สวัสดีค่ะ เราเป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาที่มีปัญหาชีวิตเหมือนเด็กทั่วๆ ไป ตอนนี้รู้สึกเครียดมากๆ เนื่องด้วยปัญหามากมายจากครอบครัวที่ไม่พยายามจะทำความเข้าใจกับตัวเรา วันนี้เราอยากจะมาขอระบายเล็กๆน้อยๆ และขอคำปรึกษาจากสมาชิกพันทิปที่อ่านอยู่ด้วยค่ะ ขออภัยก่อนล่วงหน้าถ้ามีอะไรผิดพลาดนะคะ นี่เป็นกระทู้แรกของเราเลย
เราเป็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวใหญ่ที่เคยอบอุ่นมากๆค่ะ มีคุณพ่อคุณแม่ที่รักกันดี น้องหมาตัวเล็กๆในบ้าน มีคุณป้า คุณลุง ปู่และย่า และลูกพี่ลูกน้องอีก 2 คน (ครอบครัวใหญ่มาก) ชีวิตวัยเด็กก็เรียกว่าสนุกสนานแสบซ่า ป่วนเพื่อนป่วนคนในบ้านไปทั่ว วันๆไม่มีเรื่องอะไรให้คิดเลยนอกจากวันนี้จะเล่นอะไรดี จะกินข้าวกับอะไร ละครวันนี้เรื่องอะไร มีความสุขมากจริงๆค่ะ จนกระทั่งมีเหตการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในครอบครัว จนทำให้ชีวิตเราพลิกไปเลย
แม่เรามีสามีคนใหม่ เราต้องตัดสินใจเลือกว่าจะอยู่กับพ่อหรือแม่ตั้งแต่อายุ 8 ปี เราเลือกที่จะอยู่กับพ่อเลยต้องย้ายบ้านจากกรุงเทพไปอยู่ที่ต่างจังหวัด ชีวิตลำบากมากๆค่ะ ลำบากจริงๆ แต่เราก็พยายามจะสดใสร่าเริงเหมือนเดิม วันนึงเห็นพ่อร้องไห้ก็ต้องไปปลอบค่ะ พยายามเป็นเด็กดีของที่บ้าน ตั้งใจเรียนมากๆ เพื่อให้พ่อรู้สึกดีขึ้นไม่กังวลกับเรา ตั้งใจจนเพื่อนในร.ร.ใหม่หมั่นไส้ ไม่มีเพื่อนสักคนเลย
การไม่มีเพื่อนในวัยเด็กเหมือนเป็นปมด้อยในชีวิตเราเลยค่ะ เพราะมันทำให้เราเริ่มกังวลกับการเข้าสังคม การวางตัวกับกลุ่มเพื่อน เราเริ่มไม่ไว้ใจคนอื่นๆ เริ่มเก็บตัว เวลามีปัญหาส่วนใหญ่ก็จะคุยกับตัวเอง และระบายด้วยการหาอะไรทำจนลืมความรู้สึกแย่ๆกระทั่งมันหายไปเองค่ะ
ในจุดๆหนึ่งเราเริ่มโตขึ้น ไม่ค่อยฟังที่พ่อสอน เราทะเลาะกันบ่อยขึ้น พ่อด่าทุกวันจนเราเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ยไม่ไหวแล้วนะ ทั้งเรื่องที่ ร.ร. และเรื่องที่บ้าน ทำให้เราตัดสินใจย้าย ร.ร. กลับไปอยู่กับแม่ที่กรุงเทพเหมือนเคย
เราย้ายมาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับแม่และครอบครัวทางนี้ตอน ม.4 ชีวิตมัธยมปลายสุดแสนแพรวพราวกับเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ คนใหม่ๆ (ทางต่างจังหวัดพ่อเราก็เริ่มต้นชีวิตใหม่กับภรรยาคนใหม่เหมือนกันค่ะ) เราอยู่ทางนี้เราก็ตั้งใจเรียนเหมือนเคยแต่น้อยลง เพราะสนใจทำกิจกรรมใน ร.ร.เยอะมากขึ้น นี่เลยอาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทางบ้านเป็นห่วงเรามากขึ้นเช่นกัน
เรื่องพีคๆ เริ่มบังเกิดจริงจังตอนที่เรามีแฟนคนแรกตอน ม.6 (ลืมบอกไปว่าเราเป็นคนไม่ค่อยคุยกับคนในครอบครัว เพราะว่าไม่สนิทค่ะ มีอะไรส่วนใหญ่จะนั่งทบทวนปรึกษากับตัวเองเหมือนเคย หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เพื่อน ไม่ก็ครูค่ะ) เราค่อนข้างหมกมุ่นกับชีวิตและสังคมของต่างประเทศตั้งแต่เด็กเลย ดังนั้นความคิดความอ่านเลยถูกปลูกฝังจากสื่อที่เสพมาตั้งแต่เด็ก จะไม่ค่อยคิดเหมือนแนวทางของบ้านเราค่ะ บวกกับสังคมที่อยู่และยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เราเลยไม่ค่อยนับถือวัฒนธรรมเก่าๆที่รู้สึกว่ามันเยอะจนเกินไป แต่ก็รู้จักผิดชอบชั่วดีไม่ได้ให้มากเกินเหตุจนน่าเกลียดนะ
การมีแฟนคนแรกของเราครอบครัวไม่ค่อยชอบเค้าค่ะ ที่บ้านไม่ไว้ใจเลย แต่ก็ไม่ได้ห้ามให้เราคบกัน ดังนั้นเราเลยสาบานกับตัวเองเลยว่า เราจะทำให้ที่บ้านเห็นว่าการมีแฟนของเราจะไม่ให้มีผลกระทบกับชีวิตการเรียนเด็ดขาด และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ การมีเค้าเข้ามาทำให้เรามีทางเลือกในการปรึกษาปัญหาชีวิตเพิ่มมาอีกทาง เรารู้สึกมีที่พักพิง และมีเขาเป็นแรงบันดาลใจในชีวิตมากขึ้น ไม่ได้โม้แต่เกรดของเรากระโดดขึ้นทุกเทอมเลยค่ะ 😂😂
ปัญหาคือครอบครัวของเราค่อนข้างจะเจ้าระเบียบมาก พ่อและแม่ตั้งความหวังกับตัวเราไว้มาก (เรายังติดต่อกับพ่อทุกครั้งที่มีโอกาส) หวังให้เราเรียนจนจบมีการงานทำที่ดี ต้องเป็นไปตามเป้าหมาย เป๊ะๆๆๆๆ จนเราเริ่มรู้สึกอึดอัด เราไม่รู้จะคุยกับที่บ้านยังไงเพราะเราไม่กล้า อยู่ต่อหน้าแม่จริงๆก็พูดไม่ออกค่ะ เราอดทนทำตัวร่าเริงสดใสเหมือนเดิม พยายามสร้างผลงานในร.ร.มากขึ้นจนกลับบ้านดึกบ่อยๆแต่ก็เพื่อให้คนที่บ้านภูมิใจ อีกอย่างคือเรามีแฟนเราเลยต้องแบ่งเวลาให้เขา มีบ้างนานๆครั้งที่ไปไหนมาไหนด้วยกันบ้าง แต่ก็อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ตลอดนะคะ คือเข้าใจว่าผู้ใหญ่ยังไม่อยากให้มี เราโดนเอ็ดบ่อยๆจนช่วงหลังโดนสั่งห้ามไม่ให้ไปไหนด้วยกัน ยิ่งทำให้เราอึดอัดมากขึ้น เพราะไม่รู้จะบอกพวกท่านว่ายังไงดีว่านี่คือช่วงวัยของเรานะ เราอยากให้พวกท่านปล่อยให้เราเรียนรู้สังคมและชีวิตบ้าง แต่พ่อและแม่ยังไงก็ยังเป็นห่วงและมองว่าเรายังเป็นเด็กในสายตาเสมอ บอกตลอดว่ามันยังไม่ถึงเวลา อันนี้เราเข้าใจค่ะว่าเป็นห่วง แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วนะ เดี๋ยวนี้เด็ก ป.4 ยังมีแฟนได้เลย แม่บอกว่าเรายังมีความรับผิดชอบไม่มากพอ อยากให้ตั้งใจเรียนมากกว่านี้ กลัวว่าการมีแฟนจะทำให้เราพลาดจนเรียนไม่จบ สมองเราพยายามเข้าใจผู้ใหญ่นะคะ แต่เหมือนใจเราไม่ฟัง ตอนนี้อึดอัดมากจริงๆ
การที่เรามีชีวิตที่คนในบ้านเอาแต่สร้างเป้าหมายสร้างแบบอย่างที่ดีให้เราและบอกว่าเธอต้องทำตามแบบนี้ถึงจะดี โดยที่ไม่สนใจในความเป็นเรา เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการได้ออกไปเที่ยวกลับบ้านดึกๆ กับเพื่อนบ้าง(ไม่ใช่เที่ยวกลางคืนตามผับบาร์นะ !) ไปค้างที่บ้านเพื่อนบ้าง เราก็ทำไม่ได้ แบบนี้ทำให้เรารู้สึกว่า พ่อกับแม่ไม่พยายามจะทำควาามเข้าใจชีวิตและวัยของเรา เหมือนเราห่างจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ บ่อยครั้งก็น้อยใจเวลาโดนสั่งห้ามบ่อยๆ แอบนอนร้องไห้ก็มีค่ะ ยิ่งคุณแม่กับสามีคนใหม่ก็มีลูกสาวตัวน้อย เรายิ่งรู้สึกมากขึ้นไปอีกว่า ครอบครัวสนใจเราน้อยลง ไม่มีอีกแล้วชีวิตเหมือนวัยเด็ก พาเราไปเที่ยว พาไปกินข้าวนอกบ้าน นั่งอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
เรารู้สึกกดดันค่ะ ช่วงหลังๆพยายามมากว่าเดิมว่าต้องอดทน ขยันสร้างผลงานมมาให้พ่อแม่ชื่นชมเรื่อยๆ ในขณะที่แม่ก็พูดบ่อยๆ ว่าแค่นี้ยังไม่ดีพอ
เรารวบรวมความกล้าพยายามคุยกับคนในบ้านแล้วแต่เหมือนจะไม่ดีขึ้น จนมีครั้งนึงดึกๆเราหนีออกจากบ้านไปเลยค่ะ จริงๆแค่ไปหาที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ปล่อยความท้อความกดดันในชีวิตทิ้งลงแม่น้ำ ตัดการติดต่อกับที่บ้านไปเลย รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยค่ะ แต่พอคิดได้ก็รีบกลับบ้านทันที แต่กลับต้องมารับมือกับความรู้สึกแย่ๆจากการโดนด่าที่โถมเข้ามาใหม่ พอเปิดอกคุยกับเพื่อนๆก็ได้คำตอบเดิมๆกลับมาคือช่างมันเถอะ อย่าคิดมาก หรือแนะนำให้เราเป็นเด็กดีของพ่อแม่อีกครั้ง
เราแค่อยากเป็นเด็กวัยรุ่นเหมือนเพื่อนๆคนอื่นที่มีโอกาสได้ออกไปใช้ชีวิตเต็มๆ คิดถึงครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนแต่ก่อน ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เราควรจะรับมือกับความรู้สึกแบบนี้ยังไงคะ ตอนนี้ท้อมากจริงๆ 😭 😭
ปัญหาครอบครัวกับชีวิตวัยรุ่น ควรจัดการกับความรู้สึกแย่ๆ ของตัวเองยังไงดีคะ?
เราเป็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวใหญ่ที่เคยอบอุ่นมากๆค่ะ มีคุณพ่อคุณแม่ที่รักกันดี น้องหมาตัวเล็กๆในบ้าน มีคุณป้า คุณลุง ปู่และย่า และลูกพี่ลูกน้องอีก 2 คน (ครอบครัวใหญ่มาก) ชีวิตวัยเด็กก็เรียกว่าสนุกสนานแสบซ่า ป่วนเพื่อนป่วนคนในบ้านไปทั่ว วันๆไม่มีเรื่องอะไรให้คิดเลยนอกจากวันนี้จะเล่นอะไรดี จะกินข้าวกับอะไร ละครวันนี้เรื่องอะไร มีความสุขมากจริงๆค่ะ จนกระทั่งมีเหตการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในครอบครัว จนทำให้ชีวิตเราพลิกไปเลย
แม่เรามีสามีคนใหม่ เราต้องตัดสินใจเลือกว่าจะอยู่กับพ่อหรือแม่ตั้งแต่อายุ 8 ปี เราเลือกที่จะอยู่กับพ่อเลยต้องย้ายบ้านจากกรุงเทพไปอยู่ที่ต่างจังหวัด ชีวิตลำบากมากๆค่ะ ลำบากจริงๆ แต่เราก็พยายามจะสดใสร่าเริงเหมือนเดิม วันนึงเห็นพ่อร้องไห้ก็ต้องไปปลอบค่ะ พยายามเป็นเด็กดีของที่บ้าน ตั้งใจเรียนมากๆ เพื่อให้พ่อรู้สึกดีขึ้นไม่กังวลกับเรา ตั้งใจจนเพื่อนในร.ร.ใหม่หมั่นไส้ ไม่มีเพื่อนสักคนเลย
การไม่มีเพื่อนในวัยเด็กเหมือนเป็นปมด้อยในชีวิตเราเลยค่ะ เพราะมันทำให้เราเริ่มกังวลกับการเข้าสังคม การวางตัวกับกลุ่มเพื่อน เราเริ่มไม่ไว้ใจคนอื่นๆ เริ่มเก็บตัว เวลามีปัญหาส่วนใหญ่ก็จะคุยกับตัวเอง และระบายด้วยการหาอะไรทำจนลืมความรู้สึกแย่ๆกระทั่งมันหายไปเองค่ะ
ในจุดๆหนึ่งเราเริ่มโตขึ้น ไม่ค่อยฟังที่พ่อสอน เราทะเลาะกันบ่อยขึ้น พ่อด่าทุกวันจนเราเริ่มรู้สึกว่า เฮ้ยไม่ไหวแล้วนะ ทั้งเรื่องที่ ร.ร. และเรื่องที่บ้าน ทำให้เราตัดสินใจย้าย ร.ร. กลับไปอยู่กับแม่ที่กรุงเทพเหมือนเคย
เราย้ายมาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับแม่และครอบครัวทางนี้ตอน ม.4 ชีวิตมัธยมปลายสุดแสนแพรวพราวกับเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ คนใหม่ๆ (ทางต่างจังหวัดพ่อเราก็เริ่มต้นชีวิตใหม่กับภรรยาคนใหม่เหมือนกันค่ะ) เราอยู่ทางนี้เราก็ตั้งใจเรียนเหมือนเคยแต่น้อยลง เพราะสนใจทำกิจกรรมใน ร.ร.เยอะมากขึ้น นี่เลยอาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทางบ้านเป็นห่วงเรามากขึ้นเช่นกัน
เรื่องพีคๆ เริ่มบังเกิดจริงจังตอนที่เรามีแฟนคนแรกตอน ม.6 (ลืมบอกไปว่าเราเป็นคนไม่ค่อยคุยกับคนในครอบครัว เพราะว่าไม่สนิทค่ะ มีอะไรส่วนใหญ่จะนั่งทบทวนปรึกษากับตัวเองเหมือนเคย หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เพื่อน ไม่ก็ครูค่ะ) เราค่อนข้างหมกมุ่นกับชีวิตและสังคมของต่างประเทศตั้งแต่เด็กเลย ดังนั้นความคิดความอ่านเลยถูกปลูกฝังจากสื่อที่เสพมาตั้งแต่เด็ก จะไม่ค่อยคิดเหมือนแนวทางของบ้านเราค่ะ บวกกับสังคมที่อยู่และยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เราเลยไม่ค่อยนับถือวัฒนธรรมเก่าๆที่รู้สึกว่ามันเยอะจนเกินไป แต่ก็รู้จักผิดชอบชั่วดีไม่ได้ให้มากเกินเหตุจนน่าเกลียดนะ
การมีแฟนคนแรกของเราครอบครัวไม่ค่อยชอบเค้าค่ะ ที่บ้านไม่ไว้ใจเลย แต่ก็ไม่ได้ห้ามให้เราคบกัน ดังนั้นเราเลยสาบานกับตัวเองเลยว่า เราจะทำให้ที่บ้านเห็นว่าการมีแฟนของเราจะไม่ให้มีผลกระทบกับชีวิตการเรียนเด็ดขาด และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ การมีเค้าเข้ามาทำให้เรามีทางเลือกในการปรึกษาปัญหาชีวิตเพิ่มมาอีกทาง เรารู้สึกมีที่พักพิง และมีเขาเป็นแรงบันดาลใจในชีวิตมากขึ้น ไม่ได้โม้แต่เกรดของเรากระโดดขึ้นทุกเทอมเลยค่ะ 😂😂
ปัญหาคือครอบครัวของเราค่อนข้างจะเจ้าระเบียบมาก พ่อและแม่ตั้งความหวังกับตัวเราไว้มาก (เรายังติดต่อกับพ่อทุกครั้งที่มีโอกาส) หวังให้เราเรียนจนจบมีการงานทำที่ดี ต้องเป็นไปตามเป้าหมาย เป๊ะๆๆๆๆ จนเราเริ่มรู้สึกอึดอัด เราไม่รู้จะคุยกับที่บ้านยังไงเพราะเราไม่กล้า อยู่ต่อหน้าแม่จริงๆก็พูดไม่ออกค่ะ เราอดทนทำตัวร่าเริงสดใสเหมือนเดิม พยายามสร้างผลงานในร.ร.มากขึ้นจนกลับบ้านดึกบ่อยๆแต่ก็เพื่อให้คนที่บ้านภูมิใจ อีกอย่างคือเรามีแฟนเราเลยต้องแบ่งเวลาให้เขา มีบ้างนานๆครั้งที่ไปไหนมาไหนด้วยกันบ้าง แต่ก็อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ตลอดนะคะ คือเข้าใจว่าผู้ใหญ่ยังไม่อยากให้มี เราโดนเอ็ดบ่อยๆจนช่วงหลังโดนสั่งห้ามไม่ให้ไปไหนด้วยกัน ยิ่งทำให้เราอึดอัดมากขึ้น เพราะไม่รู้จะบอกพวกท่านว่ายังไงดีว่านี่คือช่วงวัยของเรานะ เราอยากให้พวกท่านปล่อยให้เราเรียนรู้สังคมและชีวิตบ้าง แต่พ่อและแม่ยังไงก็ยังเป็นห่วงและมองว่าเรายังเป็นเด็กในสายตาเสมอ บอกตลอดว่ามันยังไม่ถึงเวลา อันนี้เราเข้าใจค่ะว่าเป็นห่วง แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วนะ เดี๋ยวนี้เด็ก ป.4 ยังมีแฟนได้เลย แม่บอกว่าเรายังมีความรับผิดชอบไม่มากพอ อยากให้ตั้งใจเรียนมากกว่านี้ กลัวว่าการมีแฟนจะทำให้เราพลาดจนเรียนไม่จบ สมองเราพยายามเข้าใจผู้ใหญ่นะคะ แต่เหมือนใจเราไม่ฟัง ตอนนี้อึดอัดมากจริงๆ
การที่เรามีชีวิตที่คนในบ้านเอาแต่สร้างเป้าหมายสร้างแบบอย่างที่ดีให้เราและบอกว่าเธอต้องทำตามแบบนี้ถึงจะดี โดยที่ไม่สนใจในความเป็นเรา เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการได้ออกไปเที่ยวกลับบ้านดึกๆ กับเพื่อนบ้าง(ไม่ใช่เที่ยวกลางคืนตามผับบาร์นะ !) ไปค้างที่บ้านเพื่อนบ้าง เราก็ทำไม่ได้ แบบนี้ทำให้เรารู้สึกว่า พ่อกับแม่ไม่พยายามจะทำควาามเข้าใจชีวิตและวัยของเรา เหมือนเราห่างจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ บ่อยครั้งก็น้อยใจเวลาโดนสั่งห้ามบ่อยๆ แอบนอนร้องไห้ก็มีค่ะ ยิ่งคุณแม่กับสามีคนใหม่ก็มีลูกสาวตัวน้อย เรายิ่งรู้สึกมากขึ้นไปอีกว่า ครอบครัวสนใจเราน้อยลง ไม่มีอีกแล้วชีวิตเหมือนวัยเด็ก พาเราไปเที่ยว พาไปกินข้าวนอกบ้าน นั่งอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
เรารู้สึกกดดันค่ะ ช่วงหลังๆพยายามมากว่าเดิมว่าต้องอดทน ขยันสร้างผลงานมมาให้พ่อแม่ชื่นชมเรื่อยๆ ในขณะที่แม่ก็พูดบ่อยๆ ว่าแค่นี้ยังไม่ดีพอ
เรารวบรวมความกล้าพยายามคุยกับคนในบ้านแล้วแต่เหมือนจะไม่ดีขึ้น จนมีครั้งนึงดึกๆเราหนีออกจากบ้านไปเลยค่ะ จริงๆแค่ไปหาที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ปล่อยความท้อความกดดันในชีวิตทิ้งลงแม่น้ำ ตัดการติดต่อกับที่บ้านไปเลย รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยค่ะ แต่พอคิดได้ก็รีบกลับบ้านทันที แต่กลับต้องมารับมือกับความรู้สึกแย่ๆจากการโดนด่าที่โถมเข้ามาใหม่ พอเปิดอกคุยกับเพื่อนๆก็ได้คำตอบเดิมๆกลับมาคือช่างมันเถอะ อย่าคิดมาก หรือแนะนำให้เราเป็นเด็กดีของพ่อแม่อีกครั้ง
เราแค่อยากเป็นเด็กวัยรุ่นเหมือนเพื่อนๆคนอื่นที่มีโอกาสได้ออกไปใช้ชีวิตเต็มๆ คิดถึงครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนแต่ก่อน ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เราควรจะรับมือกับความรู้สึกแบบนี้ยังไงคะ ตอนนี้ท้อมากจริงๆ 😭 😭