ตามรอยออเจ้า.....เลี้ยงข้าวคนชราที่ศูนย์ผู้สูงอายุวาสนะเวศม์​ กับ "กลุ่มอาสามาด้วยกัน"

"กลุ่มอาสามาด้วยกัน"​
7.30 น. ของเช้าวันที่ 21 เมษายน หนุ่มน้อย สาวสวย "กลุ่มอาสามาด้วยกัน"​ ยืนรอต้อนรับพวกเราด้วยชุดไทยสวยงาม ตระการตา ทั้งประยุกต์ และประหยัด ฯลฯ ที่ปั๊ม ปตท. สาขา สนามเป้า
เมื่อสมาชิกครบถ้วน พวกเราก็เริ่มออกเดินทาง จากกรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปยังจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ราชธานีเก่า ระหว่างนั้น น้อง ๆ อาสาฯ ก็ขึ้นมากล่าวแนะนำตัวร่วมถึงพูดถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้
น้องเล่าคร่าว ๆ ว่า ด้วย 13 เมษายน ของทุกปีเป็นวันผู้สูงอายุ ทางกลุ่มฯ ก็เลยอยากจัดกิจกรรม เลี้ยงข้าวและมอบสิ่งของที่จำเป็นให้แก่ผู้สูงอายุ โดยได้เลือก ศูนย์ผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ พระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ผู้สูงอายุมีความสุขทั้งกายใจ
ที่เลือกที่อยุธยานี้ ก็เพราะว่า เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรม ณ ศูนย์ผู้สูงอายุฯ แล้ว อาสาจะได้พาไปท่องเที่ยวศึกษาประวัติศาสตร์ตามรอยละครบุพเพสันนิวาส อันเลื่องลือ และล่องเรือรอบเกาะอยุธยาเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศและเรียนรู้ประวัติศาสตร์จากวิทยากรท้องถิ่น
ปกติแล้ว การจัดกิจกรรมในแต่ละครั้งของกลุ่ม จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 500 - 600 บาท เช่น กิจกรรมปลูกป่าชายเลน เป็นต้น แต่เนื่องด้วยการเลี้ยงอาหารผู้สูงอายุนั้น มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทำให้ทริปนี้มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ ท่าน 1,150 บาท ซึ่งร่วมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการทำกิจกรรมแล้ว
รถแล่นพาเรามาตามเส้นทาง จุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ วัดไชยวัฒนาราม ทันทีที่รถของเราจอด น้องอาสาฯ ก็ลงมายืนตั้งแถว กล่าวต้อนรับและเดินนำหน้ากลุ่มของพวกเราเพื่อไปยังโมเดลของวัดไชยวัฒนาราม พร้อมบรรยายให้ทราบคร่าว ๆ ของประวัติความเป็นมา
วัดไชยวัฒนาราม ได้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2173 โดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นบนที่ที่เป็นบ้านเดิมของพระองค์เพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายพระราชมารดา แต่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าวัดนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือนครละแวกโดยจำลองแบบมาจากปราสาทนครวัด​
วัดไชยวัฒนาราม มีปรางค์ประธานและปรางค์มุมอยู่บนฐานเดียวกัน พระปรางค์ประธานนำรูปแบบของพระปรางค์สมัยอยุธยาตอนต้นมาก่อสร้าง แต่ปรางค์ประธานที่วัดไชยวัฒนารามทำมุขทิศยื่นออกมามากกว่า บนยอดองค์พระปรางค์ใหญ่อาจเคยประดิษฐานพระเจดีย์ขนาดเล็ก สื่อถึงพระเจดีย์จุฬามณีบนยอดเขาพระสุเมรุ
พระอุโบสถ หน้าปรางค์ประธาน
รอบพระปรางค์ใหญ่ล้อมรอบไปด้วยระเบียงคตที่เดิมนั้นมีหลังคา ภายในระเบียงคตประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยที่เคยลงรักปิดทองจำนวน 120 องค์ เป็นเสมือนกำแพงเขตศักดิ์สิทธิ์ ตามแนวระเบียงคตตรงทิศทั้งแปดสร้างเมรุทิศ และ เมรุมุม (เจดีย์รอบๆพระปรางค์ใหญ่) ภายในเมรุทุกองค์ประดิษฐานพระพุทธรูป ภายในซุ้มเรือนแก้วล้วนลงรักปิดทอง ฝาเพดานทำด้วยไม้ประดับลวดลายลงรักปิดทองเช่นกัน​
ระเบียงคตประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยที่เคยลงรักปิดทองจำนวน 120 องค์​
พระอุโบสถ สร้างอยู่ทางด้านหน้ากำแพงเมรุทิศเมรุราย นอกระเบียงคต ปัจจุบันเหลือแต่ฐาน ข้างๆมีเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง มีกำแพงล้อมรอบโบราณสถานสำคัญแหล่านี้ถึง 3 ชั้น และ มีปรางค์เจดีย์ขนาดย่อมอีกจำนวนหนึ่งซึ่งสร้างเพิ่มในภายหลัง​
เมรุทิศเมรุราย ตั้งล้อมรอบพระปรางค์อยู่ทั้งสิ้น 8 องค์ โดยผนังภายในเมรุเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปใบไม้ใบกนก ซึ่งลบเลือนไปมากแล้ว ผนังด้านนอกของเมรุมีภาพปูนปั้นพุทธประวัติ จำนวน 12 ภาพ ซึ่งในปัจจุบันเลือนไปแล้วเช่นกัน แต่เมื่อ 20 ปีที่แล้วยังสามารถเห็นได้ชัด เมรุเป็นทรงปราสาท ซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 7 ชั้น รองรับส่วนยอดที่ ชื่อที่มานั้นนำมาจากเมรุ พระบรมศพพระมหากษัตริย์สมัยพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีแนวความคิด มาจากคติเขาพระสุเมรุอีกต่อหนึ่ง​
ถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน
หลังจากบรรยาย และนัดหมายเวลาให้มาเจอกันเรียบร้อย น้อง ๆ ก็ให้เวลาอิสระแก่พวกเราในการจะเดินชม เดินเที่ยว และถ่ายภาพสวย ๆ กลับไปอวดกัน แต่ขอบอกเลยว่า วัดไชยวัฒนารามวันนี้ ผู้คนตื่นตัวกับประวัติศาสตร์ตามละครบุพเพสันนิวาสเป็นอย่างมาก ล้วนแต่ออกมาแต่ชุดไทยเป็นออเจ้า เดินสไบปลิวสไสวรอบวัดไชยฯ กันอย่างสวยงาม
พระบรมราชานุสาวรีย์​พระปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ผู้สร้างวัดพุทไธศวรรย์ (พระเจ้าอู่ทอง), พระมหากษัตริย์ผู้กู้ชาติ (สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) และพระอนุชา (สมเด็จพระเอกาทศรถ) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓ ​
ถัดจากวัดไชยวัฒนารา​ม เราก็มุ่งหน้าตามรอยละครมาอีกวัดหนึ่ง ซึ่งอยู่ในฉากที่แม่หญิงการะเกดเปิดประตูพยนต์ ต้านมนต์ที่พระอาจารย์ชีปะขาวกำกับไว้ เข้าไปยังค่ายซ้อมรบของหมื่นสุนทรเทวา​ และหมื่นเรืองราชภักดีได้ นั่นคือ วัดพุทไธศวรรย์
องค์พระพุทธไสยาสน์ แห่ง วิหารพระพุทไธศวรรย์ ด้วยพุทธศิลป์และลักษณะรูปแบบของอาคาร อาจกำหนดอายุของพระพุทธไสยาสน์และพระวิหารหลังนี้ อยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓​
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาวัดพุทไธศวรรย์ เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งมีฐานะเป็นพระอารามหลวง (พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา, ๒๕๐๐, หน้า ๒๑๕) ซึงสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติแล้ว ๓ ปี โดยเลือกภูมิสถานบริเวณที่เรียกกันว่า ตำบลเวียงเหล็ก เรื่องราวของการสร้างวัดนี้ปรากฎอยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า​
"ศักราช ๗๑๕ ปีมะเส็ง เบญจศก (พ.ศ. ๑๘๙๖) วันพฤหัสบดี เดือน ๔ ขึ้น ๑ ค่ำ เพลา ๒ นาฬิกา ๕ บาท ทรงพระกรุณาตรัสว่า ที่พระตำหนักเวียงเหล็กนั้นให้สถาปนาพระวิหารและพระมหาธาตุเป็นอารามแล้ว ให้นามชื่อ วัดพุทไธศวรรย์​"
ในจดหมายเหตุโหรได้กล่าวถึง เหตุการณ์ครั้งที่พระเจ้าอู่ทอง ทรงอพยบพาไพร่พลหนีโรคภัยมาจากเมืองอู่ทองนั้น ในตอนแรกได้มาตั้งที่ตำบลเวียงหลัก เมื่อปีกุน จุลศักราช ๗๐๙ (พ.ศ. ๑๘๙๐) และได้พักไพร่พลอยู่ ณ ที่นี้ถึง ๓ ปี จนกระทั้งเห็นว่าไฟร่พลของพระองค์พ้นจากความอิดโรย มีความเข้มแข็งขึ้น จึงยกไพร่พลข้ามแม่น้ำมาสร้างพระนครศรีอยุธยา อยู่ในบริเวณปัจจุบันและทำพระราชพิธีราชาภิเษกสถาปนาพระนคร เมื่อปีเถาะ โทศก จุลศักราช ๗๑๒ (พ.ศ. ๑๘๙๓) (กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับ พระราชหัตถเลขา เล่ม ๑, ๒๕๐๖, หน้า ๓๔๒)
ระเบียงคต และพระพุทธรูปรายล้อมรอบระเบียง ส่วนหนึ่งในฉากของละครดังบุพเพสันนิวาส
พระระเบียง พระพุทธรูปเหล่านี้แต่เดิมเป็นพระพุทธหินทราย ฉาบปูนและลงรักปิดทอง ต่อมาได้ชำรุดทรุดโทรมลง ต่อมาได้รับการบูรณะปั้นใหม่ขึ้นมาทั้งหมด โดยยึดเอาพุทธศิลปะแบบสุโขทัยเป็นหลัก
พระมหาธาตุ (ปรางค์ประธาน) ​
พระมหาธาตุ หรือพระปรางค์ประธานองค์นี้ จะมีห้องพระครรภธาตุ ภายในมีพระเจดีย์ทรงปราสาทยอด ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เริ่มสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น
เมื่อเดินผ่านวิหาร และองค์ปรางค์ประธานออกไปยังนอกกำแพงนั้น เราจะได้พบกับพื้นที่ ๆ เป็นสถานที่ถ่ายทำละครดังบุพเพสันนิวาส ในฉากสนามซ้อมรบ และการพบกันครั้งแรก ของอาจารย์และศิษย์ ท่านอาจารย์ชีปะขาว และการะเกด
ปรางค์ประธาน ยังคงลักษณะสถาปัตยกรรมที่สง่างาม
​องค์พระปรางค์ซึ่งเป็นประธานของวัด ตั้งหันหน้าไปสู่ทิศตะวันออก อยู่บนฐานไฟทีที่รองรับไปถึงมณฑปที่อยู่ทางด้านทิศเหนือและทิศใต้อีก ๒ หลัง ลักษณะโดยทั่วไปขององค์พระปรางค์ได้รับอิทธิพลรูปแบบของสถาปัตยกรรมมาจาก ปราสาทขอม ซึ่งเปรียบประดุจเขาพระสุเมรุ หรือเขาไกรลาสที่ประทับของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ในการสร้างปราสาทตามคติเดิมของขอม ได้จำลองตัวอาคารหรือเรีอนธาตุซ้อนกันเป็นชั้นๆ ขึ้นไปตามลำดับ ซึ่งก็คือ วิมานของเทพเจ้า และมีเทพผู้รักษาทิศอยู่ครบทุกด้าน ประจำอยู่ตามทิศต่าง ๆ
วิหารพระพุทไธศวรรย์​
ลักษณะของพระวิหารมีลักษณะแอ่นท้องสำเภาเล็กน้อย เจาะช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมทางด้านยาวด้านละ ๓ ช่อง รวม ๖ ช่อง มีช่องประตูทางเข้า ๑ ช่อง เครื่องบนหลังคาหักพังไปหมดสิ้นแล้ว องค์พระพุทธไสยาสน์หันพระเศียรไปทางทิศตะวันตกตรงกับช่องประตูทางเข้าพอดี แม้พระพุทธไสยาสน์องค์นี้จะได้รับการบูรณะซ่อมแซมใหม่แล้วก็ตาม แต่จากพุทธศิลป์และลักษณะรูปแบบของอาคาร อาจกำหนดอายุของพระพุทธไสยาสน์และพระวิหารหลังนี้ อยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓
พระพุทธไสยาสน์​
ออกจากวัดพุทไธสวรรย์ เราก็มุ่งหน้าไปยังวัตถุประสงค์หลักของการทำกิจกรรมในครั้งนี้ นั่นคือ "เลี้ยงข้าวคนชรา" ณ ศูนย์ผู้สูงอายุวาสนะเวศม์​
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่