สวัสดีค่ะ ขอเกริ่นยาวๆหน่อยก็แล้วกันนะคะ อยากให้ทุกคนได้อ่านในมุมมองของหนูดู อย่าเพิ่งรำคาญนะคะ
หนูเป็นเด็กม.6 ปีการศึกษานี้ ความจริงแล้วหนูอยากเข้า GSSE หรือ วิทยาลัยโลกคดีศึกษา มาตั้งแต่ม.4 หนูรู้ค่ะว่ามันฟังดูตลกที่เด็กบ้านฐานะธรรมดาๆที่พ่อแม่ต้องทำงานหนักมากอย่างหนูอยากจะเรียนนานาชาติของมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับประเทศ แต่ถ้าเลือกได้หนูก็ไม่อยากจะอยากเรียนนานาชาติ ไม่ได้อยากจะอยากเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง หนูแค่อยากเรียนอะไรสักอย่างที่หนูรู้สึกว่ามันคือตัวของหนู และหนูก็ได้ไปเจอกับคณะนี้เข้า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นสถานที่เดียวในประเทศที่เปิดสอนคณะนี้
วันที่หนูไปOpen Houseหนูรู้สึกประทับใจมาก พี่ๆในซุ้มใจดีและคอยเดินให้ความรู้อยู่ตลอด พี่เขาเล่าเกี่ยวกับโปรเจกต์และเรื่องราวที่มาของความสำเร็จ ทำให้หนูตั้งใจว่าจะต้องเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มคนที่แสนวิเศษให้ได้ในสักวัน หนูอยากจะทำเพื่อคนอื่นได้บ้าง อยากจะมีอิสระในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เว่อร์ไปนะคะ หนูแค่คิดอย่างนั้นจริงๆ...
หลังจากนั้นหนูเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง...จากเด็กขี้อายก็พยายามฝึกพูดหน้ากระจกทุกวัน หนูเสนอตัวเป็นหัวหน้าขบวนพาเหรด บริหารงานผิดพลาดหลายครั้งจนโดนคนอื่นเกลียดเกือบทั้งโรงเรียน นานทีเดียวกว่าจะลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่แล้วทำให้หลายๆคนเห็นว่าหนูทำได้ หนูสมัครประธานคณะสีทั้งๆที่ไม่เคยคิดฝัน พอได้ตำแหน่งก็ทุ่มเทอย่างหนักให้กับสภานักเรียน เหนื่อยและมีความสุขในเวลาเดียวกัน มันทำให้หนูสัมผัสได้ว่าเข้าใกล้ความฝันไปอีกขั้น
พอมีโอกาสหนูก็คิดโปรเจกต์ของตัวเองในวิชาSTEMโดยมีเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนที่ไม่มีความเห็นอะไรทั้งทางบวกและทางลบ แต่พวกเขาก็ช่วยจนมันสำเร็จไปได้ด้วยดี จากโครงงานเล็กๆที่ไม่มีใครเห็นด้วยนอกจากคุณครูคอมพ์หนึ่งคนก็ได้กลายเป็นโครงงานอันดับหนึ่งของสายชั้น คุณครูอีกหลายๆคนเริ่มมองเห็นและส่งเราไปแข่งหลายรายการ โครงงานของหนูไม่เคยชนะในระดับประเทศหรือยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอกค่ะ...แค่ที่สองระดับจังหวัดของมูลนิธิเปรมติสูลานนท์กับรางวัลอื่นๆก็ทำให้พวกเราดีใจมากแล้ว ไม่คิดว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ หนูเรียกมันว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้น หนูเข้าใกล้GSSEเข้าไปอีกแล้วในที่สุด
หลังจากนั้นหนูก็หันมามองตัวเองดีๆ หลายสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่เคยเป็นความบังเอิญ หนูทำมันด้วยมือสองข้างของหนูและรู้สึกภูมิใจ จากความคิดที่ว่าอยากเข้าเรียนคณะนี้ได้พัฒนาไปเป็นการหล่อหลอมให้หนูไปไกลกว่านั้น หนูได้พัฒนาตัวเองและอยากจะจบออกมาทำงานเพื่อผู้อื่นในองค์กรระดับโลก อยากทำเพื่อผู้อื่นให้ได้มากกว่าเดิม หนูเริ่มเรียนภาษาอังกฤษอย่างหนักเพื่อเตรียมสอบวัดระดับภาษา ร่างแบบของพอร์ทที่จะใช้ยื่นด้วยความตื่นเต้นทั้งคืน คุยกับญาติและเพื่อนๆว่า"หนูอยากเรียนGSSE คอยดูนะหนูจะทำตามความฝันให้ได้ อย่าลืมเป็นกำลังใจให้หนูด้วย"
ทีนี้ก็มาถึงส่วนที่เป็นปัญหา...
อยากที่เกริ่นไปว่าบ้านหนูมีฐานะปานกลางแถมยังมีน้องที่ยังเด็กอีกตั้งสองคน ตอนแรกหนูก็กังวลว่าพ่อกับแม่จะจ่ายไหวมั้ย แต่พ่อทำแค่ลูกหัวหนูเบาๆแล้วบอกว่า"ขอให้สิ่งที่หวังไว้มันสำเร็จ อย่ากลัวที่จะฝันให้ไกลแล้วไปให้ได้ ป๊าหาเงินไหวอยู่แล้ว" หนูดีใจมากๆเลยในตอนนั้น เรียนหนักขึ้นไปอีก พยายามมากขึ้นไปอีก เหมือนกับว่าตอนนั้นไม่มีอุปสรรคอะไรมาขวางหนูไว้อีกแล้ว
แต่พอมาวันนี้ พ่อของหนูป่วยหนักกว่าเมื่อก่อนและอาจจะต้องเข้ารักษาตัว แม่หนูเดินมาแล้วบอกหนูว่าอาจจะส่งไม่ไหว หนูอาจจะต้องเรียนใกล้บ้านและเก็บความสุขของตัวเองใส่กระเป๋า กดมันไว้ให้ลึกที่สุด หนูที่กำลังเขียนคำศัพท์อยู่ก็มืสั่นจนเขียนต่อไม่ไหว แต่ยังยิ้มแล้วพยักหน้าให้แม่ว่าหนูไม่เป็นอะไร
หนูอยากให้พ่อหายป่วยและอยากให้แม่มีความสุข แต่ความฝันของหนูมันไม่ใช่แค่เรื่องที่เพ้อเจ้อ หนูพยายามมาตลอดสองปีเพื่อก้าวไปทีละขั้นจนใกล้จะถึงประตูอยู่แล้ว...หนูรู้ว่าหลายคนคงมองว่าหนูน่ะบ้าไปแล้ว มองว่าหนูยึดติด มองว่าหนูทำให้พ่อแม่ลำบาก มองว่าหนูก็แค่ฝันเฟื่อง แต่ถึงใครจะว่าอย่างนั้นหนูก็ยังไม่เก็บมันลงใส่กระเป๋าแน่ๆ
ตอนนี้หนูกำลังหวังพึ่งทุนการศึกษา แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้หมายถึงว่าหนูจะได้มันมาครอบครอง หรือถ้าได้ก็คงจะเยียวยาได้เล็กน้อยเท่านั้น หนูศึกษาและเปิดเว็บของคณะหลายครั้งต่อหลายครั้งเพื่อคำนวนค่าเทอมและลู่ทางของการขอทุนการศึกษา ยิ่งได้รับรู้ก็ยิ่งรู้ตัวว่าต้นทุนชีวิตของหนูมีน้อยกว่าคนอื่นมากแค่ไหน ที่ผ่านมาทำไมหนูไม่หันกลับมามองพ่อแม่ที่ลำบากมากขนาดนั้นบ้าง
หนูรักพ่อแม่ รักเสมอและไม่เคยอยากจะให้ท่านลำบาก ทำให้ตอนนี้หนูต้องกลัว...กลัวที่จะก้าวเดินต่อไปทั้งๆที่ไม่เคยกลัวมาก่อน หนูอยากรู้สักทีว่าควรจะก้าวต่อหรือหันหลังกลับแล้วเปลี่ยนเส้นทาง หัวใจหนูเศร้าไปหมดแล้วจนแม้แต่ตัวหนูเองยังกลัวตัวเองขึ้นมาดื้อๆ
ขอความกรุณาจากใครก็ได้ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ หนูแค่อยากขอร้องว่าถ้าคุณรู้จักคนที่มีโอกาสให้หนูแม้เพียงเล็กน้อย ได้โปรดมอบโอกาสนั้นให้หนู หรือคุณจะให้คำปรึกษา หนทางแก้ปัญหา หรืออะไรก็ได้ที่คุณอยากจะบอกให้หนูรู้ หนูก็ยินดีที่จะรับฟังเสมอ ตัวหนูเองก็จะพยายามในส่วนของตัวเองเหมือนกัน (พ่อแม่หนูต้องการให้หนูเรียนอย่างเดียว หนูอายุแค่16เพราะเรียนก่อนเกณฑ์หนูเลยไม่สามารถหางานพิเศษทั่วไปทำได้ และหนูก็ทำงานสภานักเรียนยาวจนจบม.6เลยไม่สามารถทำงานช่วงเย็นได้อีก) ไม่แน่ว่าบางทีหนูจะต้องตั้งใจเรียนให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสขอทุนให้ได้
และสุดท้ายนี้หนูอยากจะบอกทุกคนที่กำลังสบสนหรือเจอปัญหา ถ้าคุณมีโอกาสที่ดีกว่าหนูก็ขอให้อย่าละทิ้งฝันของตัวเองเลยนะคะ เพราะใครๆก็สามารถก้าวไปหาความฝันของตัวเองได้ทั้งนั้น...อย่าทำให้ตัวเองต้องเสียใจทีหลังด้วยการทิ้งมันไปเลยค่ะ บางทีคุณอาจจะกำลังพยายามเผื่อใครอีกหลายๆคนที่ไม่มีโอกาสเท่ากับคุณ
อยากเรียนGSSEและทำในสิ่งที่ฝัน แต่มีปัญหาใหญ่เรื่องต้นทุนชีวิตค่ะ
หนูเป็นเด็กม.6 ปีการศึกษานี้ ความจริงแล้วหนูอยากเข้า GSSE หรือ วิทยาลัยโลกคดีศึกษา มาตั้งแต่ม.4 หนูรู้ค่ะว่ามันฟังดูตลกที่เด็กบ้านฐานะธรรมดาๆที่พ่อแม่ต้องทำงานหนักมากอย่างหนูอยากจะเรียนนานาชาติของมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับประเทศ แต่ถ้าเลือกได้หนูก็ไม่อยากจะอยากเรียนนานาชาติ ไม่ได้อยากจะอยากเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง หนูแค่อยากเรียนอะไรสักอย่างที่หนูรู้สึกว่ามันคือตัวของหนู และหนูก็ได้ไปเจอกับคณะนี้เข้า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นสถานที่เดียวในประเทศที่เปิดสอนคณะนี้
วันที่หนูไปOpen Houseหนูรู้สึกประทับใจมาก พี่ๆในซุ้มใจดีและคอยเดินให้ความรู้อยู่ตลอด พี่เขาเล่าเกี่ยวกับโปรเจกต์และเรื่องราวที่มาของความสำเร็จ ทำให้หนูตั้งใจว่าจะต้องเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มคนที่แสนวิเศษให้ได้ในสักวัน หนูอยากจะทำเพื่อคนอื่นได้บ้าง อยากจะมีอิสระในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เว่อร์ไปนะคะ หนูแค่คิดอย่างนั้นจริงๆ...
หลังจากนั้นหนูเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง...จากเด็กขี้อายก็พยายามฝึกพูดหน้ากระจกทุกวัน หนูเสนอตัวเป็นหัวหน้าขบวนพาเหรด บริหารงานผิดพลาดหลายครั้งจนโดนคนอื่นเกลียดเกือบทั้งโรงเรียน นานทีเดียวกว่าจะลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่แล้วทำให้หลายๆคนเห็นว่าหนูทำได้ หนูสมัครประธานคณะสีทั้งๆที่ไม่เคยคิดฝัน พอได้ตำแหน่งก็ทุ่มเทอย่างหนักให้กับสภานักเรียน เหนื่อยและมีความสุขในเวลาเดียวกัน มันทำให้หนูสัมผัสได้ว่าเข้าใกล้ความฝันไปอีกขั้น
พอมีโอกาสหนูก็คิดโปรเจกต์ของตัวเองในวิชาSTEMโดยมีเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนที่ไม่มีความเห็นอะไรทั้งทางบวกและทางลบ แต่พวกเขาก็ช่วยจนมันสำเร็จไปได้ด้วยดี จากโครงงานเล็กๆที่ไม่มีใครเห็นด้วยนอกจากคุณครูคอมพ์หนึ่งคนก็ได้กลายเป็นโครงงานอันดับหนึ่งของสายชั้น คุณครูอีกหลายๆคนเริ่มมองเห็นและส่งเราไปแข่งหลายรายการ โครงงานของหนูไม่เคยชนะในระดับประเทศหรือยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอกค่ะ...แค่ที่สองระดับจังหวัดของมูลนิธิเปรมติสูลานนท์กับรางวัลอื่นๆก็ทำให้พวกเราดีใจมากแล้ว ไม่คิดว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ หนูเรียกมันว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้น หนูเข้าใกล้GSSEเข้าไปอีกแล้วในที่สุด
หลังจากนั้นหนูก็หันมามองตัวเองดีๆ หลายสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่เคยเป็นความบังเอิญ หนูทำมันด้วยมือสองข้างของหนูและรู้สึกภูมิใจ จากความคิดที่ว่าอยากเข้าเรียนคณะนี้ได้พัฒนาไปเป็นการหล่อหลอมให้หนูไปไกลกว่านั้น หนูได้พัฒนาตัวเองและอยากจะจบออกมาทำงานเพื่อผู้อื่นในองค์กรระดับโลก อยากทำเพื่อผู้อื่นให้ได้มากกว่าเดิม หนูเริ่มเรียนภาษาอังกฤษอย่างหนักเพื่อเตรียมสอบวัดระดับภาษา ร่างแบบของพอร์ทที่จะใช้ยื่นด้วยความตื่นเต้นทั้งคืน คุยกับญาติและเพื่อนๆว่า"หนูอยากเรียนGSSE คอยดูนะหนูจะทำตามความฝันให้ได้ อย่าลืมเป็นกำลังใจให้หนูด้วย"
ทีนี้ก็มาถึงส่วนที่เป็นปัญหา...
อยากที่เกริ่นไปว่าบ้านหนูมีฐานะปานกลางแถมยังมีน้องที่ยังเด็กอีกตั้งสองคน ตอนแรกหนูก็กังวลว่าพ่อกับแม่จะจ่ายไหวมั้ย แต่พ่อทำแค่ลูกหัวหนูเบาๆแล้วบอกว่า"ขอให้สิ่งที่หวังไว้มันสำเร็จ อย่ากลัวที่จะฝันให้ไกลแล้วไปให้ได้ ป๊าหาเงินไหวอยู่แล้ว" หนูดีใจมากๆเลยในตอนนั้น เรียนหนักขึ้นไปอีก พยายามมากขึ้นไปอีก เหมือนกับว่าตอนนั้นไม่มีอุปสรรคอะไรมาขวางหนูไว้อีกแล้ว
แต่พอมาวันนี้ พ่อของหนูป่วยหนักกว่าเมื่อก่อนและอาจจะต้องเข้ารักษาตัว แม่หนูเดินมาแล้วบอกหนูว่าอาจจะส่งไม่ไหว หนูอาจจะต้องเรียนใกล้บ้านและเก็บความสุขของตัวเองใส่กระเป๋า กดมันไว้ให้ลึกที่สุด หนูที่กำลังเขียนคำศัพท์อยู่ก็มืสั่นจนเขียนต่อไม่ไหว แต่ยังยิ้มแล้วพยักหน้าให้แม่ว่าหนูไม่เป็นอะไร
หนูอยากให้พ่อหายป่วยและอยากให้แม่มีความสุข แต่ความฝันของหนูมันไม่ใช่แค่เรื่องที่เพ้อเจ้อ หนูพยายามมาตลอดสองปีเพื่อก้าวไปทีละขั้นจนใกล้จะถึงประตูอยู่แล้ว...หนูรู้ว่าหลายคนคงมองว่าหนูน่ะบ้าไปแล้ว มองว่าหนูยึดติด มองว่าหนูทำให้พ่อแม่ลำบาก มองว่าหนูก็แค่ฝันเฟื่อง แต่ถึงใครจะว่าอย่างนั้นหนูก็ยังไม่เก็บมันลงใส่กระเป๋าแน่ๆ
ตอนนี้หนูกำลังหวังพึ่งทุนการศึกษา แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้หมายถึงว่าหนูจะได้มันมาครอบครอง หรือถ้าได้ก็คงจะเยียวยาได้เล็กน้อยเท่านั้น หนูศึกษาและเปิดเว็บของคณะหลายครั้งต่อหลายครั้งเพื่อคำนวนค่าเทอมและลู่ทางของการขอทุนการศึกษา ยิ่งได้รับรู้ก็ยิ่งรู้ตัวว่าต้นทุนชีวิตของหนูมีน้อยกว่าคนอื่นมากแค่ไหน ที่ผ่านมาทำไมหนูไม่หันกลับมามองพ่อแม่ที่ลำบากมากขนาดนั้นบ้าง
หนูรักพ่อแม่ รักเสมอและไม่เคยอยากจะให้ท่านลำบาก ทำให้ตอนนี้หนูต้องกลัว...กลัวที่จะก้าวเดินต่อไปทั้งๆที่ไม่เคยกลัวมาก่อน หนูอยากรู้สักทีว่าควรจะก้าวต่อหรือหันหลังกลับแล้วเปลี่ยนเส้นทาง หัวใจหนูเศร้าไปหมดแล้วจนแม้แต่ตัวหนูเองยังกลัวตัวเองขึ้นมาดื้อๆ
ขอความกรุณาจากใครก็ได้ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ หนูแค่อยากขอร้องว่าถ้าคุณรู้จักคนที่มีโอกาสให้หนูแม้เพียงเล็กน้อย ได้โปรดมอบโอกาสนั้นให้หนู หรือคุณจะให้คำปรึกษา หนทางแก้ปัญหา หรืออะไรก็ได้ที่คุณอยากจะบอกให้หนูรู้ หนูก็ยินดีที่จะรับฟังเสมอ ตัวหนูเองก็จะพยายามในส่วนของตัวเองเหมือนกัน (พ่อแม่หนูต้องการให้หนูเรียนอย่างเดียว หนูอายุแค่16เพราะเรียนก่อนเกณฑ์หนูเลยไม่สามารถหางานพิเศษทั่วไปทำได้ และหนูก็ทำงานสภานักเรียนยาวจนจบม.6เลยไม่สามารถทำงานช่วงเย็นได้อีก) ไม่แน่ว่าบางทีหนูจะต้องตั้งใจเรียนให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสขอทุนให้ได้
และสุดท้ายนี้หนูอยากจะบอกทุกคนที่กำลังสบสนหรือเจอปัญหา ถ้าคุณมีโอกาสที่ดีกว่าหนูก็ขอให้อย่าละทิ้งฝันของตัวเองเลยนะคะ เพราะใครๆก็สามารถก้าวไปหาความฝันของตัวเองได้ทั้งนั้น...อย่าทำให้ตัวเองต้องเสียใจทีหลังด้วยการทิ้งมันไปเลยค่ะ บางทีคุณอาจจะกำลังพยายามเผื่อใครอีกหลายๆคนที่ไม่มีโอกาสเท่ากับคุณ