[CR] เล่าเรื่องเมืองประทับใจในฝรั่งเศส: Clermont Ferrand ฤดูหนาว หิมะขาว และวิวภูเขาไฟ | A REMARKABLE JOURNEY |

    


"คิดถึงพ่อกับแม่เธอนะ ถ้าได้มาเห็นหิมะขาวๆ วิวสวยๆแบบนี้คงจะชอบมาก" ความคิดถึงที่พ่อแม่สามีฝากผ่านเราไปหาพ่อแม่ที่เมืองไทย หลังจากขึ้นไปเดินบนเขาท่ามกลางหิมะสีขาวด้วยกัน


……….ฤดูหนาวที่เพิ่งผ่านไปไม่นานนี้………


อากาศข้างนอกหนาวจัด เดินกลับจากทำงานแบบนับก้าว เมื่อไหร่จะถึงบ้านซักทีนะ ความจริงแล้วระยะทางเดินแต่ 15 นาทีเท่านั้นเอง แต่เพราะอากาศหนาวทำให้ความสามารถในการเดินลดลง

พอถึงบ้านไม่ทันไร ก็ได้รับข้อความพร้อมภาพถนนปกคลุมด้วยหิมะทางไลน์กลุ่ม เพิ่งรู้ว่าหิมะตกแล้วที่เมืองนี้ และนี่คือหิมะจริงจังครั้งแรกของเมือง(หลังจากที่ปกคลุมยอดเขาแถวนี้มาหลายวัน) เลยรีบเปิดประตูออกไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา

ความเย็นเฉียบกระทบหน้าอย่างจัง หลังจากเปิดประตูระเบียงออกไป ปุยหิมะสีขาวกำลังร่วงจากฟ้าลงด้านล่าง ข้างล่างนั้นมีรถยนต์หลายคันจอดรองรับ หลังคาบ้านเรือนของเพื่อนบ้านตอนนี้ขาวไปเกือบหมดแล้ว ด้วยความดีใจ รีบคว้ามือถือออกมาถ่ายรูปสามสี่รูป แล้วก็ต้องหันหลังกลับเข้าบ้านไปหาไออุ่นจากฮีดเตอร์ เม้าท์มอยกับเพื่อนถึงความงามที่จะได้เห็นเต็มตาพรุ่งนี้

ผ่านไปไม่ถึง 2 ชั่วโมง หิมะไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เปิดประตูออกไปสำรวจอีกครั้ง ก็พบว่าปุยเริ่มหนากว่าเดิม ซึ่งเราคาดเดาได้เลยว่า เช้าพรุ่งนี้ เมืองทั้งเมืองจะกลายเป็นสีขาว

แล้วมันก็เป็นดังนั้น….








เช้าวันศุกร์ สิ้นสัปดาห์ที่พิเศษกว่าวันไหนๆ เพราะมีหิมะขาวสวยปูเป็นพรมให้เราเดินไปตลอดสาย กว่าจะมาถึงออฟฟิศได้ก็แวะถ่ายรูปเกือบทุกแยก เสียงเพื่อนร่วมงานที่กำลังตื่นเต้นและเล่าเรื่องราวถึงหิมะแรกอย่างมีความสุข โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานกลุ่มใหญ่ที่มาจากเอเชียพร้อมบอกว่า


"นี่เป็นการเห็นหิมะครั้งแรกในชีวิต ชอบมากเลย นี่รีบออกไปปั้นสโนว์แมนตั้งแต่เมื่อคืนเลยนะ"

ความครึ้นเครงเลยบังเกิด กว่าจะได้เริ่มงาน เราก็เม้าท์มอยอย่างสนุกสนานไปนานโข และหิมะยังคงตก หยุด ตก หยุด สลับไปอย่างนี้จนถึงช่วงเย็น



สุดสัปดาห์นี้ เรามีแขกมาเยี่ยม คุณพ่อคุณแม่สามีและคุณน้าคุณอารวม 6 ชีวิต เดินทางมาจากทางเหนือของฝรั่งเศส มาเที่ยวเล่นแถบนี้โดยเฉพาะ หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ก็นัดหมายกันว่าพรุ่งนี้จะออกเดินสายสำรวจแคว้นนี้กัน

เสาร์เช้า 9 โมงคือเวลาอาหารเช้าของเรา เราเดินทางไปหาคุณพ่อคุณแม่ที่เช่าห้องพักในเมือง ที่พักชื่อ Le petite Siam ตกแต่งแบบไทยผสมเอเชีย ของตกแต่งมาจากเอเชียทั้งนั้น เพราะเจ้าของไปทำงานแถบเอเชียซะนานเลยหอบของตกแต่งกลับมาเปิดบ้านให้คนพัก ห้องพักมีชื่อห้องสุโขทัยด้วย เดินเข้าไปแล้วนึกถึงหนังย้อนยุค เตียงโบราณ ประตูบานเฟี๊ยม สวยดีค่ะ ที่สำคัญมาที่นี่แล้วคิดถึงบ้าน


หลังอาหารเช้า เราก็ออกเดินทางได้เลยทันที เพราะแต่งตัวมาแล้วเต็มยศ ไม่ต้องเสียเวลากลับไปเปลี่ยนองค์ทรงเครื่องอีก พูดถึงการแต่งตัวช่วงหน้าหนาวนี่ลำบากมากเหมือนกัน เพราะต้องดูพยากรณ์อากาศล่วงหน้าก่อนว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไรในแต่ละวัน เกิดใส่ไปเต็มที่ ตอนบ่ายๆอากาศร้อนขึ้นมา จะต้องหอบหิ้วของเป็นภาระไปอีกตลอดวัน แต่วันนี้อากาศข้างนอกจะหนาวจัด ถึงขั้นติดลบ เลยจัดเสื้อหลายตัว สวมเลกกิ้งด้านในก่อนทับด้วยยีนส์อีกชั้น ผ้าพันคอ ถุงมือ ที่ปิดหู เสื้อโค๊ต ….โอ๊ย มากสิ่ง


ตอนแต่งตัวในห้องก่อนออกจากบ้านนี่อึดอัดมาก กระดิกตัวไม่ได้ เหมือนคนกินเยอะแล้วเกิดความอืด ปวดเมื่อยตัว ตอนออกมาเดินกลางถนน ก็ค่อยยังชั่วเพราะมันหนาว แต่พอเข้าที่พักหรือร้านอาหารอุ่นๆ เอาอีกละ อึดอัด ถอดแทบไม่ทัน ใส่เข้าถอดออกอยู่แบบนี้เกือบทั้งวัน รำคาญมาก




ออกจากตัวเมืองมาไม่ไกล จอภาพก็เปลี่ยนเป็นสีขาวจัดกว่าเดิม หิมะท่วมเต็มสองข้างทาง ถนนลื่นจะต้องลดวามเร็วรถจากเดิม จนท้ายที่สุดเราก็พบว่า เราไม่สามารถไปต่อได้ เพราะทางขึ้นไปทะเลสาบเป็นทางชันและหิมะหนา อันตรายมากสำหรับรถที่ไม่ได้ใช้ยางสำหรับหน้าหนาวหรือไม่ได้ใส่โซ่สำหรับขับบนหิมะ (ก่อนเข้าหน้าหนาว คนที่นี่จะเริ่มเปลี่ยนยางรถยนต์ให้เหมาะกับสภาพถนนที่ปูด้วยหิมะหรือแผ่นน้ำแข็ง)  ดังนั้นเลยต้องวกกลับ เปลี่ยนเส้นทางไปที่หมายถัดไป


เป้าหมายหน้า คือ การเข้าหมู่บ้านที่ผลิตชีสพื้นเมือง ชีสชื่อดังของที่นี่ชื่อ Saint Nectaire ซึ่งเป็นชื่อของหมู่บ้านด้วย แต่วันนี้เราจะไปซื้อที่ฟาร์มในหมู่บ้านเล็กๆไม่ไกลจาก Saint Nectaire มากนัก ความจริงแถวนี้มีฟาร์มมากมายซ่อนตัวอยู่ ถ้าไม่รู้จะซื้อร้านไหน เมียงมองเจอป้ายว่าขายชีสเมื่อไหร่ ก็แวะเข้าไปได้ แต่พวกเรามีเป้าหมายเฉพาะ มีฟาร์มเจ้าประจำที่อุดหนุนกันมาหลายครั้ง จึงมุ่งหนาตรงดิ่งไม่แวะที่ไหน ระหว่างทางหิมะยิ่งหนา ยิ่งขับยาก คนขับต้องลดความเร็วเหลือไม่ถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความรู้สึกมันช้าจนคิดว่าลงเดินอาจจะถึงเร็วกว่า


นั่นสิ เราเดินกันไหม? เสียงคนขับหันมาถามผู้ร่วมทาง พร้อมกับสั่งให้เช็คระยะทางที่เหลือไปถึงหมู่บ้าน ความจริงการเดินไม่กี่กิโล ไม่ได้เป็นปัญหามากนักสำหรับพวกเรา แต่วันนี้เป็นการเดินท่ามกลางถนนปูพรมสีขาวที่ความหนาว -6 องศา ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเท่าไหร่นัก จึงต่อรองกันว่าขอเป็นระยะไม่เกิน 2 กิโล ไปกลับรวม 4 กิโลเท่านั้น เราตกลงจอดรถปากทางเข้าหมู่บ้านที่คำนวนแล้วว่า เดินกันไหว


เพียงแค่เปิดประตูรถออกมา ก็ถูกตบหน้าด้วยความหนาว กว่าจะแต่งตัวเสร็จ หน้าก็ชาไปแล้วตามระเบียบ ออกเดินเท้ากันอย่างช้าๆ ระวังไม่ให้ลื่น และก็ยังไม่ลืมเก็บภาพระหว่างเดินอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ฉันเดินรั้งท้าย เพราะต้องคอยถอดถุงมือเข้าออกเพื่อถ่ายภาพ ส่วนคนอื่นๆนั้น มุ่งหน้าไปหาเป้าหมายแบบไม่สนใจสิ่งข้างทางมากนัก ไม่นานเราก็มาถึงหมู่บ้าน และฟาร์มที่ขายชีสชื่อดัง







มีลูกค้าอยู่ก่อนหน้าเราสองสามราย ต่างหอบซื้อชีสไปคนละถุงใหญ่ กลุ่มเราก็ไม่น้อยหน้า รีบจัดการสั่งคนละหลายก้อน ชีสก้อนนึงใช้น้ำนมประมาณ 1.5 ลิตร ผ่านกรรมวิธีตี บีบ อัด บ่มจนได้ที่เกิดเป็นชีสสีเหลืองนวลมาให้เราได้ชิมได้ซื้อกัน สนนราคาก้อนใหญ่ก้อนละ 16 ยูโร นับว่าไม่แพงมากนักสำหรับคนที่ชอบ









เราหอบชีสกลับกันคนถุงใหญ่ ซื้อเผื่อไว้สำหรับหน้าหนาวที่จะเข้าถึงหมู่บ้านได้ยากกว่านี้ บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในรอบปี

ขากลับ ลมแรงขึ้นหว่าเดิมมาก เส้นทางที่เคยเดินย่ำเข้ามาเปลี่ยนไปตามแรงลม หิมะกองทับรอยเดิมหมดสิ้น กว่าจะถึงรถที่จอดไว้ ก็หอบไปหลายยก

เนื่องจากช่วงนี้พระอาทิตย์บอกลาเร็วมาก เราเลยตกลงกันว่าจะไม่ไปต่อ มุ่งหน้ากลับเข้าเมืองเพื่อพักผ่อนและแยกย้ายกันทำกิจกรรมตามอัธยาศัย ซึ่งแน่นอนสุด ฉันขอนอนพักเก็บแรง ก่อนเจอกันอีกทีมื้อค่ำ


อาหารค่ำผ่านไปอย่างสนุกสนานและอิ่มท้อง ก็ได้เวลาแยกย้าย เตรียมตัวสำหรับวันถัดไป ภาวนาให้อากาศดี

………..................................................................



อาทิตย์เช้า 9 โมง เวลาเดิมสำหรับอาหารเช้า วันนี้เรามุ่งหน้าไปที่ภูเขาไม่ไกลจากเมืองมากนักชื่อ Puy Pariou เป็นภูเขาไฟที่กับไปแล้ว เคยขึ้นไปด้านบนหนนึงตอนช่วงใบไม้ผลิ เดินขึ้นไปประมาณ2.5 กิโลเท่านั้นแต่คนไม่ถนัดออกกำลังกายอย่างฉันก็ลำบากกว่าใครเค้า

ขับรถออกมาจากตัวเมืองไม่นานก็ถึงลานจอดรถ ตอนนี้หิมะท่วมลานไปหมด แถมรถก็เยอะมาก ต้องวนหาที่จอด เราต้องใส่เครื่องกันหนาวมากเยอะหน่อยเพราะอากาศหนาวจัด แต่คาดว่าเดินไปซักพักคงจะอุ่นขึ้น เมื่อแต่งตัวพร้อม ทั้งหมดก็เดินข้ามจากที่จอดรถไปยังอีกฝั่งของถนนแล้วเลี้ยวตามเส้นทาง






เส้นทางเดินป่า เดินชมธรรมชาติที่ฝรั่งเศสนี่เค้าทำดี มีป้ายมีสัญลักษณ์บอกตลอดทาง ไม่มีทางหลงถ้าไม่ก๋ากั่นออกนอกเส้นทางที่เค้าบอกไว้ เส้นทางที่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเต็มไปด้วยใบไม้ร่วงกองเต็มพื้น ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยปุยหิมะสีขาว หิมะเกาะกิ่งไม้ทิ้งน้ำหนักตัวให้กิ่งโน้มลงมาสู่พื้น เหมือนเดินเข้าอุโมงค์ในดินแดนมหัศจรรย์ เดินไปเรื่อยๆจะมีคนสวนทางกลับออกมาบ้างประปราย

ระยะทางที่ไม่ไกล ปกติจะเดินไม่นานก็ถึงยอด แต่ด้วยความสวยงามระดับนี้ แน่นอนเราต้องเดินๆหยุดๆเพื่อถ่ายภาพ เก็บความสวยด้วยดิจิตอล ก่อนเก็บซ้ำอีกครั้งด้วยตาเปล่าสลับไปอย่างนี้ พอต้องถ่ายรูป ก็ต้องถอดถุงมือ เสร็จแล้วก็ใส่กลับไปใหม่ เอ๊า เดี๋ยวก็ถอดอีกแล้ว มันถี่จัดจนตัดสินใจถอดเก็บไปซะเลย 1 ข้างเพื่อความสะดวกทุกประการ มือเย็นเมื่อไหร่ก็เอาปากเป่าลมอุ่นๆทีนึง เดินต่อได้อีกร้อยเมตร


ญาติบางคนยังไม่เคยมาเยี่ยมเราที่นี่ ดังนั้นนี่เป็นครั้งแรกของการสำรวจภูเขาในแคว้นนี้ มาครั้งแรกก็เจอหิมะซะเลย ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าสวยมากกกกก ความจริงพวกเค้าก็คุ้นชินกับหิมะกันทุกคน แต่ที่ชื่นชอบกันมากน่าจะเป็นวิวทิวทัศน์และบรรยากาศรอบๆมากกว่า เพราะออกมาจากตัวเมืองแค่ไม่ถึง 20 นาที ภูมิประเทศเปลี่ยนจากเมืองเป็นป่า แถมเป็นป่าสีขาว สวยเชียว

เรามุ่งหน้าตามเส้นทางกันต่อพักนึง ก็ถึงจุดวัดใจ การเดินป่าแบบนี้แน่นอนว่าไม่มีห้องน้ำให้เข้าระหว่างทาง ปวดฉี่ขึ้นมาก็ต้องใช้ห้องน้ำธรรมชาติสร้างสรรค์ สิ่งที่ท้าทายคือการหามุมลับ ซอกหลืบที่พอจะบังเราและเพื่อนร่วมทางไว้ได้ ปัญหาขอการมาช่วงหิมะปกคลุมก็คือ เราไม่สามารถเดินเข้าป่าข้างทางไปได้ลึกนัก เพราะระดับหิมะสูงเกินกว่าจะคาดเดาได้ ถ้าเหยียมผิดเหลี่ยมไปนิดเดียวอาจจะจมหรือร่วงลงเขาไป ดังนั้นกว่าที่ฉันจะหามุมที่พอเหมาะได้ ก็แทบแย่เหมือนกัน ปลดทุกข์ท่ามกลางความเร่งรีบ หูก็คอยฟังว่าจะมีใครเดินผ่านมาบ้างไหม เป็นการฉี่ที่ต้องลุ้นที่สุด
ชื่อสินค้า:   Clermont Ferrand
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่