[CR] เล่าประสบการณ์ Backpack ไปวังเวียงครั้งแรก (พร้อมบอกรายละเอียดการเดินทางและการใช้เงิน)

ส ะ บ า ย ดี ~ !
สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่เขียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ถ้ามีข้อผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยล่วงหน้านะคะ

เริ่มต้นที่เรากับเพื่อนวางแผนที่จะไปลาวในช่วงสงกรานต์ค่ะ แต่ไม่ได้จะไปเล่นน้ำน้า กะว่าจะไปเที่ยวกัน
เลยมุ่งเป้าไปที่วังเวียงที่เดียวเลย เพราะมีเวลาน้อย ช่วงเวลาเดินทางคือ 12 – 16 เมษายน 2561

วันที่ 12 เมษายน
ออกเดินทางจากกรุงเทพ โดยไปขึ้นรถกรุงเทพ-อุดรธานี ที่หมอชิต ซื้อตั๋วรอบ 08.00 น(ราคา 680 บาท) แต่รถมาตอน 10.15 น. และถึงอุดรธานีตอน 00.40 น. รวมแล้วใช้เวลาไปประมาณ 14 ชั่วโมง แถมยังโดนปล่อยกลางดึกแถวๆ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เลยต้องหาทางเดินไปสถานีขนส่งกันเอง พอมาถึงแล้วสามารถนั่งรอที่สถานีขนส่งอุดรจนถึงเวลาเช้าได้เลย เพราะสะอาดและคนเยอะ หรือจะหาที่พักใกล้ๆสถานีขนส่งก็ได้ค่ะ (กรณีเราเลือกที่จะหาที่พักใกล้ ๆสำหรับอาบน้ำและชาร์จแบตโทรศัพท์ และเพื่อให้ทันซื้อตั๋วตอนเช้าของวันที่ 13)

วันที่ 13 เมษายน
ออกจากที่พักตอนตีห้าครึ่ง และมาซื้อตั๋วก่อนหกโมงเช้า แต่ก็มาทันแค่รถเสริมหน้าเทศกาลค่ะ รถรอบแรกเต็มหมดแล้ว(รถไปวังเวียงจริงๆแล้วมีแค่รอบเดียวต่อวันคือ 08.30 น.) เพราะฉะนั้นถ้าอยากไปวังเวียงแบบต่อเดียว ต้องไปซื้อตั๋วแต่เช้ามาก ๆ แต่ถ้าไม่ทันก็ไม่เป็นไรค่ะ จะมีรถที่เข้าไปเวียงจันทร์ แต่ต้องไปต่อรถไปวังเวียงอีกที (รอบรถมีตามภาพด้านล่าง)
  
จากนั้นเราก็ออกเดินทางไปซื้อตั๋วรถไฟขากลับทันที เพราะรถทัวร์เต็มหมดแล้ว เลยเลือกที่จะกลับด้วยรถไฟ และถึงแม้ว่าจะไปจองกันตั้งแต่เช้าของวันที่13 ก็ยังได้ตั๋วรถเสริมรอบสุดท้ายของวันที่15 รถไฟชั้น3 เวลา 20.45น. (สถานีรถไฟและสถานีขนส่งอยู่ใกล้กัน สามารถเดินไปได้โดยGoogle map หรือถามจากคนแถวๆนั้นก็ได้ค่ะ คนอุดรใจดี )


จากนั้นก็หามื้อเช้ากินที่สถานีขนส่งหรือตลาดใกล้ๆ แถวนั้นก็ได้ค่ะ
รถอุดรธานี –วังเวียงมาก่อนเวลา เพราะฉะนั้นให้มานั่งรอก่อนได้เลย รถและบรรยากาศในรถเป็นไปตามค่ะ ไม่ถึงกับแคบมาก พอนั่งได้สบายๆ
  
พอขึ้นรถแล้วเจ้าหน้าที่จะแจกใบเข้า-ออกประเทศแบบนี้ให้ค่ะ

กรอกข้อมูลให้ครบทั้งสองใบและเจ้าหน้าที่จะเก็บเงินอีกคนละ 5บาท หลังจากนั้นจะเข้าสู่ด่านเพื่อออกจากประเทศไทย จะมีการตรวจPassport และประทับตราออกเมือง และก็จะเข้าสู่ด่านประเทศลาว เพื่อประทับตราเข้าเมือง ขั้นตอนนี้จะต้องเสียเงินอีก 5 บาทเพื่อซื้อบัตรเข้าเมืองค่ะ เพราะคนเยอะและค่อนข้างวุ่นๆ เราเลยไม่ได้ถ่ายภาพขั้นตอนนี้ไว้ แต่ไม่ยากค่ะ เดินตามๆกันไป ถ้าไม่เข้าใจก็สอบถาม เจ้าหน้าที่ได้

เจ้าหน้าที่รถบัสบอกว่าสามารถแลกเงินได้ที่ร้านค้าเมื่อเข้าเมืองลาวไปแล้ว(เรทแลกเปลี่ยนที่ร้านค้าและที่ด่านต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น โดยที่ด่านจะให้มากกว่า) กรณีค่าเงินต่างประเทศสามารถแลกที่ด่านฝั่งลาวได้ ปล.ของเราก็แลกจากเงินเยนเป็นเงินกีบเหมือนกันค่ะ
เรทแลกเงินบาท > กีบ วันที่ 13เมษายน อยู่ที่ 1 x 266.15 ( 20บาท =5320 กีบ)

หลังจากนั้น ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งรถจะจอดพักที่ร้านค้า ที่ร้านนั้นจะสามารถซื้อซิม และ แลกเงินได้ค่ะ ส่วนอาหารที่ขายเป็นราคาต่างชาติและขนมส่วนใหญ่เป็นของไทย ราคาก็จะแพงกว่าที่ไทยอยู่พอตัว

จากร้านค้า ใช้เวลาอีกสองชั่วโมงครึ่งก็จะถึงที่สถานีขนส่งวังเวียง

พอมาถึงแล้วเราสามารถซื้อตั๋วกลับไทยได้เลยเพื่อความสะดวก ราคาก็ 90000 กีบ หรือประมาณ 340บาท แล้วหลังจากนั้นก็เดินทางไปที่พักได้ค่ะ เนื่องจากเราไม่รู้ว่าที่พักอยู่ใกล้ไกลแค่ไหน เราจึงเหมารถรับจ้างแถวนั้นไป 2คน 30000กีบ ประมาณ 100กว่าบาท โดนเต็มๆ 555 (ถ้าใครรู้เส้นทางที่พักแล้ว อาจจะลองเดินไปดูก็ได้นะคะ )

เราพักที่ “จำปาลาว บังกะโล”  ไกลจากขนส่งประมาณ 4-5 กิโลเมตร เริ่มจองที่พักผ่านทาง Agoda ก่อนมา 1 เดือนค่ะ อยู่ที่คืนละ 1,229 บาท สามารถนอนได้ 3 คน แต่เรามาแค่สองคน ก็หารกันไปค่ะ จองไว้2 คืน

  


บรรยากาศภายนอกที่นี่ดีมากๆ เหมือนที่เห็นในภาพเลยค่ะ เป็นภาพถ่ายจริงที่ถ่ายเอง บรรยากาศภายในห้องพักก็ดีมากเหมือนกัน ถึงจะไม่มีแอร์แต่อากาศเย็นสบายถ่ายเทตลอด และสำคัญที่สุดมี Wifiให้ใช้ เราเลยไม่ต้องซื้อซิมเพื่อใช้ที่นี่

เพราะมาถึงตอนเย็นแล้วเลยไม่ได้ไปเที่ยวไกลมาก ก็หาข้าวเย็นกินบริเวณใกล้ ๆ และไปเช่ารถมอเตอร์ไซด์ที่ร้านแถวนั้น การเช่ามอเตอร์ไซด์มีสองแบบ แบบที่ 1 วันเต็ม 24 ชั่วโมง ราคาจะอยู่ที่ 100000กีบ แบบที่2 ไม่เต็มวัน 8.00-18.00 โมงเย็นราคาจะอยู่ที่ 60000 กีบ

จากนั้นตอนกลางคืนก็แอบแวะมาลอง ‘เบยลาว’ ว่ากันว่ามาแล้วต้องควรลอง จากที่อ่านรีวิวที่ผ่านๆมา ส่วนใหญ่แนะนำที่ซากุระบาร์ แต่ว่าตอนนั้นที่ซากุระ คนยังไม่เยอะ ก็เลยไปนั่งชิวๆที่ร้านฝั่งตรงกันข้าม ตกแต่งร้านดี บรรยากาศก็จะเบาๆ กว่าซากุระบาร์ซักหน่อย (วันนั้นไฟดับพอดี จุดเทียนกันไปเลยจ้า) แอบเสียดายอยากแวะที่ซากุระบาร์เหมือนกัน  > <


วันที่ 14 เมษายน
ตื่นเช้า ออกไปเดินตลาดเช้าใกล้ๆ ที่พัก  และหามื้อเช้ากัน

เมนูนี้คือ ข้าวเปียก ค่ะ เมนูแนะนำ ราคา 20000กีบหรือ ประมาณ 75 บาท รสชาติดีอยู่นะ  หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วเราก็ขี่รถออกไปทางทิศเหนือประมาณ 30 นาที เพื่อไปที่ถ้ำช้าง และถ้ำเต่าค่ะ ( แผนที่การเดินทางขอได้จากร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ )

เมื่อมาถึงถ้ำช้างแล้ว จะเสียค่าเข้าคนละ 10000 กีบ เป็นค่าข้ามสะพานค่ะ ในถ้ำช้างจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สักการะ และมีทางเพื่อเดินต่อ เข้าไปที่ถ้ำน้ำ แต่เนื่องจากวันนั้นเราสองคน ถูกผู้ชายคนนึงเดินตามตลอด พอรู้ตัวก็รู้สึกกลัวๆ เลยเก็บภาพจากที่นี่มาไม่ได้มาก แต่ถึงไม่ได้อยู่นานแต่มีมุมเก็บภาพสวยๆ อยู่เยอะค่ะ


หลังจากนั้นเราก็ขี่รถย้อนกลับมาที่ถ้ำเต่าค่ะ ที่นี่ไม่ค่อยมีคนไป แต่น่าประทับใจมาก  ข้างในมีหินย้อยที่มีแสงระยิบระยับ แต่ทางเข้าค่อยข้างลำบาก ข้างในมืดจนมองแทบไม่เห็น ต้องอาศัยไฟฉายที่คุณลุงคนเฝ้าหน้าถ้ำให้มา และแสงไฟจากมือถือช่วยค่ะ แต่ที่น่าประทับใจที่สุดคือ คุณลุงคนที่เฝ้าหน้าถ้ำ แนะนำดีมาก ๆ แถมเล่าประวัติของถ้ำนี้ให้ฟังว่า เป็นสถานที่ที่ปกป้อง คุ้มครองชีวิตคนมาหลายคน มาที่นี่ก็เหมือนทำให้เราโชคดี ในการเริ่มชีวิตในวันปีใหม่ไทยนี้ด้วย ถ้ามีโอกาสได้เจอคุณลุงลองคุยดูนะคะ จะได้รับความรู้เกี่ยวกับประวัติของถ้ำนี้และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในวังเวียงเยอะเลย



จากนั้นก็ลุยเดินทางกันต่อเลย ทีนี้เดินทางไปตามรีวิวค่ะ ที่ ‘ถ้ำจัง’ ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ “ที่นี่คือที่ที่ไม่ควรพลาดในการมาวังเวียง” พลาดแล้วจะเสียใจมาก  ถึงทางขึ้นจะสูงและชัน แต่ขึ้นไปแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน หินงอกหินย้อย การเล่นสีของแสงไฟ และที่สำคัญอากาศที่ดีมาก มาก มากกกก เหมือนมีเครื่องปรับอากาศหลายสิบตัว มาให้ภาพบรรยายกัน น ~

  


และตามต่อกันไปติดๆ กับการตามรีวิว ที่น้ำตก ‘บลูลากูน’ ตามที่อ่านไปมี 3 ที่ค่ะ แต่เราไปกันแค่สอง เพราะหมดแรงกันซะก่อน สำหรับบลูลากูนหนึ่ง คนเยอะ สระไม่ใหญ่มาก แต่น้ำใสมาก ๆ ชาวต่างชาติก็เยอะ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นสายมองงานดี แนะนำที่นี่ค่ะ



ส่วนบลูลากูนสองค่อนข้างผิดหวังนิดหน่อย เพราะน้ำไม่ใสและเส้นทางการมาลำบากมากๆๆ แต่ก็มีความสวยไปอีกแบบ

ปล.ทางไปฝุ่นเยอะมากจริง ๆ ขี่รถไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คิ้วและขนตาก็กลายเป็นสีน้ำตาล TT
ระหว่างทางกลับ ตรงกับวันสงกรานต์พอดี ที่นี่ก็เล่นคล้ายๆ กับบ้านเราเลยค่ะ แต่ไม่มีการเล่นแป้ง และดูไม่อันตราย ถ้าใครมีโอกาสจะลองแวะมาเปลี่ยนบรรยากาศการเล่นสงกรานต์ที่นี่ก็ได้นะคะ (เสียดายไม่ได้เก็บภาพบรรยากาศการเล่นไว้)

หลังจากแรงหมดจากการขี่รถตากแดดมาทั้งวันแล้ว ก็กลับไปพัก และออกมาอีกครั้งเพื่อหามื้อเย็นค่ะ

ที่วังเวียงก็มี ถนนคนเดินเหมือนกัน มีสองที่และอยู่ไม่ห่างกันมาก แต่ถนนไม่ยาวและของขายไม่เยอะเท่าที่ประเทศไทย แต่ก็ได้บรรยากาศอีกแบบนึง และสำหรับมื้อเย็นของวันนี้ก็คือ ‘ชาบู’
  
จะมีโต๊ะที่มีรู ไว้สำหรับวางเตาถ่าน และนั่งกินกันบนโต๊ะและเก้าอี้ขนาดเล็ก ราคาก็อยู่ที่ 25000 กีบ หรือ ประมาณชุดละ 95 บาท คือ เนื้อสัตว์หนึ่งจานเล็ก กับ ผักอีก 1 ตะกร้าค่ะ เป็นชุดรักสุขภาพกันไปเลย 555 แต่บรรยากาศแตกต่างกับการกินชาบูบ้านเราแน่นอน ต้องมาลองให้ได้ค่ะ แต่ด้วยในวันนั้นขณะนั่งกินชาบู เกิดฝนตกหนักทำให้ต้องรีบกลับ และจบการเดินทางในวันที่ 14 เพียงเท่านี้

เดี๋ยวมาเล่าต่อ .. .
ชื่อสินค้า:   วังเวียง ประเทศลาว
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่