เนื่องจากมีแพลนจะแต่งงาน เรากับแฟนจึงเริ่มมองหาซื้อบ้านทั้งมือหนึ่งและมือสอง
ตระเวนดูนานมาก จนสุดท้ายมาเจอบ้านประกาศขายในเวบ เข้าไปดูบ้านจริงจึงตกลงใจที่จะซื้อ เจ้าของบ้านประกาศขายที่ราคา 3,800,000 บาท ต่อรองราคา ตกลงกันที่ 3,700,000 ค่าใช้จ่ายวันโอนผู้ขายเป็นคนออกทั้งหมด (ข้อมูลจากการคุยคร่าว ๆ ทราบว่าเจ้าของบ้านไม่ต้องการส่งต่อแล้ว และตั้งแต่ซื้อมาไม่เคยเข้าอยู่เลย ตอนแรกจะให้น้องชายตัวเองซื้อและไปผ่อนต่อเอง อยู่ระหว่างการทำเรื่องยื่นกู้อยู่เช่นกัน )
ถึงเวลายื่นกู้ แฟนเลือกธนาคารกรุงไทย เนื่องจากทางบ้านแฟนมีประวัติเป็นลูกค้าเดิมอยู่ ปรึกษาทางแบงค์ จนท. แนะนำให้ทำสัญญาซื้อขายเพื่อประกอบการยื่นกู้ที่ 3,900,000 เพราะเผื่อเป็นค่าใช้จ่ายประกัน และอื่นๆ
หลังจากยื่นเอกสารครบ ทาง จนท. ที่ดูแลเคสติดต่อกลับมา ขอเอกสารเพิ่มเติม จึงได้ทราบว่าบ้านหลังที่จะซื้อ ปัจจุบันขายทอดตลาดอยู่กับกรมบังคับคดี และมีผู้ประมูลกับกรมบังคับคดีแล้ว อยู่ระหว่างรอจ่ายเงินเพื่อโอน
จึงได้มีการสอบถามกลับไปทางผู้ขาย ผู้ขายยอมรับว่าเป็นตามนั้นจริง และได้ให้สำเนาสัญญาซื้อขายที่ประมูลได้จากกรมบังคับคดี 3,250,000 บาท เพิ่ม และทางเราเองก็ส่งเอกสารต่อใ้ห้ จนท. ที่ดูแลเรื่อง
หลังจากนั้น จนท. แบงค์ติดต่อกลับมา แจ้งเบื้องต้นว่า มีราคาประเมินเก่าของบ้านหลังนี้อยู่ ที่ราคา 3,700,000 (ราคาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว) ทางแบงค์คงจะปล่อยกู้ได้ประมาณนี้. ทางเราก็ไม่ได้มีปัญหากับวงเงิน จึงได้มีการนัดเข้าประเมินบ้านก่อนสงกรานต์
หลังสงกรานต์ ซึ่งคือวันนี้ จนท. แจ้งกลับมาว่า สามารถอนุมัติวงเงินกู้ได้ที่ 3,250,000 บาทเท่ากับที่มีการประมูลได้จากบังคับคดีเท่านั้น ทางแบงค์เสนอให้รับวงเงินเท่านี้ไปก่อนและอีก 6 เดือนมาขอกู้เพิ่มใหม่อีกรอบ หรือไม่ก็ใช้เป็นสินเชื่อธุรกิจซึ่งทางบ้านมีวงเงินอยู่แล้ว
ซึ่งทางเรามองว่าไม่แฟร์ เนื่องจากเราไม่ใช่ผู้ยื่นกู้เนื่องจากประมูลได้จากบังคับคดี เป็นแต่เพียงผู้ซื้อต่อมาอีกทอดหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับคนขาย ทางธนาคารจึงควรใช้ราคาประเมินปัจจุบัน และความสามารถในการชำระหนี้เป็นเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อมากกว่าราคาประมูลจากกรมบังคับคดี
และเราไม่เชื่อ จนท. ที่บอกว่า 6 เดือนมาขอกู้เพิ่ม นอกจากจะเสี่ยงว่าธนาคารจะไม่อนุมัติแล้ว (มีเพื่อนทำงานแบงค์แนะนำว่าถ้าจะกู้ให้ทำเรื่องทีเดียว เสียค่าใช้จ่ายทีเดียวและโดยส่วนใหญ่หลังจากปล่อยกู้ไปแล้ว ธนาคารจะดูประวัติการขำระก่อนอีก 1 ปีจึงจะขอกู้เพิ่มได้) เรามองว่าอัตราดอกเบี้ยที่ขอกู้เพิ่มจะเป็นคนละเรทกับดอกเบี้ยบ้าน และเสียสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี
หรือหากให้เอาวงเงินสินเชื่อธุรกิจมาใช้ ก็จะเป็นการดึงเงินออกจากระบบ ซึ่งตรงนี้ใช้สำหรับหมุนในกิจการ ไม่ควรดึงออกมาใช้
จึงอยากขอคำปรึกษา ใครที่มีความรู้ทางด้านนี้ (หรือหากธนาคารชี้แจงได้จะดีมาก เนื่องจากสาขาที่ยื่นกู้แจ้งแต่เพียงว่าปล่อยกู้ได้เท่าราคาประมูล) หรือเคยมีเคสใกล้เคียงกัน ขอความอนุเคราะห์แชร์ข้อมูลด้วยค่ะ
ปล. เรากับแฟนมีเงินสำรองประมาณนึงค่ะ พอจ่ายค่าส่วนต่าง แต่อยากกันไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินและแต่งบ้านมากกว่า
การกู้ซื้อบ้านกับธนาคารกรุงไทย
ตระเวนดูนานมาก จนสุดท้ายมาเจอบ้านประกาศขายในเวบ เข้าไปดูบ้านจริงจึงตกลงใจที่จะซื้อ เจ้าของบ้านประกาศขายที่ราคา 3,800,000 บาท ต่อรองราคา ตกลงกันที่ 3,700,000 ค่าใช้จ่ายวันโอนผู้ขายเป็นคนออกทั้งหมด (ข้อมูลจากการคุยคร่าว ๆ ทราบว่าเจ้าของบ้านไม่ต้องการส่งต่อแล้ว และตั้งแต่ซื้อมาไม่เคยเข้าอยู่เลย ตอนแรกจะให้น้องชายตัวเองซื้อและไปผ่อนต่อเอง อยู่ระหว่างการทำเรื่องยื่นกู้อยู่เช่นกัน )
ถึงเวลายื่นกู้ แฟนเลือกธนาคารกรุงไทย เนื่องจากทางบ้านแฟนมีประวัติเป็นลูกค้าเดิมอยู่ ปรึกษาทางแบงค์ จนท. แนะนำให้ทำสัญญาซื้อขายเพื่อประกอบการยื่นกู้ที่ 3,900,000 เพราะเผื่อเป็นค่าใช้จ่ายประกัน และอื่นๆ
หลังจากยื่นเอกสารครบ ทาง จนท. ที่ดูแลเคสติดต่อกลับมา ขอเอกสารเพิ่มเติม จึงได้ทราบว่าบ้านหลังที่จะซื้อ ปัจจุบันขายทอดตลาดอยู่กับกรมบังคับคดี และมีผู้ประมูลกับกรมบังคับคดีแล้ว อยู่ระหว่างรอจ่ายเงินเพื่อโอน
จึงได้มีการสอบถามกลับไปทางผู้ขาย ผู้ขายยอมรับว่าเป็นตามนั้นจริง และได้ให้สำเนาสัญญาซื้อขายที่ประมูลได้จากกรมบังคับคดี 3,250,000 บาท เพิ่ม และทางเราเองก็ส่งเอกสารต่อใ้ห้ จนท. ที่ดูแลเรื่อง
หลังจากนั้น จนท. แบงค์ติดต่อกลับมา แจ้งเบื้องต้นว่า มีราคาประเมินเก่าของบ้านหลังนี้อยู่ ที่ราคา 3,700,000 (ราคาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว) ทางแบงค์คงจะปล่อยกู้ได้ประมาณนี้. ทางเราก็ไม่ได้มีปัญหากับวงเงิน จึงได้มีการนัดเข้าประเมินบ้านก่อนสงกรานต์
หลังสงกรานต์ ซึ่งคือวันนี้ จนท. แจ้งกลับมาว่า สามารถอนุมัติวงเงินกู้ได้ที่ 3,250,000 บาทเท่ากับที่มีการประมูลได้จากบังคับคดีเท่านั้น ทางแบงค์เสนอให้รับวงเงินเท่านี้ไปก่อนและอีก 6 เดือนมาขอกู้เพิ่มใหม่อีกรอบ หรือไม่ก็ใช้เป็นสินเชื่อธุรกิจซึ่งทางบ้านมีวงเงินอยู่แล้ว
ซึ่งทางเรามองว่าไม่แฟร์ เนื่องจากเราไม่ใช่ผู้ยื่นกู้เนื่องจากประมูลได้จากบังคับคดี เป็นแต่เพียงผู้ซื้อต่อมาอีกทอดหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับคนขาย ทางธนาคารจึงควรใช้ราคาประเมินปัจจุบัน และความสามารถในการชำระหนี้เป็นเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อมากกว่าราคาประมูลจากกรมบังคับคดี
และเราไม่เชื่อ จนท. ที่บอกว่า 6 เดือนมาขอกู้เพิ่ม นอกจากจะเสี่ยงว่าธนาคารจะไม่อนุมัติแล้ว (มีเพื่อนทำงานแบงค์แนะนำว่าถ้าจะกู้ให้ทำเรื่องทีเดียว เสียค่าใช้จ่ายทีเดียวและโดยส่วนใหญ่หลังจากปล่อยกู้ไปแล้ว ธนาคารจะดูประวัติการขำระก่อนอีก 1 ปีจึงจะขอกู้เพิ่มได้) เรามองว่าอัตราดอกเบี้ยที่ขอกู้เพิ่มจะเป็นคนละเรทกับดอกเบี้ยบ้าน และเสียสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี
หรือหากให้เอาวงเงินสินเชื่อธุรกิจมาใช้ ก็จะเป็นการดึงเงินออกจากระบบ ซึ่งตรงนี้ใช้สำหรับหมุนในกิจการ ไม่ควรดึงออกมาใช้
จึงอยากขอคำปรึกษา ใครที่มีความรู้ทางด้านนี้ (หรือหากธนาคารชี้แจงได้จะดีมาก เนื่องจากสาขาที่ยื่นกู้แจ้งแต่เพียงว่าปล่อยกู้ได้เท่าราคาประมูล) หรือเคยมีเคสใกล้เคียงกัน ขอความอนุเคราะห์แชร์ข้อมูลด้วยค่ะ
ปล. เรากับแฟนมีเงินสำรองประมาณนึงค่ะ พอจ่ายค่าส่วนต่าง แต่อยากกันไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินและแต่งบ้านมากกว่า