หลังจากแต่งงานมา 5 ปี และทนเรื่องด่าทอติฉินนินทามามากมาย บ้างก็หาว่าอ่อน บ้างก็หาว่าบ่มิไก๊ โดนด่าโดนล้อยิ่งกว่าท้องก่อนแต่ง จากการพยายามมา 2 ปีก็ไม่ติดซักทีเพื่อนถามก็บอกรอเรียนจบก่อน (ตอนนั้นเรียนโททั้งคู่) พอเรียนจบก็ตัดสินใจปรึกษาแฟนว่าจะไปรักษามีบุตรยาก โบ้ยเมียจ๋าเลย เมียตัวเล็กทำให้มีลูกยาก (ไม่ได้โทษตัวเองเล้ยยย) แต่ยังไม่ทันได้เริ่มกระบวนการลูกจ๋าก็มาติดซะก่อน ด้วยการใช้ที่ตรวจวันตกไข่ สรุปที่ไม่ติดตั้งนานเพราะการนับวันตกไข่ไม่ตรง ใช้ที่ตรวจนี่แหละดีสุด สุดท้ายก็ได้โอกาสมีลูกกับเขาซักที
เกริ่นมานานเข้าเรื่องเลยดีกว่า วันหนึ่งอยู่ดีๆเมียจ๋าก็โทรเรียกขึ้นมาข้างบน ไอ้เราก็สงสัยว่าทำไม มีอะไรต้องเรียกขึ้นไปบนห้อง แล้วแฟนก็โชว์ที่ตรวจให้ดู ที่ตรวจขึ้น 2 ขีด แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าคืออะไร นึกว่าวันไข่ตก เมียจ๋าก็บอกไปอ่านที่กล่อง เลยเข้าใจว่าในที่สุดก็ท้องซักที ขณะที่ปรึกษากันว่าจะไปฝากครรภ์ที่ไหน เพราะเมียอยากฝากรพ.รัฐเพื่อประหยัดเงิน แต่เราก็คิดว่า ถ้าฉุกเฉินแล้วต้องรอคิวนานๆจะทำไงไปฝากรพ.เอกชนจะได้คิวเลย ฉุกเฉินคลอดเร็วไม่ต้องรอ หลังจากถกเถียงกันอยู่นานสรุปได้ว่า “เสียเงินไม่ว่า เสียลูกไม่ได้” เลยตัดสินใจเลยไปฝากครรภ์ที่รพ.พญาไท 3 เนื่องจากหาข้อมูลมาว่ามีผู้เชี่ยวชาญด้านดูแลทารกในครรภ์ ตอนนั้นคิดอย่างเดียว “ลูกต้องคลอด (เมียช่างมัน)” ตอนนั้นอายุครรภ์ได้ 6 สัปดาห์ ระบุวันตั้งครรภ์วันที่ 23 สิงหาคม แล้วก็นัดทุกเดือน
แต่ผ่านไปแค่อาทิตย์เดียว เมื่ออยู่ดีๆอาการแห่งความเลวร้ายก็มา มีเลือดออกทางช่องคลอด ทำไรไม่ถูกไปหาหมอไว้ก่อน แต่หมอตรวจแล้วไม่มีอะไรมาก (ที่นี่ซาวด์ละเอียดมาก) เลยจัดยากันแท้งไปให้เข็มนึง แล้วครั้งแรกก็ได้เห็น “ลูกดิ้น” แอบตื่นเต้นดีใจมาก มีการพลิกตัวโชว์ พอพลิกตัวเสร็จก็นอนนิ่งหลับไป (จิงๆขี้เกียจเหมือนแม่มัน) ถ่ายคลิปโอ้อวดชาวบ้านด้วยความปลาบปลื้ม และหมอก็ชี้ลูกศรในเครื่องซาวด์ พร้อมเขียนว่า “BOY” ในใจคิด อ้าวเห้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นาไหนบอกอยากได้ลูกสาวแต่ได้ลูกชายกลับมา (อยากได้ลูกสาวเต็มที่) แล้วหมอก็แนะนำให้ตรวจดาวน์ซินโดรม ซึ่งมีวิธีตรวจจากเลือดปลอดภัยกว่าเจาะน้ำคร่ำ แต่ราคาแอบแพงมาก เลยแอบไปตรวจ NIFTY ที่รพ.จุฬา สรุปเด็กแข็งแรงทุกอย่าง พร้อมตอกย้ำ “Gender Male”
พอเข้าเดือนที่ 3 เมียแพ้ท้องหนักมาก กินไรก็คายออกมาหมด แถมแพ้โปรตีนเกือบทุกอย่าง ได้กลิ่นหมูก็คลื่นไส้ กินได้แต่ผัก จากที่ตัวเล็กอยู่แล้วยิ่งเล็กเข้าไปอีก แต่หมอบอกไม่ต้องกังวลเพราะ 3 เดือนแรกเด็กมีถุงอาหารเป็นของตัวเอง แล้วพอหลังจาก 4 เดือนจะเริ่มอยากอาหารเอง
ตอน 14 สัปดาห์ ก็ไปเที่ยวหัวหิน แฮปปี้ดี๊ด๊ามาก แต่หลังจากความดี๊ด๊าก็มีเรื่องตามมา เมื่อตอนถึงบ้านไม่พ้นอาทิตย์ เมียก็โทรมาบอกมีเลือดออกอีกแล้ว ด้วยการไปประชุมกำลังกลับที่ทำงาน เลยขอนายลงกลางทางพาเมียไปหาหมอทันที แต่หมอซาวด์มาก็ไม่มีอะไรมาก เลยจัดยากันแท้งไปให้ 3 เข็ม แล้วก็เป็นครั้งแรกอีกครั้ง ที่ได้เห็น “หน้าลูก” ด้วยระบบอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ตอนนั้นคิดมันพัฒนาไปไกลขนาดนั้นเลยหรอ อารมณ์ตื่นเต้นมาเต็มเหมือนเดิม และยังไม่ลืมถ่ายคลิปไปโอ้อวดชาวบ้าน (ลูกคนแรกก็จะเห่อๆหน่อย) แต่หมอบอกว่าลูกของเราไซส์เล็กมาก เด็กจะตัวเล็กกว่าเกณฑ์ หลังจากนั้นก็เที่ยวดี๊ด๊าไปดูไฟ Central World ปีใหม่ไปเที่ยว แฮปปี้ดี๊ด๊าเต็มที่
มาสู่ช่วงวิกฤต วันที่ 15 มกราคม (จำวันได้แม่นแบบมีเหตุผล) อายุครรภ์ 21 สัปดาห์ เมียจ๋าท้องเสีย เนื่องจากนม จริงๆเมียจ๋าเป็นคนแพ้นมอยู่แล้ว แต่พยายามกินเพื่อบำรุงลูก หมอบอกให้เปลี่ยนนมไปเรื่อยๆ ดันมาเจอนมที่แพ้พอดี เลยท้องเสีย ตอนแรกก็พาไปหารพ.แถวบ้าน เพราะเห็นว่าแค่ท้องเสีย แต่มันไม่ใช่แค่อีกต่อไป หมอมีตรวจหลายอย่างมากแล้วคุยไรกันซักอย่าง สุดท้ายเขียนใบส่งตัวมาให้ไปรพ.ตามสิทธิ์ ในตอนนั้นเราก็คิด แค่ท้องเสียไมไม่ยอมรักษา เลยคุยกับเมียว่าจะเอาไง เนื่องจากดึกมากแล้ว (ตอนนั้ 4 ทุ่ม) เลยตัดสินใจไปรพ.พญาไท 3 ดีกว่า เพราะเขารู้เคสของเรา พอไปถึงรพ.เข้าแผนกฉุกเฉิน ดีที่ตอนนั้นมีหมอสูติอยู่พอดี หมอเลยให้แอดมิท นอนให้ยา จริงๆแค่ให้ยา 4 ชม. แต่เนื่องจากดึกแล้วเลยนอนรพ.ไปเลย วันรุ่งขึ้นเป็นวันครบรอบแต่งงาน เลยเตรียมเซอร์ไพส์ด้วยหมอนผ้าห่มสอดมือได้ที่เมียจ๋าอยากได้มาข้ามปี เราก็ตะเวนกว่าจะหาซื้อเจอ จริงๆวางแผนไว้นานแล้ว แต่ต้องมาแอดมิทเลยต้องเปลี่ยนแผนหน่อย พอเห็นของจากที่นอนปวดท้องก็แฮปปี้ดี๊ด๊าได้
แต่ยังแฮปปี้ได้ไม่ทันนานจากวันดีๆกลายเป็นวันเลวร้ายทันทีเมื่อหมอที่เราฝากครรภ์เข้ามาตรวจ และซาวด์ละเอียดอีกรอบ หมอบอกมีอาการ “ท้องแข็ง แบบเจ็บท้องใกล้คลอด” เนื่องจากการปวดท้องจากท้องเสียไปกระตุ้นมัน แต่พออาการท้องเสียหายก็จะหายไปเอง แล้วหมอก็ขอตรวจภายในต่อ พร้อมกับข่าวร้ายของผลตรวจภายในอีกรอบ เมื่อปากมดลูกบางเหมือนคนใกล้คลอด ทำเอาช็อคมาก ถ้าลูกออกมาตอนนี้ถือว่า “แท้ง” แน่ๆ จากแค่ท้องเสียเพราะนม กลายเป็นภาวะแท้งคุกคาม (โรคโอปอล เนื่องจากบอกไปไม่มีใครรู้จักต้องบอกว่าโรคโอปอลถึงจะอ๋อกัน) หมอก็แนะนำให้นอนเฉยๆยันคลอด ซึ่งไม่รู้จะคลอดเมื่อไหร่เพราะเด็กพร้อมออกทุกเมื่อ ซักไซร้สาเหตุก็เกิดมาจากเมียจ๋าตัวเล็กมาก แล้วเด็กตัวโตไปอุ้มเด็กไม่ไหว (จริงๆเด็กมันโตตามเกณฑ์นั่นแหละ ต่ำกว่าเกณฑ์ด้วย แต่แม่ตัวเล็กเกินอุ้มไหว) แล้วยิ่งเด็กตัวโตก็ยิ่งหน่วงท้องทำให้ยิ่งใกล้คลอด หมอเลยใส่ห่วงกันแท้ง ตอนแรกหมอบอกจะเย็บปากมดลูกอายุครรภ์มากเกินเย็บแล้วแถมท้องแข็งถี่ทำให้เย็นไม่ได้ จากนั้นก็ให้ยาและนอนรพ. มันมาพีคตรงที่ยากินมีผลข้างเคียงทำให้ความดันต่ำ ซึ่งเมียจ๋าเป็นคนความดันต่ำอยู่แล้ว ถ้ากินอีกจะมีอันตรายต่อแม่ เลยต้องให้ยาทางน้ำเกลือ หมอเลยให้นอนเฉยๆที่รพ. เหตุที่ต้องนอนรพ.เพราะว่าต้องใช้เครื่องตรวจอาการท้องแข็ง เพื่อคอยเช็คตลอดเวลา แต่ปัญหาก็ยังตามมาเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งหมอประเมินแล้วว่าถ้าจะนอนถึงคลอดหลายล้านแน่นอน ถึงแม้จะเสียเงินไม่ว่าเสียลูกไม่ได้ แต่หลักล้านก็สู้ไม่ไหวอยู่ดี เลยจะย้ายเข้ารพ.รัฐ แต่พยาบาลแนะนำว่าย้ายไปตอนนี้ก็ไม่มีที่ไหนรับควรย้ายไปรพ.ตามสิทธิ์เพราะเข้าต้องรับ ถ้าเขาไม่รับเขาต้องจ่ายเงินให้รพ.ที่รักษา จึงตัดสินใจ(ที่ผิดพลาด)ย้ายไปรพ.ในสิทธิ์ประกันสังคม
พอย้ายมารพ.ตามสิทธิ์ประกันสังคมก็ถึงจุดวิกฤต ปกติรพ.รัฐจะไม่รับเคสแบบนี้ เนื่องจากถ้าต่ำกว่า 24 สัปดาห์(ตอนนั้น 22 สัปดาห์)หมอจะให้ยาแล้วกลับบ้าน และถ้าไปออกที่บ้านก็จะตีว่าเป็น ”แท้ง” แต่เนื่องจากถ้าเขาไม่รับเขาต้องจ่ายให้รพ.ที่รักษา เลยต้องจำใจรับไป เมียจ๋าต้องไปนอนในห้องรอคลอด ซึ่งเป็นห้องรวม เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือตรวจภาวะท้องแข็งทุกวัน และห้องรอคลอดนั้นห้ามเยี่ยม ทำให้เมียจ๋าต้องนอนคนเดียวในรพ.โดยไม่สามารถเยี่ยมได้ ได้แต่คุยทางโทรศัพท์และฝากของเข้าไปเยี่ยม วันแรกที่คุยโทรศัพท์ก็บ่นอยากกลับบ้านทันที เราก็ได้แต่ปลอบว่าให้นอนเพื่อลูกจ๋า วันเวลาผ่านไปก็ดีบ้างแย่บ้าง แต่ส่วนมากแย่ จนผ่านไปเมียจ๋าร้องไห้อยากกลับบ้าน เนื่องจากอยู่ที่นั่นไม่ดีต่อสภาพจิตใจแน่ ทั้งต้องอยู่คนเดียวเยี่ยมไมได้ ไหนจะต้องฟังเสียโหยหวนจากคนรอคลอด(เคยได้ยินเสียงตอนโทรศัพท์ อย่างกับผีเข้าจริงๆ) วันนึงก็มีคนรอคลอดเยอะมาก ก็ต้องทนฟังทุกวัน จนผ่านไปอาทิตย์นึงถึงวันเกิดเมียจ๋า เราก็ตั้งใจว่าจะซื้อเค๊กไปแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ไปขอพยาบาลหน้าห้องเข้าเยี่ยมให้ได้วันนึงก็ยังดี พยาบาลก็ใจดีเข็นเตียงมาให้เยี่ยม ครั้งแรกที่เห็นน้ำตาไหลร้องไห้หนักมากทั้งผัวทั้งเมีย ต้องเห็นเมียจ๋าในสภาพอ่อนล้าอิดโรย เราก็สงสารเมียมาก คิดไว้ว่าต้องหาวิธีเอาเมียออกมาให้ได้ หลังจากปลอบไปจากหยุดร้อง(เมียปลอบ)ก็ลากันกลับบ้าน และมาปรึกษาที่บ้านว่าจะเอาเมียออกจากรพ. ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม
หลังจากตัดสินใจแล้วว่าจะเอาออกจากรพ.ก็เริ่มหาข้อมูลว่าทำยังไงถึงจะได้ออก ทั้งหาในเน็ต ถามจากหมอและพยาบาลในสิทธิ์ ถามจากหมอที่ฝากครรภ์ คือเมียจ๋ารับยาไม่ไหว เนื่องจากมีผลข้างเคียงทำให้ความดันตกแถมท้องแข็งถี่ทำให้ย้ายรพ.ลำบาก เลยต้องนอนรพ.ให้ยาทางน้ำเกลือ และยาทางน้ำเกลือที่รับอยู่ก็เยอะมาก ต้องปรับลดยาลงให้ได้ก่อน ซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะลดลงได้เลย สุดท้ายทางครอบครัวเลยช่วยกันหาโรงพยาบาลอื่นที่สามารถรับได้ แต่ไม่ว่าจะติดต่อไปโรงพยาบาลกี่ที่ก็ตาม ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับเลย โดยให้เหตุผลว่า ตู้อบเต็มทุกโรงพยาบาล เลยมาปรึกษาหมอสูติแถวบ้านได้ความว่า ตอนนี้ประเทศไทยขาดแคลนตู้อบ คือไม่ใช่แค่มีตู้อบก็ได้ แต่บุคลากรที่สามารถดูแลเด็กในตู้อบนั้นไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะย้ายไปกี่โรงพยาบาลก็จะส่งเข้าโรงพยาบาลตามสิทธิ์หมด ซึ่งเขาต้องรับแน่นอน สุดท้ายมีให้เลือกระหว่างจะใช้โรงพยาบาลตามสิทธิ์ หรือจะเข้าโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ตามมามหาศาลขนาดขายทรัพย์สินทั้งชีวิตก็ไม่พอจ่ายเลยทีเดียว สุดท้ายก็ยอมตัดใจคอยปลอบเมียจ๋าต่อไปบอกพอพ้นตรุษจีนทุกอย่างก็จะดีขึ้น เนื่องจากเขาปีชงหลังปีชงคงจะดีขึ้น ให้เขาสู้เพื่อลูก ณ ตอนนี้ขอบอกเลยว่าทำทุกอย่างเพื่อลูกเมีย ใครบอกให้ไหว้อะไรก็ตามไปไหว้ไปบนหมด สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน เอาทุกศาสตร์ทุกศิลป์ ขออย่างเดียว ให้เมียและลูกปลอดภัย
เมื่อเข้าถึงสัปดาห์ที่ 24 หมอได้ฉีดยากระตุ้นปอดเด็ก ตอนนี้หมอถือว่าถ้าออกมาจะตีว่าเป็น “คลอด” แล้ว แต่ยังไม่รับรองว่าจะปลอดภัย ถึงตอนนี้รู้สึกดีใจมากเนื่องจากอย่างน้อยลูกเราก็มีโอกาสรอด ไม่ถือว่าเป็นแท้ง แม้โอกาสจะน้อยก็ตาม เพราะตอนนี้น้ำหนักลูกแค่ 5 ขีด แล้วก็มีสัญญาณดี เมียจ๋าอาการดีขึ้น สามารถปรับลดยาลงได้ ซึ่งหมอบอกถ้าสัญญาณดีแบบนี้อาจได้ออกจากรพ. เมียจ๋าดี๊ด๊าขึ้นมาทันที แต่อาการดี๊ด๊ายังไม่พ้นอาทิตย์ อยู่ดีๆก็อาการทรุดลง และติดเชื้อในช่องคลอด ทำให้ต้องนอนรพ.ต่อ หลังจากนั้นก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ดีขึ้นแล้วก็ทรุดลง ไม่ได้ออกจากรพ.ซักที จนเมียจ๋าท้อมาก ถึงขั้นซึมเศร้า อยู่ดีๆก็ขาดการติดต่อไป โทรไปก็ไม่รับ เราก็ตกใจว่าเมียจ๋าเป็นไร รีบไปรพ.สอบถามอาการทันที แต่พยาบาลก็บอกว่าอาการไม่มีอะไรยังทรงๆไม่ได้เลวร้ายลงกว่าเดิม แม้สภาพทางร่างกายจะปกติ แต่จิตใจเมียจ๋าย่ำแย่สุดจะทนรับได้แล้ว เราก็ได้แต่โทษทุกคนว่าทำไมไม่มีคนมาช่วยเมียจ๋า ทะเลาะกับคนทุกคนในบ้านที่เอาแต่บอกว่าต้องให้เมียจ๋านอนทนทุกข์ในรพ.คนเดียว จนสภาพจิตใจย่ำแย่ขนาดนี้ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จน อายุครรภ์ 26 สัปดาห์ ข่าวดีก็กลับมาเมื่อเมียจ๋าสามารถลดยาได้เรื่อยๆจนออฟยาได้ และเริ่มกินยาได้โดยรับผลข้างเคียงได้ ถือว่าเป็นสัญญาณดีว่าสามารถกลับมานอนที่บ้านได้ หมอจะให้ออกจากโรงพยาบาล เมียจ๋าก็กลับมาดี๊ด๊าได้นิดนึง แม้จะมีอาการติดเชื้อทางช่องคลอดแต่ท้องแข็งบ้างเล็กน้อยแต่ก็แอบปิดหมอ เนื่องจากกลัวว่าหมอจะไม่ให้ออกจากโรงพยาบาลอีก
ฝ่าวิกฤตแท้งคุกคาม
เกริ่นมานานเข้าเรื่องเลยดีกว่า วันหนึ่งอยู่ดีๆเมียจ๋าก็โทรเรียกขึ้นมาข้างบน ไอ้เราก็สงสัยว่าทำไม มีอะไรต้องเรียกขึ้นไปบนห้อง แล้วแฟนก็โชว์ที่ตรวจให้ดู ที่ตรวจขึ้น 2 ขีด แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าคืออะไร นึกว่าวันไข่ตก เมียจ๋าก็บอกไปอ่านที่กล่อง เลยเข้าใจว่าในที่สุดก็ท้องซักที ขณะที่ปรึกษากันว่าจะไปฝากครรภ์ที่ไหน เพราะเมียอยากฝากรพ.รัฐเพื่อประหยัดเงิน แต่เราก็คิดว่า ถ้าฉุกเฉินแล้วต้องรอคิวนานๆจะทำไงไปฝากรพ.เอกชนจะได้คิวเลย ฉุกเฉินคลอดเร็วไม่ต้องรอ หลังจากถกเถียงกันอยู่นานสรุปได้ว่า “เสียเงินไม่ว่า เสียลูกไม่ได้” เลยตัดสินใจเลยไปฝากครรภ์ที่รพ.พญาไท 3 เนื่องจากหาข้อมูลมาว่ามีผู้เชี่ยวชาญด้านดูแลทารกในครรภ์ ตอนนั้นคิดอย่างเดียว “ลูกต้องคลอด (เมียช่างมัน)” ตอนนั้นอายุครรภ์ได้ 6 สัปดาห์ ระบุวันตั้งครรภ์วันที่ 23 สิงหาคม แล้วก็นัดทุกเดือน
แต่ผ่านไปแค่อาทิตย์เดียว เมื่ออยู่ดีๆอาการแห่งความเลวร้ายก็มา มีเลือดออกทางช่องคลอด ทำไรไม่ถูกไปหาหมอไว้ก่อน แต่หมอตรวจแล้วไม่มีอะไรมาก (ที่นี่ซาวด์ละเอียดมาก) เลยจัดยากันแท้งไปให้เข็มนึง แล้วครั้งแรกก็ได้เห็น “ลูกดิ้น” แอบตื่นเต้นดีใจมาก มีการพลิกตัวโชว์ พอพลิกตัวเสร็จก็นอนนิ่งหลับไป (จิงๆขี้เกียจเหมือนแม่มัน) ถ่ายคลิปโอ้อวดชาวบ้านด้วยความปลาบปลื้ม และหมอก็ชี้ลูกศรในเครื่องซาวด์ พร้อมเขียนว่า “BOY” ในใจคิด อ้าวเห้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นาไหนบอกอยากได้ลูกสาวแต่ได้ลูกชายกลับมา (อยากได้ลูกสาวเต็มที่) แล้วหมอก็แนะนำให้ตรวจดาวน์ซินโดรม ซึ่งมีวิธีตรวจจากเลือดปลอดภัยกว่าเจาะน้ำคร่ำ แต่ราคาแอบแพงมาก เลยแอบไปตรวจ NIFTY ที่รพ.จุฬา สรุปเด็กแข็งแรงทุกอย่าง พร้อมตอกย้ำ “Gender Male”
พอเข้าเดือนที่ 3 เมียแพ้ท้องหนักมาก กินไรก็คายออกมาหมด แถมแพ้โปรตีนเกือบทุกอย่าง ได้กลิ่นหมูก็คลื่นไส้ กินได้แต่ผัก จากที่ตัวเล็กอยู่แล้วยิ่งเล็กเข้าไปอีก แต่หมอบอกไม่ต้องกังวลเพราะ 3 เดือนแรกเด็กมีถุงอาหารเป็นของตัวเอง แล้วพอหลังจาก 4 เดือนจะเริ่มอยากอาหารเอง
ตอน 14 สัปดาห์ ก็ไปเที่ยวหัวหิน แฮปปี้ดี๊ด๊ามาก แต่หลังจากความดี๊ด๊าก็มีเรื่องตามมา เมื่อตอนถึงบ้านไม่พ้นอาทิตย์ เมียก็โทรมาบอกมีเลือดออกอีกแล้ว ด้วยการไปประชุมกำลังกลับที่ทำงาน เลยขอนายลงกลางทางพาเมียไปหาหมอทันที แต่หมอซาวด์มาก็ไม่มีอะไรมาก เลยจัดยากันแท้งไปให้ 3 เข็ม แล้วก็เป็นครั้งแรกอีกครั้ง ที่ได้เห็น “หน้าลูก” ด้วยระบบอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ตอนนั้นคิดมันพัฒนาไปไกลขนาดนั้นเลยหรอ อารมณ์ตื่นเต้นมาเต็มเหมือนเดิม และยังไม่ลืมถ่ายคลิปไปโอ้อวดชาวบ้าน (ลูกคนแรกก็จะเห่อๆหน่อย) แต่หมอบอกว่าลูกของเราไซส์เล็กมาก เด็กจะตัวเล็กกว่าเกณฑ์ หลังจากนั้นก็เที่ยวดี๊ด๊าไปดูไฟ Central World ปีใหม่ไปเที่ยว แฮปปี้ดี๊ด๊าเต็มที่
มาสู่ช่วงวิกฤต วันที่ 15 มกราคม (จำวันได้แม่นแบบมีเหตุผล) อายุครรภ์ 21 สัปดาห์ เมียจ๋าท้องเสีย เนื่องจากนม จริงๆเมียจ๋าเป็นคนแพ้นมอยู่แล้ว แต่พยายามกินเพื่อบำรุงลูก หมอบอกให้เปลี่ยนนมไปเรื่อยๆ ดันมาเจอนมที่แพ้พอดี เลยท้องเสีย ตอนแรกก็พาไปหารพ.แถวบ้าน เพราะเห็นว่าแค่ท้องเสีย แต่มันไม่ใช่แค่อีกต่อไป หมอมีตรวจหลายอย่างมากแล้วคุยไรกันซักอย่าง สุดท้ายเขียนใบส่งตัวมาให้ไปรพ.ตามสิทธิ์ ในตอนนั้นเราก็คิด แค่ท้องเสียไมไม่ยอมรักษา เลยคุยกับเมียว่าจะเอาไง เนื่องจากดึกมากแล้ว (ตอนนั้ 4 ทุ่ม) เลยตัดสินใจไปรพ.พญาไท 3 ดีกว่า เพราะเขารู้เคสของเรา พอไปถึงรพ.เข้าแผนกฉุกเฉิน ดีที่ตอนนั้นมีหมอสูติอยู่พอดี หมอเลยให้แอดมิท นอนให้ยา จริงๆแค่ให้ยา 4 ชม. แต่เนื่องจากดึกแล้วเลยนอนรพ.ไปเลย วันรุ่งขึ้นเป็นวันครบรอบแต่งงาน เลยเตรียมเซอร์ไพส์ด้วยหมอนผ้าห่มสอดมือได้ที่เมียจ๋าอยากได้มาข้ามปี เราก็ตะเวนกว่าจะหาซื้อเจอ จริงๆวางแผนไว้นานแล้ว แต่ต้องมาแอดมิทเลยต้องเปลี่ยนแผนหน่อย พอเห็นของจากที่นอนปวดท้องก็แฮปปี้ดี๊ด๊าได้
แต่ยังแฮปปี้ได้ไม่ทันนานจากวันดีๆกลายเป็นวันเลวร้ายทันทีเมื่อหมอที่เราฝากครรภ์เข้ามาตรวจ และซาวด์ละเอียดอีกรอบ หมอบอกมีอาการ “ท้องแข็ง แบบเจ็บท้องใกล้คลอด” เนื่องจากการปวดท้องจากท้องเสียไปกระตุ้นมัน แต่พออาการท้องเสียหายก็จะหายไปเอง แล้วหมอก็ขอตรวจภายในต่อ พร้อมกับข่าวร้ายของผลตรวจภายในอีกรอบ เมื่อปากมดลูกบางเหมือนคนใกล้คลอด ทำเอาช็อคมาก ถ้าลูกออกมาตอนนี้ถือว่า “แท้ง” แน่ๆ จากแค่ท้องเสียเพราะนม กลายเป็นภาวะแท้งคุกคาม (โรคโอปอล เนื่องจากบอกไปไม่มีใครรู้จักต้องบอกว่าโรคโอปอลถึงจะอ๋อกัน) หมอก็แนะนำให้นอนเฉยๆยันคลอด ซึ่งไม่รู้จะคลอดเมื่อไหร่เพราะเด็กพร้อมออกทุกเมื่อ ซักไซร้สาเหตุก็เกิดมาจากเมียจ๋าตัวเล็กมาก แล้วเด็กตัวโตไปอุ้มเด็กไม่ไหว (จริงๆเด็กมันโตตามเกณฑ์นั่นแหละ ต่ำกว่าเกณฑ์ด้วย แต่แม่ตัวเล็กเกินอุ้มไหว) แล้วยิ่งเด็กตัวโตก็ยิ่งหน่วงท้องทำให้ยิ่งใกล้คลอด หมอเลยใส่ห่วงกันแท้ง ตอนแรกหมอบอกจะเย็บปากมดลูกอายุครรภ์มากเกินเย็บแล้วแถมท้องแข็งถี่ทำให้เย็นไม่ได้ จากนั้นก็ให้ยาและนอนรพ. มันมาพีคตรงที่ยากินมีผลข้างเคียงทำให้ความดันต่ำ ซึ่งเมียจ๋าเป็นคนความดันต่ำอยู่แล้ว ถ้ากินอีกจะมีอันตรายต่อแม่ เลยต้องให้ยาทางน้ำเกลือ หมอเลยให้นอนเฉยๆที่รพ. เหตุที่ต้องนอนรพ.เพราะว่าต้องใช้เครื่องตรวจอาการท้องแข็ง เพื่อคอยเช็คตลอดเวลา แต่ปัญหาก็ยังตามมาเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งหมอประเมินแล้วว่าถ้าจะนอนถึงคลอดหลายล้านแน่นอน ถึงแม้จะเสียเงินไม่ว่าเสียลูกไม่ได้ แต่หลักล้านก็สู้ไม่ไหวอยู่ดี เลยจะย้ายเข้ารพ.รัฐ แต่พยาบาลแนะนำว่าย้ายไปตอนนี้ก็ไม่มีที่ไหนรับควรย้ายไปรพ.ตามสิทธิ์เพราะเข้าต้องรับ ถ้าเขาไม่รับเขาต้องจ่ายเงินให้รพ.ที่รักษา จึงตัดสินใจ(ที่ผิดพลาด)ย้ายไปรพ.ในสิทธิ์ประกันสังคม
พอย้ายมารพ.ตามสิทธิ์ประกันสังคมก็ถึงจุดวิกฤต ปกติรพ.รัฐจะไม่รับเคสแบบนี้ เนื่องจากถ้าต่ำกว่า 24 สัปดาห์(ตอนนั้น 22 สัปดาห์)หมอจะให้ยาแล้วกลับบ้าน และถ้าไปออกที่บ้านก็จะตีว่าเป็น ”แท้ง” แต่เนื่องจากถ้าเขาไม่รับเขาต้องจ่ายให้รพ.ที่รักษา เลยต้องจำใจรับไป เมียจ๋าต้องไปนอนในห้องรอคลอด ซึ่งเป็นห้องรวม เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือตรวจภาวะท้องแข็งทุกวัน และห้องรอคลอดนั้นห้ามเยี่ยม ทำให้เมียจ๋าต้องนอนคนเดียวในรพ.โดยไม่สามารถเยี่ยมได้ ได้แต่คุยทางโทรศัพท์และฝากของเข้าไปเยี่ยม วันแรกที่คุยโทรศัพท์ก็บ่นอยากกลับบ้านทันที เราก็ได้แต่ปลอบว่าให้นอนเพื่อลูกจ๋า วันเวลาผ่านไปก็ดีบ้างแย่บ้าง แต่ส่วนมากแย่ จนผ่านไปเมียจ๋าร้องไห้อยากกลับบ้าน เนื่องจากอยู่ที่นั่นไม่ดีต่อสภาพจิตใจแน่ ทั้งต้องอยู่คนเดียวเยี่ยมไมได้ ไหนจะต้องฟังเสียโหยหวนจากคนรอคลอด(เคยได้ยินเสียงตอนโทรศัพท์ อย่างกับผีเข้าจริงๆ) วันนึงก็มีคนรอคลอดเยอะมาก ก็ต้องทนฟังทุกวัน จนผ่านไปอาทิตย์นึงถึงวันเกิดเมียจ๋า เราก็ตั้งใจว่าจะซื้อเค๊กไปแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ไปขอพยาบาลหน้าห้องเข้าเยี่ยมให้ได้วันนึงก็ยังดี พยาบาลก็ใจดีเข็นเตียงมาให้เยี่ยม ครั้งแรกที่เห็นน้ำตาไหลร้องไห้หนักมากทั้งผัวทั้งเมีย ต้องเห็นเมียจ๋าในสภาพอ่อนล้าอิดโรย เราก็สงสารเมียมาก คิดไว้ว่าต้องหาวิธีเอาเมียออกมาให้ได้ หลังจากปลอบไปจากหยุดร้อง(เมียปลอบ)ก็ลากันกลับบ้าน และมาปรึกษาที่บ้านว่าจะเอาเมียออกจากรพ. ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม
หลังจากตัดสินใจแล้วว่าจะเอาออกจากรพ.ก็เริ่มหาข้อมูลว่าทำยังไงถึงจะได้ออก ทั้งหาในเน็ต ถามจากหมอและพยาบาลในสิทธิ์ ถามจากหมอที่ฝากครรภ์ คือเมียจ๋ารับยาไม่ไหว เนื่องจากมีผลข้างเคียงทำให้ความดันตกแถมท้องแข็งถี่ทำให้ย้ายรพ.ลำบาก เลยต้องนอนรพ.ให้ยาทางน้ำเกลือ และยาทางน้ำเกลือที่รับอยู่ก็เยอะมาก ต้องปรับลดยาลงให้ได้ก่อน ซึ่งไม่มีวี่แววว่าจะลดลงได้เลย สุดท้ายทางครอบครัวเลยช่วยกันหาโรงพยาบาลอื่นที่สามารถรับได้ แต่ไม่ว่าจะติดต่อไปโรงพยาบาลกี่ที่ก็ตาม ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับเลย โดยให้เหตุผลว่า ตู้อบเต็มทุกโรงพยาบาล เลยมาปรึกษาหมอสูติแถวบ้านได้ความว่า ตอนนี้ประเทศไทยขาดแคลนตู้อบ คือไม่ใช่แค่มีตู้อบก็ได้ แต่บุคลากรที่สามารถดูแลเด็กในตู้อบนั้นไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะย้ายไปกี่โรงพยาบาลก็จะส่งเข้าโรงพยาบาลตามสิทธิ์หมด ซึ่งเขาต้องรับแน่นอน สุดท้ายมีให้เลือกระหว่างจะใช้โรงพยาบาลตามสิทธิ์ หรือจะเข้าโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ตามมามหาศาลขนาดขายทรัพย์สินทั้งชีวิตก็ไม่พอจ่ายเลยทีเดียว สุดท้ายก็ยอมตัดใจคอยปลอบเมียจ๋าต่อไปบอกพอพ้นตรุษจีนทุกอย่างก็จะดีขึ้น เนื่องจากเขาปีชงหลังปีชงคงจะดีขึ้น ให้เขาสู้เพื่อลูก ณ ตอนนี้ขอบอกเลยว่าทำทุกอย่างเพื่อลูกเมีย ใครบอกให้ไหว้อะไรก็ตามไปไหว้ไปบนหมด สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน เอาทุกศาสตร์ทุกศิลป์ ขออย่างเดียว ให้เมียและลูกปลอดภัย
เมื่อเข้าถึงสัปดาห์ที่ 24 หมอได้ฉีดยากระตุ้นปอดเด็ก ตอนนี้หมอถือว่าถ้าออกมาจะตีว่าเป็น “คลอด” แล้ว แต่ยังไม่รับรองว่าจะปลอดภัย ถึงตอนนี้รู้สึกดีใจมากเนื่องจากอย่างน้อยลูกเราก็มีโอกาสรอด ไม่ถือว่าเป็นแท้ง แม้โอกาสจะน้อยก็ตาม เพราะตอนนี้น้ำหนักลูกแค่ 5 ขีด แล้วก็มีสัญญาณดี เมียจ๋าอาการดีขึ้น สามารถปรับลดยาลงได้ ซึ่งหมอบอกถ้าสัญญาณดีแบบนี้อาจได้ออกจากรพ. เมียจ๋าดี๊ด๊าขึ้นมาทันที แต่อาการดี๊ด๊ายังไม่พ้นอาทิตย์ อยู่ดีๆก็อาการทรุดลง และติดเชื้อในช่องคลอด ทำให้ต้องนอนรพ.ต่อ หลังจากนั้นก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ดีขึ้นแล้วก็ทรุดลง ไม่ได้ออกจากรพ.ซักที จนเมียจ๋าท้อมาก ถึงขั้นซึมเศร้า อยู่ดีๆก็ขาดการติดต่อไป โทรไปก็ไม่รับ เราก็ตกใจว่าเมียจ๋าเป็นไร รีบไปรพ.สอบถามอาการทันที แต่พยาบาลก็บอกว่าอาการไม่มีอะไรยังทรงๆไม่ได้เลวร้ายลงกว่าเดิม แม้สภาพทางร่างกายจะปกติ แต่จิตใจเมียจ๋าย่ำแย่สุดจะทนรับได้แล้ว เราก็ได้แต่โทษทุกคนว่าทำไมไม่มีคนมาช่วยเมียจ๋า ทะเลาะกับคนทุกคนในบ้านที่เอาแต่บอกว่าต้องให้เมียจ๋านอนทนทุกข์ในรพ.คนเดียว จนสภาพจิตใจย่ำแย่ขนาดนี้ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จน อายุครรภ์ 26 สัปดาห์ ข่าวดีก็กลับมาเมื่อเมียจ๋าสามารถลดยาได้เรื่อยๆจนออฟยาได้ และเริ่มกินยาได้โดยรับผลข้างเคียงได้ ถือว่าเป็นสัญญาณดีว่าสามารถกลับมานอนที่บ้านได้ หมอจะให้ออกจากโรงพยาบาล เมียจ๋าก็กลับมาดี๊ด๊าได้นิดนึง แม้จะมีอาการติดเชื้อทางช่องคลอดแต่ท้องแข็งบ้างเล็กน้อยแต่ก็แอบปิดหมอ เนื่องจากกลัวว่าหมอจะไม่ให้ออกจากโรงพยาบาลอีก