (ก่อนที่จะมาเป็นครู เราเคยทำงานในสถานที่แบบนี้มาก่อน) การไปเที่ยวของเราก็ไปขัดหูขัดตาคนอื่น ถูกมองว่านอกรีตบ้าง ทำตัวไม่เหมาะสม ไปอยู่ในสถานที่อโคจรให้เด็กมันทำตาม ให้ผู้ปกครองเขาว่าเอาได้ แต่การเที่ยวของเรา เราไม่เช็คอินว่าเที่ยวที่ไหน อย่างไร กับใคร แต่ถ้ามีเด็กมาถามว่าเราจะไปเที่ยวไหม เราก็ตอบตรงๆ ว่าไปหรือไม่ไป แต่ก็ไม่ได้บอกตรงๆ ว่าไปที่ไหน แต่ถ้าเด็กชวน เราก็ปฏิเสธ แล้วเราก็บอกเด็กของเราให้ดูแลตัวเอง ดื่มอย่างมีสติ เมาไม่ขับ รับผิดชอบชีวิตตัวเองให้ได้ เราแนะนำ เตือนเขาด้วยความหวังดี เพราะนั่นคือชีวิตของเขา แต่กลับถูกมองว่าไปเสี้ยมสอนให้เด็กกินเหล้า ติดอบายมุข ซึ่งบางทีเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าเด็กจะมีชีวิตของเขาโดยที่ไม่ถูกตีกรอบเอาไว้ไม่ได้เลยหรือ ให้เขาได้ไปเจอโลกในความเป็นจริง ได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ อยากเป็น ไม่ได้เลยหรือ การแสดงความคิดเห็น การแสดงออกของเด็กในทางสร้างสรรค์ หลายครั้งก็ถูกปิดกั้นจากครูบางท่านที่ไม่เคยรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ทั้งๆ ที่เราพยายามช่วยให้เด็กมีพื้นที่ในการแสดงออกของตนเอง เด็กหลายคนเสียใจ เสียโอกาส แต่เราก็บอกเขาให้ทำใจ และบอกกับตัวเองว่าทำดีที่สุดแล้ว
สังคมทุกวันนี้เองก็ตั้งความหวังกับครูไม่แพ้กัน ความคาดหวังของผู้ปกครองที่อยากให้ลูกตัวเองเก่งในด้านนั้นด้านนี้ แต่ไม่เคยถามตัวเด็กว่าเด็กอยากเก่งในทางที่ผู้ปกครองคาดหวังเอาไว้หรือเปล่า พอเด็กทำตามที่ผู้ปกครองคาดหวังไม่ได้ คนที่ถูกเขาลงโทษ นอกจากเด็กแล้วก็คือครูอย่างพวกเรานี่แหละ โดนบ่น โดนว่า โดนคาดโทษต่างๆ นานา ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความผิดของเราเสียทีเดียว เพราะเราหน้าที่ของเราดีที่สุดแล้ว ส่วนเด็กจะชอบ ไม่ชอบ จะรับ หรือไม่รับ มันก็เรื่องของเขา
ที่เขียนมาทั้งหมด ก็อยากจะตั้งคำถามกับทุกคน ทั้งที่เป็นครู เป็นนักเรียน ผู้ปกครอง และสังคมว่า สุดท้ายแล้ว ความเป็นครูคืออะไร, สังคมไทยทุกวันนี้มองภาพ “ครู” ในรูปแบบไหน, ครูจะมีชีวิตเหมือนคนมนุษย์คนหนึ่งได้หรือไม่ และ เด็กกับสังคมไทย ต้องการอะไรจากครู นี่คือคำถาม ที่เราอยากจะทิ้งเอาไว้ ให้ทุกคนได้ตอบ หวังว่าจะได้รับคำตอบจากทุกคนในที่นี้
ปล. กรุณาคอมเม้นอย่างสุภาพ เป็นปัญญาชน และแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
คำถามจากแม่พิมพ์ที่บิดเบี้ยว
การเป็นครูไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องพัฒนาการสอนอยู่ตลอดเวลา ต้องสอนคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เด็ก เป็นแบบอย่างที่ดีตลอดเวลา การเป็นครูต้องเป็นตลอด 24 ชั่วโมง ต่อให้ลาออกจากอาชีพนี้ไปแล้ว ความเป็นครู มันก็จะติดตัวเราไปตลอด ครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดี อะไรที่ไม่อยากให้เด็กทำ เราก็ต้องไม่ทำให้เด็กเห็นเป็นตัวอย่าง ให้สมกับคำกล่าวที่ว่า “ครูคือแม่พิมพ์ของชาติ”
ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีกว่าๆ กับการเป็นครู (เป็นครูม.ปลาย และครูอาชีวศึกษา) เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากอาชีพนี้ เราได้พัฒนาการสอน พัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยวิธีที่แปลกออกไปจากการสอนเดิม จากการที่ให้เด็กเป็นฝ่ายเข้าหาครู เรากลายเป็นฝ่ายเข้าหาเด็ก ถามสารทุกข์สุกดิบ ถามปัญหาชีวิต นำสิ่งต่างๆ ที่เขาประสบพบเจอ มาพัฒนาการสอนของเราให้เหมาะสมกับเด็กเหล่านั้น เด็กของเราเกือบทั้งหมดไม่ใช่เด็กเก่ง แต่เป็นเด็กที่มาจากสังคมสลัม สังคมแฟลต ซึ่งมีแต่ปัญหาสารพัด โดยเฉพาะแหล่งมั่วสุม ยาเสพติดและอบายมุขทั้งหลาย ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ที่เราสอน ก็เคยได้ประสบพบเจอ ได้ลิ้มลองกับสิ่งเหล่านั้น เราได้เข้าไปหาเขา ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจเขา ทำตัวเป็นเหมือนญาติ เหมือนพี่ เหมือนกัลยาณมิตร จนวันหนึ่งเราซื้อใจพวกเขาได้สำเร็จ เด็กมีความสุขที่ได้เรียนกับเรา เพราะเรารับฟังปัญหาทุกอย่างของเขา และเด็กได้นำคำสอนของเราไปใช้แล้วได้ผลจริง เด็กรักเรา และเราก็ภูมิใจในสิ่งที่เรามอบให้เขา เราเห็นเด็กที่เราสอนมีความสุข เราก็มีความสุขตามไปด้วย เด็กอยากฟังเรื่องผี เราก็เล่าเรื่องผีก่อนเรียน เด็กอยากเห็นเราทำนั่นทำนี่ เราก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เราไม่ได้เป็นแค่ครู เราทั้งนักแสดง นักพูด นักร้อง นักเต้น เต้นโชว์สร้างสีสันในงานกีฬาโรงเรียนก็ทำมาแล้ว เป็นโค้ชสอนเต้นก็ทำมาแล้ว ร้องเพลงโชว์ในงานปัจฉิมนิเทศก็ทำมาแล้ว เด็กๆ ชอบในสิ่งที่เราทำ และเขามีความสุข เราก็มีความสุขในสิ่งที่เราทำด้วย
แต่ด้วยความจริงใจ และหวังดีของเรา กลับถูกเพ่งเล็งจากครูบางท่าน ด้วยรสนิยมทางเพศที่ผิดแปลกไปจากคนอื่น และการเข้าหาเด็กของเรา ถูกมองว่าเป็นการล่วงเกิน ลวนลาม และผิดจรรยาบรรณ ทั้งๆ ที่เราเองก็ไม่เคยทำแบบนั้นกับเด็กที่เราสอน ยกเว้นเด็กบางคนที่เกินไปจริงๆ อาจจะมีร้ายใส่บ้าง แต่ก็มีการคุยกันด้วยเหตุผลตลอดว่าเราร้ายใส่เขาเพราะเหตุใด และทำการปรับความเข้าใจกันใหม่ ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของครูที่เมื่อปฏิบัติไม่ดีกับเด็กไป ก็ต้องยอมรับผิด มีการปรับความเข้าใจและพูดคุยด้วยเหตุผล แต่ก็ถูกครูบางท่านมองในแง่ไม่ดีตลอด เรายอมรับว่าเมื่อก่อนเราเคยจู้จี้จุกจิก เจ้าระเบียบ และร้ายกับเด็กมากในสมัยที่เราเป็นนักศึกษาฝึกสอน แต่บทเรียนนั้นก็ได้สอนให้เราเป็นครูได้อย่างทุกวันนี้
เรื่องไลฟ์สไตล์ส่วนตัวก็ถูกเพ่งเล็งไม่แพ้กัน เราเป็นคนที่ชอบเที่ยว เพราะพื้นฐานชีวิตของเรามาจากสถานที่ตรงนั้น (ก่อนที่จะมาเป็นครู เราเคยทำงานในสถานที่แบบนี้มาก่อน) การไปเที่ยวของเราก็ไปขัดหูขัดตาคนอื่น ถูกมองว่านอกรีตบ้าง ทำตัวไม่เหมาะสม ไปอยู่ในสถานที่อโคจรให้เด็กมันทำตาม ให้ผู้ปกครองเขาว่าเอาได้ แต่การเที่ยวของเรา เราไม่เช็คอินว่าเที่ยวที่ไหน อย่างไร กับใคร แต่ถ้ามีเด็กมาถามว่าเราจะไปเที่ยวไหม เราก็ตอบตรงๆ ว่าไปหรือไม่ไป แต่ก็ไม่ได้บอกตรงๆ ว่าไปที่ไหน แต่ถ้าเด็กชวน เราก็ปฏิเสธ แล้วเราก็บอกเด็กของเราให้ดูแลตัวเอง ดื่มอย่างมีสติ เมาไม่ขับ รับผิดชอบชีวิตตัวเองให้ได้ เราแนะนำ เตือนเขาด้วยความหวังดี เพราะนั่นคือชีวิตของเขา แต่กลับถูกมองว่าไปเสี้ยมสอนให้เด็กกินเหล้า ติดอบายมุข ซึ่งบางทีเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าเด็กจะมีชีวิตของเขาโดยที่ไม่ถูกตีกรอบเอาไว้ไม่ได้เลยหรือ ให้เขาได้ไปเจอโลกในความเป็นจริง ได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ อยากเป็น ไม่ได้เลยหรือ การแสดงความคิดเห็น การแสดงออกของเด็กในทางสร้างสรรค์ หลายครั้งก็ถูกปิดกั้นจากครูบางท่านที่ไม่เคยรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ทั้งๆ ที่เราพยายามช่วยให้เด็กมีพื้นที่ในการแสดงออกของตนเอง เด็กหลายคนเสียใจ เสียโอกาส แต่เราก็บอกเขาให้ทำใจ และบอกกับตัวเองว่าทำดีที่สุดแล้ว
สังคมทุกวันนี้เองก็ตั้งความหวังกับครูไม่แพ้กัน ความคาดหวังของผู้ปกครองที่อยากให้ลูกตัวเองเก่งในด้านนั้นด้านนี้ แต่ไม่เคยถามตัวเด็กว่าเด็กอยากเก่งในทางที่ผู้ปกครองคาดหวังเอาไว้หรือเปล่า พอเด็กทำตามที่ผู้ปกครองคาดหวังไม่ได้ คนที่ถูกเขาลงโทษ นอกจากเด็กแล้วก็คือครูอย่างพวกเรานี่แหละ โดนบ่น โดนว่า โดนคาดโทษต่างๆ นานา ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความผิดของเราเสียทีเดียว เพราะเราหน้าที่ของเราดีที่สุดแล้ว ส่วนเด็กจะชอบ ไม่ชอบ จะรับ หรือไม่รับ มันก็เรื่องของเขา
ที่เขียนมาทั้งหมด ก็อยากจะตั้งคำถามกับทุกคน ทั้งที่เป็นครู เป็นนักเรียน ผู้ปกครอง และสังคมว่า สุดท้ายแล้ว ความเป็นครูคืออะไร, สังคมไทยทุกวันนี้มองภาพ “ครู” ในรูปแบบไหน, ครูจะมีชีวิตเหมือนคนมนุษย์คนหนึ่งได้หรือไม่ และ เด็กกับสังคมไทย ต้องการอะไรจากครู นี่คือคำถาม ที่เราอยากจะทิ้งเอาไว้ ให้ทุกคนได้ตอบ หวังว่าจะได้รับคำตอบจากทุกคนในที่นี้
ปล. กรุณาคอมเม้นอย่างสุภาพ เป็นปัญญาชน และแสดงความคิดเห็นในเชิงสร้างสรรค์ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง