*ขอเพิ่มข้อความตรงนี้นิดหนึ่งนะคะ เป้าหมายของการเขียนกระทู้นี้ไม่ได้จะต่อว่าใครหรือว่าหาว่าเป็นความผิดของใคร แต่มีความประสงค์จะเล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่เจอเหตุการณ์เหมือนกันค่ะ เพราะเท่าที่คุยกับหลายๆ คน (ทั้งเจ้าหน้าที่สถานทูต เจ้าหน้าที่สายการบิน และคนที่ทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงคนทั่วไปหลายคน) บางคนก็ไม่ทราบจริงๆ ว่ากรณีนี้ไม่สามารถออกนอกประเทศได้ เพราะคิดว่าน้องถือพาสปอร์ตสองเล่มก็น่าจะออกได้สิ ดังนั้นเลยอยากจะเขียนเล่าประสบการณ์ที่เจอไว้เพื่อเตือนคนอื่นด้วยค่ะ ^_^
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เองค่ะ ถือโอกาสมาเล่าให้ฟังแบ่งปันประสบการณ์เผื่อจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้างนะคะ ออกตัวก่อนว่าเล่ายาวนะคะ
เกริ่นก่อนว่าเราอาศัยอยู่ประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก (ร่วมที่มาเรียน ทำงานและแต่งงานปีนี้ก็ย่างเข้า 18 ปีแล้ว) แต่งงานปีนี้นับเป็นปีที่ 9 แล้ว มีลูกสองคน 6 ขวบ และ 3 ขวบค่ะ ตัวเองถือพาสปอร์ตไทย แต่มีวีซ่าถาวรของญี่ปุ่นแล้ว ส่วนลูกสองคนถือสองสัญชาติ เกิดที่ญี่ปุ่น แต่ยื่นเรื่องเป็นพลเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงมีใบสูติบัตรที่ออกโดยสถานทูตไทยในญี่ปุ่น นำชื่อเข้าทะเบียนบ้านที่ไทย (มีหมายเลขบัตรประชาชนเรียบร้อย) รวมถึงทำพาสปอร์ตไทยด้วย
การทำพาสปอร์ตไทยของเด็กและเยาวชน (ไม่แน่ใจว่าถึงอายุเท่าไหร่นะคะ) ต้องมีพ่อและแม่ของเด็กไปด้วยทั้งคู่ค่ะ ถ้าพ่อหรือแม่ไม่ได้อยู่ด้วยต้องมีเอกสารยืนยัน (เช่น ใบหย่า ใบมรณะ เป็นต้น) หรือถ้าไม่สามารถมาพร้อมกันได้ ต้องมีหนังสือให้ความยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางออกนอกประเทศที่มีลายเซนต์ของผู้ปกครองที่ไม่อยู่มายื่นด้วยถึงจะสามารถทำพาสปอร์ตได้ค่ะ (ที่ญี่ปุ่นสามารถทำพาสปอร์ตได้โดยที่พ่อหรือแม่ไปได้คนเดียวค่ะ) เข้าใจว่าเป็นการป้องกันการพาเด็กออกนอกประเทศโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอมนะคะ
เรื่องคราวนี้เกิดขึ้นเพราะลูกสาวพาสปอร์ตไทยหมดอายุเมื่อเดือนพ.ย. 2017 แต่ไม่ได้ไปทำพาสปอร์ตใหม่ เพราะตอนนั้นอยู่ที่แคนาดา (พอดีเดินทางตามสามีที่ไปทำงานที่นั่น 8 เดือน ตลอดเวลาใช้แต่พาสปอร์ตญี่ปุ่นอย่างเดียวเพื่อความสะดวกต่างๆ ค่ะ) กลับมาญี่ปุ่นก็ยังไม่ได้ทำใหม่ เพราะถ้าทำต้องเดินทางไปโอซาก้าหรือโตเกียวซึ่งมีสถานกงสุลใหญ่กับสถานทูตไทยตั้งอยู่ แต่เราอาศัยจังหวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ถ้าจะเดินทางไปค่อนข้างเสียเวลามาก อีกทั้งต้องไปทั้งพ่อและแม่ สามีก็ลางานลำบากอย่างที่ทราบกันว่าคนญี่ปุ่นมีวันหยุดก็ไม่ยอมลานั่นล่ะค่ะ ประกอบกับคิดว่าลูกสาวก็มีพาสปอร์ตญี่ปุ่นอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เดือนมีนาคมพอเด็กๆ ปิดเทอมเราก็พาลูกๆ กลับไทย (สามีไม่ได้ตามมาด้วย) ใจคิดว่าตอนขาเข้าใช้พาสปอร์ไทยไป แล้วขาออกใช้พาสปอร์ตญี่ปุ่นออก
เพราะเราคิดว่าการเดินทางรอบหนึ่งของน้องจบแล้ว (ขาออกจากประเทศไทยคราวก่อนใช้พาสปอร์ตไทย ใบเข้า-ออกประเทศก็ใช้กับพาสปอร์ตอันนี้) ขาออกจากประเทศไทยเพื่อกลับญี่ปุ่นก็ควรจะใช้พาสปอร์ตญี่ปุ่นออกได้ จึงไม่มีความคิดที่จะทำพาสปอร์ตไทยเล่มใหม่ให้ลูกสาวในครั้งนี้เลย
พอตอนเข้าประเทศไทยเรายื่นพาสปอร์ตของลูกสาวสองเล่ม (ไทยและญี่ปุ่น) ถามตม.เลยว่าพาสปอร์ตไทยของน้องหมดอายุ สามารถใช้ได้มั้ย ทางตม. ตอบว่าใช้ได้ ก็ประทับตราเข้าประเทศไทยเรียบร้อย (ขอบ่นหน่อยว่ารอตม.ตรวจนานมากกกก เปิดสำหรับคนไทยแค่ช่องเดียวเท่านั้นเอง ที่สนามบินสุวรรณภูมินะคะ) และทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกอะไรอีกเลย ส่วนหนึ่งก็ต้องโทษตัวเองว่าปากหนักไม่ได้ถามว่าขาออกสามารถใช้พาสปอร์ตญี่ปุ่นออกได้ด้วยมั้ย หรือต้องไปทำพาสปอร์ตไทยใหม่
เราใช้เวลาอยู่ที่ไทย 2 สัปดาห์ พอถึงเวลากลับก็ไปเช็กอินที่สายการบินไทย ยื่นพาสปอร์ตญี่ปุ่นของน้องให้ทางเจ้าหน้าที่เช็กอิน เจ้าหน้าที่ตรวจทุกอย่างเรียบร้อยก็บอกว่าตอนออกจากประเทศไทยต้องยื่นพาสปอร์ตไทยนะ ตอนนั้นก็เหวอมาก ถามเจ้าหน้าที่ว่าพาสปอร์ตไทยหมดอายุ ทำไมถึงใช้พาสปอร์ตญี่ปุ่นไม่ได้ ทางเจ้าหน้าที่เช็กอินก็ไปถามพนักงานระดับสูงกว่าให้ ทางพนง. การบินไทยก็เดินมาคุยและบอกว่าไม่สามารถเดินทางได้ ต้องทำพาสปอร์ตใหม่อย่างเดียวเท่านั้น ต่อให้เช็กอินผ่านเข้าไปยังตม. ก็ไม่สามารถผ่านออกไปได้ เพราะพาสปอร์ตญี่ปุ่นของน้องไม่มีประทับตราเดินทางเข้าประเทศไทย ตอนนั้นนี่คือบอกเลยว่าจะเป็นลม เดินทางมาร่วมยี่สิบปีไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน ก็พยายามบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าตอนเข้าประเทศมาทางตม.ไม่ได้บอกอะไรเลย บอกแค่ว่าพาสปอร์ตหมดอายุใช้ได้ ยื่นสองพาสปอร์ตไปให้ดูด้วย ทางพนง. ของการบินไทยก็บอกว่าเคสแบบนี้เจอมาเยอะแล้ว สำหรับคนที่สองพาสปอร์ต พาสปอร์ตไทยหมดอายุคิดว่าจะออกนอกประเทศไทยด้วยพาสปอร์ตอื่นได้ แต่ความจริงคือออกไม่ได้ เชื่อได้เลยว่ายังไงก็เดินทางไม่ได้ล้านเปอร์เซ็นต์ ยังไงก็ต้องทำพาสปอร์ตใหม่ เราก็ยังเถียงอีกว่าทำไมตอนเข้ามาตม. ไม่บอก เจ้าหน้าที่การบินไทยก็บอกว่าอันนี้ก็ไม่ทราบจริงๆ ว่าทำไมตม. ไม่บอก (ก็จริงอ่ะนะ เจ้าหน้าที่สายการบินจะรู้ได้ไงว่าทำไมไม่บอก หรือเอาจริงๆ บางทีตม. คนที่ตรวจพาสปอร์ตอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าต้องทำพาสปอร์ตใหม่)
สรุป วันนั้นก็ตกเครื่อง ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ตั๋วก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ ต้องทิ้งตั๋วไปเลย (แต่ติดต่อขอภาษีสนามบินคืนได้นะคะ) จากนั้นก็ต้องมาแก้ปัญหาเรื่องจะทำพาสปอร์ตไทยเล่มใหม่ให้ลูกสาวยังไง พยายามโทรติดต่อทางกระทรวงการต่างประเทศแผนกกงสุลที่ทำพาสปอร์ต ขอบอกว่าติดต่อได้ยากมาก...มากจนอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งหลายรอบ พอโทรติด สรุปว่าเบอร์ที่ให้ไว้ในเพจกระทรวงการต่างประเทศไม่สามารถตอบคำถามได้ ต้องโทรไปอีกเบอร์ พอโทรติดก็ถามว่าจะทำพาสปอร์ตให้ลูกสาวกรณีพ่อเป็นชาวต่างชาติและไม่อยู่ด้วยตอนนี้จะต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ทางเจ้าหน้าที่ตอบมาดังนั้น
1. หนังสือให้ความยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางออกนอกประเทศซึ่งออกโดยสถานกงสุลหรือสถานทูตไทยในประเทศนั้นๆ โดยลงลายเซนต์ต่อหน้าเจ้าหน้าที่
2. สำเนาพาสปอร์ตของบิดาที่ประทับตราสำเนาถูกต้องและลงลายมือชื่อต่อหน้าเจ้าหน้าที่
3. ใบสูติบัตร
4. ทะเบียนบ้าน (เพราะน้องไม่ได้เกิดที่เมืองไทย สูติบัตรเลยไม่มีหมายเลขบัตรประชาชน จึงต้องใช้ทะเบียนบ้านค่ะ)
เอกสารทั้งหมดต้องใช้ "ตัวจริง" ในการทำพาสปอร์ต ไม่สามารถแฟกซ์และส่งตัวจริงตามมาทีหลังได้
รีบติดต่อสามีที่อยู่ที่ญี่ปุ่นให้รีบเดินทางไปสถานกงสุลที่โอซาก้า ซึ่งสามีมีประชุมเช้าวันรุ่งขึ้น (จริงๆ วันที่โทรไปหาก็ตอนเช้า แต่สามีทำงานทั้งวัน ไม่สามารถไปได้เลย กับต้องหาใบสูติบัตรตัวจริงเพื่อส่งมาด้วย เพราะเก็บไว้ที่ญี่ปุ่นไม่ได้นำมาที่ไทยด้วย) พอประชุมเสร็จก็รีบจับรถไฟชินกันเซนไปถึงบ่ายสองโมงนิดๆ ซึ่งสถานกงสุลจะปิดทำงานตอนบ่ายสามโมงตรง อ้อ ต้องถ่ายรูปหรือสำเนาพาสปอร์ตเล่มเก่าของลูกสาวไปยื่นให้สถานกงสุลดูด้วยนะคะ (ก่อนหน้านั้นโทรติดต่อกับสถานกงสุลเพื่อสอบถามข้อมูลต่างๆ ก่อน และแจ้งว่าเราจะเข้าไปในวันรุ่งขึ้นค่ะ) พอไปถึงทางสถานกงสุลก็เตรียมเอกสารหนังสือให้ความยินยอมมาให้เซนต์ชื่อ แล้วเย็บติดกับสำเนาพาสปอร์ตของบิดาที่มีประทับตราสำเนาถูกต้องและลงลายมือชื่อ จ่ายเงิน 2000 เยนเป็นค่าธรรมเนียม ก็ได้เอกสารมาเรียบร้อย
จากนั้นสามีก็จัดการส่งเอกตัวจริงของหนังสือให้ความยินยอม สำเนาพาสปอร์ต และใบสูติบัตรของลูกสาวมาที่เมืองไทย ปกติถ้าส่ง EMS ของไปรษณีย์จะใช้เวลาราวๆ 3 วัน แต่เราไม่มีเวลารอขนาดนั้น เพราะวันที่ 6 จะเป็นวันหยุดราชการและหยุดยาวติดกันสามวัน สัปดาห์ต่อไปก็จะเข้าหยุดช่วงสงกรานต์แล้วด้วย ต่อให้ถึงเวลานั้นได้พาสปอร์ตมา แต่ก็ไม่มีเงินซื้อตั๋วกลับแล้ว เพราะแพงเกิน (ตั๋วสามคน แม่และลูกสองน่ะค่ะ) ดีที่ได้เพื่อนแนะนำให้ส่งเอกสารกับ DHL Express ส่งเย็นนี้รุ่งเช้าได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าค่าส่งก็แพงว่า EMS 3-4 เท่า แต่เวลานั้นก็ต้องยอมจ่ายน่ะค่ะ สามีส่งเอกสารที่ศูนย์ DHL ที่โอซาก้าใกล้สถานกงสุลตอนราวๆ บ่ายสามโมงครึ่งของวันที่ 4 เมษายน (กำหนดเดินทางกลับเดิมคือ 3 เมษา) ห้าโมงครึ่งเอกสารเข้าระบบ เราก็โทรติดต่อที่ DHL เมืองไทยเลยว่าเอกสารน่าจะมาถึงตอนกี่โมง ทาง DHL เมืองไทยบอกว่าต้องรอเช็กตอนเช้าอีกทีถึงจะรู้ว่าจะส่งของได้กี่โมง คิดแล้วคิดอีกก็ว่าไปรับเอกสารที่ศูนย์เลยดีกว่า ก็โทรหา DHL อีกรอบ ถามว่าศูนย์ฯ อยู่ที่ไหน โชคดีที่อยู่ไม่ไกลบ้านมากคือแถวบางแค ซึ่งเอกสารจะเข้าศูนย์ตอนประมาณ 8.30 น. วันที่ 5 เมษา แต่จะสามารถรับเอกสารได้ตอน 9.00 น. ก็ตกลงว่าจะไปรับที่ศูนย์ ทาง DHL ก็จะทำการเก็บเอกสารไว้ให้ ไม่จำหน่ายออกไปกับพนักงานส่ง
พอเช้าวันที่ 5 เมษาก็รีบออกจากบ้านไปรับเอกสารที่ DHL ได้เอกสารมาตอน 9.15 น. ก็รีบตีรถไปทำพาสปอร์ตที่สายใต้ใหม่ทันที โดยเลือกทำแบบเช้าได้รับบ่าย (ทำที่สาขาไหนก็ได้จ่ายเงินก่อนเที่ยง แต่ต้องไปรับที่แจ้งวัฒนะเท่านั้นตอนเวลา 14:30-16:30 น.) ค่าทำพาสปอร์ตแบบด่วนวันเดียวได้คือ 3,000 บาท (ราคาปกติสามวันได้ 1,000 บาท และถ้าจะรับวันรุ่งขึ้นก็ราคา 2,000 บาท) ไปถึงที่สายใต้ใหม่ตอน 10:00 น. โดยประมาณ ตรงที่ตรวจเช็กเอกสารก่อนเข้าไปทำขอเอกสารเปลี่ยนชื่อรองของแม่ (เราใช้นามสกุลสามี และใช้นามสกุลเดิมเป็นชื่อรองค่ะ) แน่นอนว่าไม่ได้เตรียมมา (ตอนถามเจ้าหน้าที่ไม่ได้บอกอะไร และเราก็คิดว่าทำพาสปอร์ตเล่มสองแล้วนะ) ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าเดี๋ยวเข้าไปดูข้อมูลออนไลน์แล้วดึงข้อมูลออกมาได้ เขียนโน๊ตไว้ที่กระดาษขอทำพาสปอร์ตด้านบน
พอไปถึงโต๊ะทำพาสปอร์ต (เร็วมากค่ะ แทบจะไม่มีคิวเลย) ทางเจ้าหน้าที่ที่ทำขอเอกสารเปลี่ยนชื่อรอง ก็บอกไปว่าทางเจ้าหน้าที่ข้างหน้าบอกมาอย่างนี้ จนท. ที่ทำจึงไปดึงข้อมูลออนไลน์มา (ในใจคิดว่าเดี๋ยวนี้ไฮเทคนะ สะดวกดีจัง) แต่....ใช่ค่ะ มีแต่ เพราะข้อมูลออนไลน์ไม่มีข้อมูลการเปลี่ยนชื่อรองของเรา มีแต่ข้อมูลเปลี่ยนนามสกุลอย่างเดียว จนท.ก็ไปถามหัวหน้า ตอนแรกหัวหน้าบอกให้แฟกซ์มา แต่ที่บ้านไม่มีคนอยู่เลย แฟกซ์มาไม่ทันแน่ หัวหน้าบอกงั้นให้กลับไปเอาใบจริงมา (คือกลับไปแฟกซ์มาก็ไม่ได้แล้ว ต้องเอาตัวจริงอย่างเดียว) ก็อธิบายไปว่าไม่ทันแน่ๆ (ต้องกลับมาให้ทันก่อนเที่ยง คือต้องจ่ายเงินก่อนเที่ยง) น้องมีความจำเป็นต้องทำพาสปอร์ตให้ได้วันนี้ ไม่งั้นจะกลับไม่ได้ ขออนุญาตเดินเรื่องทำก่อนได้มั้ย แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับไปเอาเอกสารตัวจริงมาให้ทันก่อนเที่ยง โชคดีที่เจ้าหน้าที่อนุโลม ทำเอกสารทุกอย่างและจ่ายเงินเรียบร้อย แล้วก็รีบบึ่งรถกลับบ้าน (ออกจากสายใต้ใหม่ 10:30 น. ถึงบ้าน 11:00 น.) หาเอกสารเปลี่ยนชื่อรอง "ตัวจริง" ซึ่งโชคดีมากที่เก็บไว้ที่ไทย พอได้เอกสารแล้วก็รีบตีรถกลับไปสายใต้ใหม่อีกรอบ วิ่งเอาเอกสารไปให้เจ้าหน้าที่ที่เวลา 11:50 น. เจ้าหน้าที่ก็เอาไปแสกนเข้าระบบ สรุปทุกอย่างก็เรียบร้อยก่อนเวลาเที่ยงตรงแบบฉิวเฉียดพอดี
จากนั้นก็ตีรถไปการกระทรวงการต่างประเทศที่แจ้งวัฒนะ แวะกินข้าวกลางวันก่อน ไปถึงก็ 14:00 น. พอดี ตรงจุดรับพาสปอร์ตจะแยกระหว่างพาสปอร์ตธรรมดากับพาสปอร์ตด่วนไว้ ยื่นใบรับพร้อมใบเสร็จ (ต้องมีใบเสร็จด้วยนะคะ) แล้วก็บัตรประชาชนแม่เพื่อรับบัตรคิว (ได้คิวที่ 133 ค่ะ) แล้วก็นั่งรอเวลา 14:30 น. เริ่มเรียกคิว ใช้เวลารอประมาณครึ่งชั่วโมง บ่ายสามโมงก็ได้พาสปอร์ตเล่มใหม่เอี่ยมเสร็จร้อนๆ ของลูกสาวมาไว้ในมือค่ะ ตอนได้นี่ตรวจทุกอย่างเรียบร้อยเพราะกลัวพลาดมากๆ
สรุปก็ได้พาสปอร์ตแบบด่วนเรียบร้อยมาไว้ในมือในวันที่ 5 เมษายน ก่อนวันหยุดยาวสามวันพอดี
* ข้อความยาวเกินขอเขียนต่อไว้ที่ความคิดเห็นแรกนะคะ
เล่าเรื่องลูกสาวถือพาสปอร์ตสองประเทศแต่ออกจากประเทศไทยไม่ได้เพราะพาสปอร์ตหมออายุ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เองค่ะ ถือโอกาสมาเล่าให้ฟังแบ่งปันประสบการณ์เผื่อจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้างนะคะ ออกตัวก่อนว่าเล่ายาวนะคะ
เกริ่นก่อนว่าเราอาศัยอยู่ประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก (ร่วมที่มาเรียน ทำงานและแต่งงานปีนี้ก็ย่างเข้า 18 ปีแล้ว) แต่งงานปีนี้นับเป็นปีที่ 9 แล้ว มีลูกสองคน 6 ขวบ และ 3 ขวบค่ะ ตัวเองถือพาสปอร์ตไทย แต่มีวีซ่าถาวรของญี่ปุ่นแล้ว ส่วนลูกสองคนถือสองสัญชาติ เกิดที่ญี่ปุ่น แต่ยื่นเรื่องเป็นพลเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงมีใบสูติบัตรที่ออกโดยสถานทูตไทยในญี่ปุ่น นำชื่อเข้าทะเบียนบ้านที่ไทย (มีหมายเลขบัตรประชาชนเรียบร้อย) รวมถึงทำพาสปอร์ตไทยด้วย
การทำพาสปอร์ตไทยของเด็กและเยาวชน (ไม่แน่ใจว่าถึงอายุเท่าไหร่นะคะ) ต้องมีพ่อและแม่ของเด็กไปด้วยทั้งคู่ค่ะ ถ้าพ่อหรือแม่ไม่ได้อยู่ด้วยต้องมีเอกสารยืนยัน (เช่น ใบหย่า ใบมรณะ เป็นต้น) หรือถ้าไม่สามารถมาพร้อมกันได้ ต้องมีหนังสือให้ความยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางออกนอกประเทศที่มีลายเซนต์ของผู้ปกครองที่ไม่อยู่มายื่นด้วยถึงจะสามารถทำพาสปอร์ตได้ค่ะ (ที่ญี่ปุ่นสามารถทำพาสปอร์ตได้โดยที่พ่อหรือแม่ไปได้คนเดียวค่ะ) เข้าใจว่าเป็นการป้องกันการพาเด็กออกนอกประเทศโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอมนะคะ
เรื่องคราวนี้เกิดขึ้นเพราะลูกสาวพาสปอร์ตไทยหมดอายุเมื่อเดือนพ.ย. 2017 แต่ไม่ได้ไปทำพาสปอร์ตใหม่ เพราะตอนนั้นอยู่ที่แคนาดา (พอดีเดินทางตามสามีที่ไปทำงานที่นั่น 8 เดือน ตลอดเวลาใช้แต่พาสปอร์ตญี่ปุ่นอย่างเดียวเพื่อความสะดวกต่างๆ ค่ะ) กลับมาญี่ปุ่นก็ยังไม่ได้ทำใหม่ เพราะถ้าทำต้องเดินทางไปโอซาก้าหรือโตเกียวซึ่งมีสถานกงสุลใหญ่กับสถานทูตไทยตั้งอยู่ แต่เราอาศัยจังหวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ถ้าจะเดินทางไปค่อนข้างเสียเวลามาก อีกทั้งต้องไปทั้งพ่อและแม่ สามีก็ลางานลำบากอย่างที่ทราบกันว่าคนญี่ปุ่นมีวันหยุดก็ไม่ยอมลานั่นล่ะค่ะ ประกอบกับคิดว่าลูกสาวก็มีพาสปอร์ตญี่ปุ่นอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เดือนมีนาคมพอเด็กๆ ปิดเทอมเราก็พาลูกๆ กลับไทย (สามีไม่ได้ตามมาด้วย) ใจคิดว่าตอนขาเข้าใช้พาสปอร์ไทยไป แล้วขาออกใช้พาสปอร์ตญี่ปุ่นออก
เพราะเราคิดว่าการเดินทางรอบหนึ่งของน้องจบแล้ว (ขาออกจากประเทศไทยคราวก่อนใช้พาสปอร์ตไทย ใบเข้า-ออกประเทศก็ใช้กับพาสปอร์ตอันนี้) ขาออกจากประเทศไทยเพื่อกลับญี่ปุ่นก็ควรจะใช้พาสปอร์ตญี่ปุ่นออกได้ จึงไม่มีความคิดที่จะทำพาสปอร์ตไทยเล่มใหม่ให้ลูกสาวในครั้งนี้เลย
พอตอนเข้าประเทศไทยเรายื่นพาสปอร์ตของลูกสาวสองเล่ม (ไทยและญี่ปุ่น) ถามตม.เลยว่าพาสปอร์ตไทยของน้องหมดอายุ สามารถใช้ได้มั้ย ทางตม. ตอบว่าใช้ได้ ก็ประทับตราเข้าประเทศไทยเรียบร้อย (ขอบ่นหน่อยว่ารอตม.ตรวจนานมากกกก เปิดสำหรับคนไทยแค่ช่องเดียวเท่านั้นเอง ที่สนามบินสุวรรณภูมินะคะ) และทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกอะไรอีกเลย ส่วนหนึ่งก็ต้องโทษตัวเองว่าปากหนักไม่ได้ถามว่าขาออกสามารถใช้พาสปอร์ตญี่ปุ่นออกได้ด้วยมั้ย หรือต้องไปทำพาสปอร์ตไทยใหม่
เราใช้เวลาอยู่ที่ไทย 2 สัปดาห์ พอถึงเวลากลับก็ไปเช็กอินที่สายการบินไทย ยื่นพาสปอร์ตญี่ปุ่นของน้องให้ทางเจ้าหน้าที่เช็กอิน เจ้าหน้าที่ตรวจทุกอย่างเรียบร้อยก็บอกว่าตอนออกจากประเทศไทยต้องยื่นพาสปอร์ตไทยนะ ตอนนั้นก็เหวอมาก ถามเจ้าหน้าที่ว่าพาสปอร์ตไทยหมดอายุ ทำไมถึงใช้พาสปอร์ตญี่ปุ่นไม่ได้ ทางเจ้าหน้าที่เช็กอินก็ไปถามพนักงานระดับสูงกว่าให้ ทางพนง. การบินไทยก็เดินมาคุยและบอกว่าไม่สามารถเดินทางได้ ต้องทำพาสปอร์ตใหม่อย่างเดียวเท่านั้น ต่อให้เช็กอินผ่านเข้าไปยังตม. ก็ไม่สามารถผ่านออกไปได้ เพราะพาสปอร์ตญี่ปุ่นของน้องไม่มีประทับตราเดินทางเข้าประเทศไทย ตอนนั้นนี่คือบอกเลยว่าจะเป็นลม เดินทางมาร่วมยี่สิบปีไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน ก็พยายามบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าตอนเข้าประเทศมาทางตม.ไม่ได้บอกอะไรเลย บอกแค่ว่าพาสปอร์ตหมดอายุใช้ได้ ยื่นสองพาสปอร์ตไปให้ดูด้วย ทางพนง. ของการบินไทยก็บอกว่าเคสแบบนี้เจอมาเยอะแล้ว สำหรับคนที่สองพาสปอร์ต พาสปอร์ตไทยหมดอายุคิดว่าจะออกนอกประเทศไทยด้วยพาสปอร์ตอื่นได้ แต่ความจริงคือออกไม่ได้ เชื่อได้เลยว่ายังไงก็เดินทางไม่ได้ล้านเปอร์เซ็นต์ ยังไงก็ต้องทำพาสปอร์ตใหม่ เราก็ยังเถียงอีกว่าทำไมตอนเข้ามาตม. ไม่บอก เจ้าหน้าที่การบินไทยก็บอกว่าอันนี้ก็ไม่ทราบจริงๆ ว่าทำไมตม. ไม่บอก (ก็จริงอ่ะนะ เจ้าหน้าที่สายการบินจะรู้ได้ไงว่าทำไมไม่บอก หรือเอาจริงๆ บางทีตม. คนที่ตรวจพาสปอร์ตอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าต้องทำพาสปอร์ตใหม่)
สรุป วันนั้นก็ตกเครื่อง ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ตั๋วก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ ต้องทิ้งตั๋วไปเลย (แต่ติดต่อขอภาษีสนามบินคืนได้นะคะ) จากนั้นก็ต้องมาแก้ปัญหาเรื่องจะทำพาสปอร์ตไทยเล่มใหม่ให้ลูกสาวยังไง พยายามโทรติดต่อทางกระทรวงการต่างประเทศแผนกกงสุลที่ทำพาสปอร์ต ขอบอกว่าติดต่อได้ยากมาก...มากจนอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งหลายรอบ พอโทรติด สรุปว่าเบอร์ที่ให้ไว้ในเพจกระทรวงการต่างประเทศไม่สามารถตอบคำถามได้ ต้องโทรไปอีกเบอร์ พอโทรติดก็ถามว่าจะทำพาสปอร์ตให้ลูกสาวกรณีพ่อเป็นชาวต่างชาติและไม่อยู่ด้วยตอนนี้จะต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ทางเจ้าหน้าที่ตอบมาดังนั้น
1. หนังสือให้ความยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางออกนอกประเทศซึ่งออกโดยสถานกงสุลหรือสถานทูตไทยในประเทศนั้นๆ โดยลงลายเซนต์ต่อหน้าเจ้าหน้าที่
2. สำเนาพาสปอร์ตของบิดาที่ประทับตราสำเนาถูกต้องและลงลายมือชื่อต่อหน้าเจ้าหน้าที่
3. ใบสูติบัตร
4. ทะเบียนบ้าน (เพราะน้องไม่ได้เกิดที่เมืองไทย สูติบัตรเลยไม่มีหมายเลขบัตรประชาชน จึงต้องใช้ทะเบียนบ้านค่ะ)
เอกสารทั้งหมดต้องใช้ "ตัวจริง" ในการทำพาสปอร์ต ไม่สามารถแฟกซ์และส่งตัวจริงตามมาทีหลังได้
รีบติดต่อสามีที่อยู่ที่ญี่ปุ่นให้รีบเดินทางไปสถานกงสุลที่โอซาก้า ซึ่งสามีมีประชุมเช้าวันรุ่งขึ้น (จริงๆ วันที่โทรไปหาก็ตอนเช้า แต่สามีทำงานทั้งวัน ไม่สามารถไปได้เลย กับต้องหาใบสูติบัตรตัวจริงเพื่อส่งมาด้วย เพราะเก็บไว้ที่ญี่ปุ่นไม่ได้นำมาที่ไทยด้วย) พอประชุมเสร็จก็รีบจับรถไฟชินกันเซนไปถึงบ่ายสองโมงนิดๆ ซึ่งสถานกงสุลจะปิดทำงานตอนบ่ายสามโมงตรง อ้อ ต้องถ่ายรูปหรือสำเนาพาสปอร์ตเล่มเก่าของลูกสาวไปยื่นให้สถานกงสุลดูด้วยนะคะ (ก่อนหน้านั้นโทรติดต่อกับสถานกงสุลเพื่อสอบถามข้อมูลต่างๆ ก่อน และแจ้งว่าเราจะเข้าไปในวันรุ่งขึ้นค่ะ) พอไปถึงทางสถานกงสุลก็เตรียมเอกสารหนังสือให้ความยินยอมมาให้เซนต์ชื่อ แล้วเย็บติดกับสำเนาพาสปอร์ตของบิดาที่มีประทับตราสำเนาถูกต้องและลงลายมือชื่อ จ่ายเงิน 2000 เยนเป็นค่าธรรมเนียม ก็ได้เอกสารมาเรียบร้อย
จากนั้นสามีก็จัดการส่งเอกตัวจริงของหนังสือให้ความยินยอม สำเนาพาสปอร์ต และใบสูติบัตรของลูกสาวมาที่เมืองไทย ปกติถ้าส่ง EMS ของไปรษณีย์จะใช้เวลาราวๆ 3 วัน แต่เราไม่มีเวลารอขนาดนั้น เพราะวันที่ 6 จะเป็นวันหยุดราชการและหยุดยาวติดกันสามวัน สัปดาห์ต่อไปก็จะเข้าหยุดช่วงสงกรานต์แล้วด้วย ต่อให้ถึงเวลานั้นได้พาสปอร์ตมา แต่ก็ไม่มีเงินซื้อตั๋วกลับแล้ว เพราะแพงเกิน (ตั๋วสามคน แม่และลูกสองน่ะค่ะ) ดีที่ได้เพื่อนแนะนำให้ส่งเอกสารกับ DHL Express ส่งเย็นนี้รุ่งเช้าได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าค่าส่งก็แพงว่า EMS 3-4 เท่า แต่เวลานั้นก็ต้องยอมจ่ายน่ะค่ะ สามีส่งเอกสารที่ศูนย์ DHL ที่โอซาก้าใกล้สถานกงสุลตอนราวๆ บ่ายสามโมงครึ่งของวันที่ 4 เมษายน (กำหนดเดินทางกลับเดิมคือ 3 เมษา) ห้าโมงครึ่งเอกสารเข้าระบบ เราก็โทรติดต่อที่ DHL เมืองไทยเลยว่าเอกสารน่าจะมาถึงตอนกี่โมง ทาง DHL เมืองไทยบอกว่าต้องรอเช็กตอนเช้าอีกทีถึงจะรู้ว่าจะส่งของได้กี่โมง คิดแล้วคิดอีกก็ว่าไปรับเอกสารที่ศูนย์เลยดีกว่า ก็โทรหา DHL อีกรอบ ถามว่าศูนย์ฯ อยู่ที่ไหน โชคดีที่อยู่ไม่ไกลบ้านมากคือแถวบางแค ซึ่งเอกสารจะเข้าศูนย์ตอนประมาณ 8.30 น. วันที่ 5 เมษา แต่จะสามารถรับเอกสารได้ตอน 9.00 น. ก็ตกลงว่าจะไปรับที่ศูนย์ ทาง DHL ก็จะทำการเก็บเอกสารไว้ให้ ไม่จำหน่ายออกไปกับพนักงานส่ง
พอเช้าวันที่ 5 เมษาก็รีบออกจากบ้านไปรับเอกสารที่ DHL ได้เอกสารมาตอน 9.15 น. ก็รีบตีรถไปทำพาสปอร์ตที่สายใต้ใหม่ทันที โดยเลือกทำแบบเช้าได้รับบ่าย (ทำที่สาขาไหนก็ได้จ่ายเงินก่อนเที่ยง แต่ต้องไปรับที่แจ้งวัฒนะเท่านั้นตอนเวลา 14:30-16:30 น.) ค่าทำพาสปอร์ตแบบด่วนวันเดียวได้คือ 3,000 บาท (ราคาปกติสามวันได้ 1,000 บาท และถ้าจะรับวันรุ่งขึ้นก็ราคา 2,000 บาท) ไปถึงที่สายใต้ใหม่ตอน 10:00 น. โดยประมาณ ตรงที่ตรวจเช็กเอกสารก่อนเข้าไปทำขอเอกสารเปลี่ยนชื่อรองของแม่ (เราใช้นามสกุลสามี และใช้นามสกุลเดิมเป็นชื่อรองค่ะ) แน่นอนว่าไม่ได้เตรียมมา (ตอนถามเจ้าหน้าที่ไม่ได้บอกอะไร และเราก็คิดว่าทำพาสปอร์ตเล่มสองแล้วนะ) ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าเดี๋ยวเข้าไปดูข้อมูลออนไลน์แล้วดึงข้อมูลออกมาได้ เขียนโน๊ตไว้ที่กระดาษขอทำพาสปอร์ตด้านบน
พอไปถึงโต๊ะทำพาสปอร์ต (เร็วมากค่ะ แทบจะไม่มีคิวเลย) ทางเจ้าหน้าที่ที่ทำขอเอกสารเปลี่ยนชื่อรอง ก็บอกไปว่าทางเจ้าหน้าที่ข้างหน้าบอกมาอย่างนี้ จนท. ที่ทำจึงไปดึงข้อมูลออนไลน์มา (ในใจคิดว่าเดี๋ยวนี้ไฮเทคนะ สะดวกดีจัง) แต่....ใช่ค่ะ มีแต่ เพราะข้อมูลออนไลน์ไม่มีข้อมูลการเปลี่ยนชื่อรองของเรา มีแต่ข้อมูลเปลี่ยนนามสกุลอย่างเดียว จนท.ก็ไปถามหัวหน้า ตอนแรกหัวหน้าบอกให้แฟกซ์มา แต่ที่บ้านไม่มีคนอยู่เลย แฟกซ์มาไม่ทันแน่ หัวหน้าบอกงั้นให้กลับไปเอาใบจริงมา (คือกลับไปแฟกซ์มาก็ไม่ได้แล้ว ต้องเอาตัวจริงอย่างเดียว) ก็อธิบายไปว่าไม่ทันแน่ๆ (ต้องกลับมาให้ทันก่อนเที่ยง คือต้องจ่ายเงินก่อนเที่ยง) น้องมีความจำเป็นต้องทำพาสปอร์ตให้ได้วันนี้ ไม่งั้นจะกลับไม่ได้ ขออนุญาตเดินเรื่องทำก่อนได้มั้ย แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับไปเอาเอกสารตัวจริงมาให้ทันก่อนเที่ยง โชคดีที่เจ้าหน้าที่อนุโลม ทำเอกสารทุกอย่างและจ่ายเงินเรียบร้อย แล้วก็รีบบึ่งรถกลับบ้าน (ออกจากสายใต้ใหม่ 10:30 น. ถึงบ้าน 11:00 น.) หาเอกสารเปลี่ยนชื่อรอง "ตัวจริง" ซึ่งโชคดีมากที่เก็บไว้ที่ไทย พอได้เอกสารแล้วก็รีบตีรถกลับไปสายใต้ใหม่อีกรอบ วิ่งเอาเอกสารไปให้เจ้าหน้าที่ที่เวลา 11:50 น. เจ้าหน้าที่ก็เอาไปแสกนเข้าระบบ สรุปทุกอย่างก็เรียบร้อยก่อนเวลาเที่ยงตรงแบบฉิวเฉียดพอดี
จากนั้นก็ตีรถไปการกระทรวงการต่างประเทศที่แจ้งวัฒนะ แวะกินข้าวกลางวันก่อน ไปถึงก็ 14:00 น. พอดี ตรงจุดรับพาสปอร์ตจะแยกระหว่างพาสปอร์ตธรรมดากับพาสปอร์ตด่วนไว้ ยื่นใบรับพร้อมใบเสร็จ (ต้องมีใบเสร็จด้วยนะคะ) แล้วก็บัตรประชาชนแม่เพื่อรับบัตรคิว (ได้คิวที่ 133 ค่ะ) แล้วก็นั่งรอเวลา 14:30 น. เริ่มเรียกคิว ใช้เวลารอประมาณครึ่งชั่วโมง บ่ายสามโมงก็ได้พาสปอร์ตเล่มใหม่เอี่ยมเสร็จร้อนๆ ของลูกสาวมาไว้ในมือค่ะ ตอนได้นี่ตรวจทุกอย่างเรียบร้อยเพราะกลัวพลาดมากๆ
สรุปก็ได้พาสปอร์ตแบบด่วนเรียบร้อยมาไว้ในมือในวันที่ 5 เมษายน ก่อนวันหยุดยาวสามวันพอดี
* ข้อความยาวเกินขอเขียนต่อไว้ที่ความคิดเห็นแรกนะคะ