สวัสดีครับ พอดีมีเวลาว่างเลยอยากลองเคลือบเงารถสักครึ่งคันเพื่อทดสอบว่า ที่คนขายเขาเชียร์นักหนา มันดียังไง
ดูภาพแบบไม่ตัดต่อนะครับ

ว่าแล้วเรามาลองดูดีกว่า ทำยังไงนะครับ
หลังจากล้างรถ เสร็จเช็ดแห้งแล้วนะครับ เราเตรียมอุปกรณ์ ดังนี้ครับ
1. ขี้ผึ้งเคลือบเงารถยนต์ 3M สูตรคานูบา แบบนำเข้า จาก USA ครับ (ที่ลาซาด้า น่าจะพันกว่าบาท)
2. ฟองน้ำ x max ซึ้อมา อันละ 10 บาทครับ (จริงๆ ฟองน้ำมันแถมมาในแวกซ์นะครับ แต่ทำหายไปไหนไม่รู้)
3. ผ้าไมโครไฟเบอร์เกรดเช็ดรถ เพื่อไม่ให้มีรอยขนแมว เวลาลงแว็กซ์เคลือบเงารถครับ ผืนนี้ได้ฟรีมาครับ
4. Masking Tape แบบ กาวอ่อน ที่ใช้ตามอู่รถ ครับ หาซื้อไม่ยาก ม้วนละ ไม่กี่บาท
รถที่ใช้รีวิว คือ Toyota Vios สีบรอนซ์เงิน ครับ

ขั้นตอนแรก ที่ไม่ต้องทำตามนะครับ โดยการติดเทปผ่ากลางรถเลยครับ จะได้ลองดูว่า มันต่างกันยังไง
รอบนี้ ฝั่งซ้ายคือฝั่งที่ลงแว็กซ์ ฝั่งขวาไม่ลงนะครับ

ขั้นที่ 2 ใช้ฟองน้ำวน ขี้ผึ้งเบาๆ และลงวนๆบนฝั่งที่ต้องการทดสอบครับ ปกติการลงแว็กซ์ เท่าที่รู้คือ
ห้ามลงตอนรถร้อน และห้ามลงแว็กซ์กลางแดดนะครับ จะทำให้แวกซ์แห้งเร็วและเกิดฝ้าได้ครับ ตอนที่ลง นี่ลงประมาณ 4 โมงเย็น แดดร่มลมตกครับ

ส่วนใหญ่แว็กซ์ขึ้ผึ้งจะได้ชื่อว่า ลงยากสุดเหนื่อยสุดนะครับ เนื่องจาก เนื้อมันแน่นมาก และถ้าทิ้งไว้นานเกิน จนแห้งมากๆไปแลว ตอนเช็ดออกจะเหนื่อยครับ
รอบนี้เลยทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที อันนี้คือภาพ ตอนที่ลงนะครับ สังเกตจะเห้นฟิล์มบางๆ เป็นรูปวงกลมตอนที่วนลงแวกซ์ครับ

โดยส่วนตัวตอนผมลงก็จะลงทีละชิ้นครับ เพื่อไม่ให้แว็กซ์แห้งเกินไป ประมาณว่า ลงแว็กซ์หมดชิ้นฝาหน้า ก็เช็ดออกครับ ก่อนลงแวกซ์ที่ส่วนอื่น ค่อยๆทำไปครับ ทั้งคันก็ ประมาณ 30 นาที-1 ชม แล้วแต่ความละเมียด แต่ของผม เน้นเร็วครับ เลยวนเร็วๆไป เพราะเวลาน้อยครับ ลงเสร็จก็เช็ดออก

อย่าลืมว่าจะใช้ผ้าอะไรเช็ดไม่ได้นะครับ พวกผ้าขี้ริ้ว เสื้อเชิ๊ตเก่า เสื้อยืดเก่า ไม่เอามาเช็ดรถนะครับ เพราะพวกนี้จะมีความคมของฝุ่นเก่าที่ติดมากับผ้า หรือพวก รอยสกรีน กระดุม อื่นๆ ที่เวลาเราเช็ดรถ อาจจะไปสร้างรอยข่วนขนแมวได้ ใช้รถไปนานๆ รถจะหมองไม่เงาครับ
แค่นี้ก็ถือว่าเสร็จ ครับ ที่นี้ถึงเวลาการทดสอบการ รีดน้ำ ครับ เพราะช่วงนี้ใกล้หน้าฝนแล้ว ยิ่งรถรีดน้ำดี ฝุ่นยิ่งเกาะได้น้อยกว่าครับ
วิธีการเช็คว่าลื่นไม่ลื่น เงาไม่เงา เคยแบไปถามคาร์แคร์แถวบ้าน เขาบอกว่าให้ลองเอาเล็บทำท่าขยุ้มๆ ไปที่ฟิล์มรถที่ลงแวกซ์ครับ
ถ้าลงแวกซ์ จะรู้สึกลื่นๆ เหมือนเล็บไม่ได้ขูดสีรถโดยตรง จึงเหมืนการปกป้องไว้ชั้นนึง และที่เล็บมันลื่นๆ เวลาฝุ่นจะมาเกาะรถ เมื่อขับรถไปเรื่อยๆ ฝุ่นก็จะลื่นไม่ค่อยเกาะ หรือเช็ดออกง่ายกว่า เพราะมีแวกซ์เคลือบรถอยู่ ประหยัดเวลาในการดูแลรถในระยะยาว

มาดูข้างที่ ไม่ได้ลงแวกซ์ ก่อนนะครับ ตอนราดน้ำลงไป

จะเห็นว่าลักษณะน้ำมีความแบนๆครับ แปลว่าน้ำและพื้นฟิล์สีรถ มีพื้นที่ให้น้ำเกาะมากกว่า เพราะไม่โดนเคลือบ ทีนี้เวลาโดนฝนในช่วงหน้าฝน....แล้วไปขับผ่านฝุ่น ควัน เขม่ารถยนต์ ก็จะมีคราบได้ง่ายกว่าครับ
ทีนี้ได้เวลาราดน้ำฝั่งที่ลงแว็กซ์ไว้นะครับ

จะพบว่าน้ำไหลลงแบบเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว เลยครับ เม็ดน้ำค่อนข้างกลม กลิ้งออกจากฟิล์สีรถยนต์เลยครับ ขนาดว่ารถจอดอยู่เฉยๆนะครับ ถ้าวิ่งบนถนนฝ่าฝนคง ไหลออกไปหมดกว่านี้ อย่างที่บอกแหละครับว่า ยิ่งรีดน้ำดี หรือเป็นเม็ดดีเท่าไหร่ เวลาขับรถผ่านฝน แล้วเจอคราบฝุ่นในท้องถนน น้ำจะไม่ค่อยเกาะ และฝุ่นก็ไม่ค่อยมีที่เกาะบนรถ ทำให้รอยสกปรกน้อยกว่า รถที่ไม่ได้โดนเคลือบเงาไว้ครับ
อันนี้ตัวอย่างเปรียบเทียบนะครับ

(ถ้าลงจาก Car Care น้ำจะเป็นเม็ดกว่านี้อีกนะครับ เพราะเขาละเอียดกว่า อันนี้ของผมลงเร็วๆนะครับ55)
โดยสรุปคือ
1. ลงแวกซ์เคลือบเงารถดีกว่าไม่ลงครับ เพราะรีดน้ำได้ดี น้ำเกาะน้อย ฝุ่นก็เกาะน้อยกว่า
2. ลงแวกซ์ ที่ดูด้วสายตา รถจะฉ่ำเงากว่าฝั่งที่ไม่ได้ลงครับ ลูบแล้วรู้สึกลื่นกว่า ฟินกว่า
3. ลงแวกซ์ ดีกว่าตรงช่วยป้องกันรังสียูวี เพื่อยืดอายุการใช้งานของฟิล์มสี และราคารถไม่ตกเวลาขายรถต่อครับ
4. ลงแวกซ์ เหนื่อยนิดนึงครับ ควรมีเวลาอย่างน้อย 30 นาที - 1 ชม. (ลงแล้ว เหมือนเล่นฟิตเนสคาร์ดิโอ เลยครับ)
5. โดยส่วนตัวคิดว่า ยิ่งหน้าฝน ยิ่งควรลงแวกซ์ เพราะว่า เช็ดน้ำ หรือฝุ่นออกได้ง่ายกว่า ไม่เสียเวลาในการดูแลความสะอาดเท่าไหร่
6 ลงครั้งนึงอยู่ได้ 1-2 เดือน ถือว่านานๆทีออกกำลังก็ดีครับ เพราะไปลงกับคาร์แคร์ทีนึง ถ้าเอาเกรดดีๆ ก็เกือบพันบาทครับ อันนี้ ถือว่าออกกำลัง และได้ตรวจเชคสภาพสีรถด้วยว่าต้องเคลมประกันหรือไม่ หรือไปชนไปข่วนอะไรมาบ้าง
อันนี้เอามาฝากนะครับ เป็นเว็บของเมืองนอก ว่าแวกซ์ช่วยปกป้องฟิล์มสีรถยนต์ตั้งแต่ชั้นแลกเกอร์เลย ไม่ให้ฝุ่นและแสงแดดลงไปทำลายชั้นสี
เพราะรถยนต์จริงๆมีปรมาณ 4 Layer คือ เหล็ก/รองพื้น/ ชั้นสี/ แลกเกอร์
การที่เราลงแวกซ์เหมือนเพิ่ม Layer ที่ 5 ให้รถยนต์ครับ สีจะซีดจางช้ากว่า ขายต่อราคาไม่ตกครับ ถือว่าเป็นการลงทุนในระยะยาว

ขออภัยที่เขียนยาวไปนิดนะครับ ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
โดยส่วนตัวผมยังไม่เคยลองเคลือบแก้ว เพราะไม่มีตัง55... เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสเคลือบแก้วจะมารีวิวอีกทีนะครับ
[CR] รีวิว เมื่อลองลงแว็กซ์เคลือบเงารถครึ่งคัน แบบผ่ากลาง...เพื่อดูความต่างระหว่าง"ลงแว็กซ์" กับ "ไม่ลงแว็กซ์"
ดูภาพแบบไม่ตัดต่อนะครับ
ว่าแล้วเรามาลองดูดีกว่า ทำยังไงนะครับ
หลังจากล้างรถ เสร็จเช็ดแห้งแล้วนะครับ เราเตรียมอุปกรณ์ ดังนี้ครับ
1. ขี้ผึ้งเคลือบเงารถยนต์ 3M สูตรคานูบา แบบนำเข้า จาก USA ครับ (ที่ลาซาด้า น่าจะพันกว่าบาท)
2. ฟองน้ำ x max ซึ้อมา อันละ 10 บาทครับ (จริงๆ ฟองน้ำมันแถมมาในแวกซ์นะครับ แต่ทำหายไปไหนไม่รู้)
3. ผ้าไมโครไฟเบอร์เกรดเช็ดรถ เพื่อไม่ให้มีรอยขนแมว เวลาลงแว็กซ์เคลือบเงารถครับ ผืนนี้ได้ฟรีมาครับ
4. Masking Tape แบบ กาวอ่อน ที่ใช้ตามอู่รถ ครับ หาซื้อไม่ยาก ม้วนละ ไม่กี่บาท
รถที่ใช้รีวิว คือ Toyota Vios สีบรอนซ์เงิน ครับ
ขั้นตอนแรก ที่ไม่ต้องทำตามนะครับ โดยการติดเทปผ่ากลางรถเลยครับ จะได้ลองดูว่า มันต่างกันยังไง
รอบนี้ ฝั่งซ้ายคือฝั่งที่ลงแว็กซ์ ฝั่งขวาไม่ลงนะครับ
ขั้นที่ 2 ใช้ฟองน้ำวน ขี้ผึ้งเบาๆ และลงวนๆบนฝั่งที่ต้องการทดสอบครับ ปกติการลงแว็กซ์ เท่าที่รู้คือ ห้ามลงตอนรถร้อน และห้ามลงแว็กซ์กลางแดดนะครับ จะทำให้แวกซ์แห้งเร็วและเกิดฝ้าได้ครับ ตอนที่ลง นี่ลงประมาณ 4 โมงเย็น แดดร่มลมตกครับ
ส่วนใหญ่แว็กซ์ขึ้ผึ้งจะได้ชื่อว่า ลงยากสุดเหนื่อยสุดนะครับ เนื่องจาก เนื้อมันแน่นมาก และถ้าทิ้งไว้นานเกิน จนแห้งมากๆไปแลว ตอนเช็ดออกจะเหนื่อยครับ
รอบนี้เลยทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที อันนี้คือภาพ ตอนที่ลงนะครับ สังเกตจะเห้นฟิล์มบางๆ เป็นรูปวงกลมตอนที่วนลงแวกซ์ครับ
โดยส่วนตัวตอนผมลงก็จะลงทีละชิ้นครับ เพื่อไม่ให้แว็กซ์แห้งเกินไป ประมาณว่า ลงแว็กซ์หมดชิ้นฝาหน้า ก็เช็ดออกครับ ก่อนลงแวกซ์ที่ส่วนอื่น ค่อยๆทำไปครับ ทั้งคันก็ ประมาณ 30 นาที-1 ชม แล้วแต่ความละเมียด แต่ของผม เน้นเร็วครับ เลยวนเร็วๆไป เพราะเวลาน้อยครับ ลงเสร็จก็เช็ดออก
อย่าลืมว่าจะใช้ผ้าอะไรเช็ดไม่ได้นะครับ พวกผ้าขี้ริ้ว เสื้อเชิ๊ตเก่า เสื้อยืดเก่า ไม่เอามาเช็ดรถนะครับ เพราะพวกนี้จะมีความคมของฝุ่นเก่าที่ติดมากับผ้า หรือพวก รอยสกรีน กระดุม อื่นๆ ที่เวลาเราเช็ดรถ อาจจะไปสร้างรอยข่วนขนแมวได้ ใช้รถไปนานๆ รถจะหมองไม่เงาครับ
แค่นี้ก็ถือว่าเสร็จ ครับ ที่นี้ถึงเวลาการทดสอบการ รีดน้ำ ครับ เพราะช่วงนี้ใกล้หน้าฝนแล้ว ยิ่งรถรีดน้ำดี ฝุ่นยิ่งเกาะได้น้อยกว่าครับ
วิธีการเช็คว่าลื่นไม่ลื่น เงาไม่เงา เคยแบไปถามคาร์แคร์แถวบ้าน เขาบอกว่าให้ลองเอาเล็บทำท่าขยุ้มๆ ไปที่ฟิล์มรถที่ลงแวกซ์ครับ
ถ้าลงแวกซ์ จะรู้สึกลื่นๆ เหมือนเล็บไม่ได้ขูดสีรถโดยตรง จึงเหมืนการปกป้องไว้ชั้นนึง และที่เล็บมันลื่นๆ เวลาฝุ่นจะมาเกาะรถ เมื่อขับรถไปเรื่อยๆ ฝุ่นก็จะลื่นไม่ค่อยเกาะ หรือเช็ดออกง่ายกว่า เพราะมีแวกซ์เคลือบรถอยู่ ประหยัดเวลาในการดูแลรถในระยะยาว
มาดูข้างที่ ไม่ได้ลงแวกซ์ ก่อนนะครับ ตอนราดน้ำลงไป
จะเห็นว่าลักษณะน้ำมีความแบนๆครับ แปลว่าน้ำและพื้นฟิล์สีรถ มีพื้นที่ให้น้ำเกาะมากกว่า เพราะไม่โดนเคลือบ ทีนี้เวลาโดนฝนในช่วงหน้าฝน....แล้วไปขับผ่านฝุ่น ควัน เขม่ารถยนต์ ก็จะมีคราบได้ง่ายกว่าครับ
ทีนี้ได้เวลาราดน้ำฝั่งที่ลงแว็กซ์ไว้นะครับ
จะพบว่าน้ำไหลลงแบบเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว เลยครับ เม็ดน้ำค่อนข้างกลม กลิ้งออกจากฟิล์สีรถยนต์เลยครับ ขนาดว่ารถจอดอยู่เฉยๆนะครับ ถ้าวิ่งบนถนนฝ่าฝนคง ไหลออกไปหมดกว่านี้ อย่างที่บอกแหละครับว่า ยิ่งรีดน้ำดี หรือเป็นเม็ดดีเท่าไหร่ เวลาขับรถผ่านฝน แล้วเจอคราบฝุ่นในท้องถนน น้ำจะไม่ค่อยเกาะ และฝุ่นก็ไม่ค่อยมีที่เกาะบนรถ ทำให้รอยสกปรกน้อยกว่า รถที่ไม่ได้โดนเคลือบเงาไว้ครับ
อันนี้ตัวอย่างเปรียบเทียบนะครับ
(ถ้าลงจาก Car Care น้ำจะเป็นเม็ดกว่านี้อีกนะครับ เพราะเขาละเอียดกว่า อันนี้ของผมลงเร็วๆนะครับ55)
โดยสรุปคือ
1. ลงแวกซ์เคลือบเงารถดีกว่าไม่ลงครับ เพราะรีดน้ำได้ดี น้ำเกาะน้อย ฝุ่นก็เกาะน้อยกว่า
2. ลงแวกซ์ ที่ดูด้วสายตา รถจะฉ่ำเงากว่าฝั่งที่ไม่ได้ลงครับ ลูบแล้วรู้สึกลื่นกว่า ฟินกว่า
3. ลงแวกซ์ ดีกว่าตรงช่วยป้องกันรังสียูวี เพื่อยืดอายุการใช้งานของฟิล์มสี และราคารถไม่ตกเวลาขายรถต่อครับ
4. ลงแวกซ์ เหนื่อยนิดนึงครับ ควรมีเวลาอย่างน้อย 30 นาที - 1 ชม. (ลงแล้ว เหมือนเล่นฟิตเนสคาร์ดิโอ เลยครับ)
5. โดยส่วนตัวคิดว่า ยิ่งหน้าฝน ยิ่งควรลงแวกซ์ เพราะว่า เช็ดน้ำ หรือฝุ่นออกได้ง่ายกว่า ไม่เสียเวลาในการดูแลความสะอาดเท่าไหร่
6 ลงครั้งนึงอยู่ได้ 1-2 เดือน ถือว่านานๆทีออกกำลังก็ดีครับ เพราะไปลงกับคาร์แคร์ทีนึง ถ้าเอาเกรดดีๆ ก็เกือบพันบาทครับ อันนี้ ถือว่าออกกำลัง และได้ตรวจเชคสภาพสีรถด้วยว่าต้องเคลมประกันหรือไม่ หรือไปชนไปข่วนอะไรมาบ้าง
อันนี้เอามาฝากนะครับ เป็นเว็บของเมืองนอก ว่าแวกซ์ช่วยปกป้องฟิล์มสีรถยนต์ตั้งแต่ชั้นแลกเกอร์เลย ไม่ให้ฝุ่นและแสงแดดลงไปทำลายชั้นสี
เพราะรถยนต์จริงๆมีปรมาณ 4 Layer คือ เหล็ก/รองพื้น/ ชั้นสี/ แลกเกอร์
การที่เราลงแวกซ์เหมือนเพิ่ม Layer ที่ 5 ให้รถยนต์ครับ สีจะซีดจางช้ากว่า ขายต่อราคาไม่ตกครับ ถือว่าเป็นการลงทุนในระยะยาว
ขออภัยที่เขียนยาวไปนิดนะครับ ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
โดยส่วนตัวผมยังไม่เคยลองเคลือบแก้ว เพราะไม่มีตัง55... เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสเคลือบแก้วจะมารีวิวอีกทีนะครับ