ช่วงนี้ออกจากงานประจำมาพักฟื้นร่างกายตัวเอง และดูแลพ่อ เลยอยากเขียนบันทึกเรื่องที่เพิ่งรู้ (เมื่ออายุถึงป่านนี้แล้ว

) มาแบ่งปัน เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง
เรื่องของเรื่องก็คือ พอออกจากงาน ก็ได้มาเป็นฟรีแลนซ์ช่วยงานเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่นางให้โจทย์มาคือ ทำยังไงให้คนตระหนักถึงความเสี่ยงของโรคๆ หนึ่งที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเราเนี่ยแหละ
ซึ่งพอคุยถึงเรื่องนี้ ก็ตามมาด้วยทางลัดว่าพอคนเป็นโรค ก็หาตัวช่วยมากกว่าที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง ตัวช่วยที่ว่าก็คืออาหารเสริมซึ่งมีอยู่เยอะมากๆๆๆๆ ส่วนตัวเราเอง แม้จะเพิ่งหายจากป่วยหนักมาไม่กี่เดือน แต่ยอมรับเลยว่าไม่อินกับเรื่องสุขภาพ อาหารเสริมอะไรทั้งนั้น (ก็คงเพราะไม่ดูแลตัวเองเนี่ยแหละมั้ง ป่วยทีถึงหนักเลย

555) ช่วยงานมาได้สักพัก คุยกับเภสัช เพื่อนหมอ เจ้าของธุรกิจอาหารเสริม คนทำการตลาด เลยได้ข้อมูลว่า โอ้ว มีหลายสิ่งอันเหลือเกินที่เราไม่รู้มาก่อน...
หมายเหตุ ขอใช้ภาษาบ้านๆ แบบที่เราเข้าใจ หากไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ต้องขออภัยด้วยค่ะ
อะไรบ้างที่อาหารเสริมไม่ได้บอกเรา
หรือบางทีก็บอกไม่หมด หรือตั้งใจบอกแบบกระซิบๆ
1. ไม่บอกชื่อโรงงานผู้ผลิต แต่ที่ชอบบอกมากๆ คือนำเข้าจากประเทศไหน
2. ไม่บอกว่าที่นำเข้าจากประเทศนั้นๆ น่ะ หมายถึงนำเข้ามาทั้งยวง หรือนำเข้าเฉพาะส่วนประกอบบางอย่างเท่านั้น แล้วที่เหลือล่ะ?
3. ไม่บอกข้อมูลโรงงานผู้ผลิต ว่าเป็นโรงงานประเภทไหน มีมาตรฐานอะไร ซึ่งความเป็นจริงโรงงานผลิตอาหารเสริมทั่วไปที่มีอยู่เยอะมากๆ ในบ้านเรา ก็มีตั้งแต่โรงงานห้องแถวไปจนโรงงานขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่โรงงานผลิตยา อ้าว แล้วทำไมต้องเป็นโรงงานผลิตยา ก็มันเป็นอาหารเสริม ใช่สิ เพราะเค้าไม่บอกไงว่า...
4. โรงงานผลิตยา จะมีมาตรฐานที่ดีกว่า ปลอดภัยกว่า สะอาดกว่า เช่น แยกส่วนการผลิตขั้นตอนต่างๆ มีระบบหล่อเย็น ฆ่าเชื้อ มีการเก็บรักษา การขนส่งที่รักษาสภาพ ไปจนถึงเทคโนโลยีในการสกัด (ไม่แน่ใจว่าส่วนใหญ่โรงงานบ้านเราสกัดได้ด้วยหรือเปล่า หรือเป็นแค่โรงงานผสมกับบรรจุเท่านั้น) ซึ่งก็ฟังดูมีเหตุผลที่ต้นทุนการผลิตจะสูงกว่าถ้าใช้โรงงานผลิตยาเป็นผู้ผลิต
5. ไม่บอกที่อยู่บริษัทเจ้าของแบรนด์ (ผู้นำเข้าหรือสั่งผลิตเอง) หรือหากมีที่อยู่ ถ้าลองตามไปดูอาจพบอะไรน่าสนใจอีกหลายอย่าง
6. ไม่บอกว่าจริงๆ แล้วแค่ส่งไปผลิตต่างประเทศ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือเท่านั้นแหละ ของข้างในก็บ้านๆ แต่อันนี้หมายเหตุนิดหนึ่งว่า บางครั้ง เทคโนโลยีการผลิตบางอย่าง บางประเทศก็ทำได้ดีกว่าโรงงานในไทย
7. ไม่บอกว่าบรรจุภัณฑ์ที่เลือกใช้ เหมาะกับการรักษาสภาพอาหารเสริมให้มีคุณภาพตามที่คุยไว้จริงหรือเปล่า หรือแค่เน้นสวย ดูแพง แต่ปล่อยความชื้นเข้าไปได้
8. ไม่บอกว่าอาหารเสริมทำอะไรได้ อันนี้แน่นอน กฏหมายห้ามอาหารเสริมโฆษณาสรรพคุณ เข้มงวดหน่อยก็ให้ใส่กำกับตัวมดเล็กไปว่า “ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค” อ้าว (1) แล้วเราจะกินไปเพื่ออะไรในเมื่อบำรุงไปก็ไม่ได้ป้องกันอยู่ดี อ้าว (2) แล้วทำไมตัวแทนพูดเย้วๆ ว่าทำนู่นได้ทำนี่ได้
9. อันนี้ไม่ใช่ไม่บอก แต่หนักกว่านั้น คือชอบโชว์เลข FDA (Food and Drug Administration องค์การอาหารและยาของสหรัฐ) แต่พอเอาเลขนั้นไปค้นหากลับไม่เจอตัว แล้วเลขนี้ท่านได้แต่ใดมา...
10. ไม่บอกว่ากฎหมายไม่บังคับให้ต้องมีงานวิจัยทางการแพทย์รับรอง แล้วยังไงจ๊ะ ขอเล่าแยกข้อต่อไปเลย
11. ธุรกิจอาหารเสริมหลายเจ้า ตั้งธุรกิจขึ้นมา หาเภสัชกร นักเคมี นักวิทย์ฯ อาหาร หรือนักโภชนาการมา ปรุงสูตร สั่งผลิต แล้วก็ขาย สูตรที่ว่าก็มาจากความรู้ของท่านๆ เหล่านี้แหละ ซึ่งเก่งจริง แม่นจริงแค่ไหนเราไม่รู้ได้ เค้าเรียนมา เค้าก็มีข้อมูลว่าส่วนผสมอันนี้ใช้เพื่ออะไร ดียังไง เอาดีของอันนู้น มาผสมกับดีของอันนี้ ยังไงก็ต้องดีแน่ๆ “แต่” พอไม่มีงานวิจัยทารแพทย์ ก็ไม่มีอะไรรับรองว่า ส่วนผสมเมื่อรวมกันแล้วเป็นอย่างไร มากไปน้อยไปหรือเปล่า คนแต่ละกลุ่มใช้แล้วเป็นอย่างไร ใช้ได้นานแค่ไหน ทำให้บอกประสิทธิภาพไม่ได้ น่ากลัวที่สุดคือบอกไม่ได้เลยว่ามันจะสะสมในร่างกายเราหรือเปล่า

ปลอดภัยจริงเหรอ
12. ไม่บอกว่าใครๆ ก็สั่งผลิตอาหารเสริมของตัวเองได้ ไม่ต่างจากขายครีม เพราะมีโรงงานพร้อมนักทั้งหลายในข้อ 9 พร้อมเป็น 1 Stop Service
13. ไม่บอกว่าผู้มอบรางวัลเหรียญทองเกียรติบัตรมหัศจรรย์ทั้งหลายนั้น มีตัวตนอยู่จริงและเซียนพอที่จะตัดสินรางวัลจริงๆ อย่างไร แต่บอกได้ตรงนี้ ว่ากราฟิกเหรียญทองทั้งหลายหาได้ตามเว็บสต๊อกเวกเตอร์ 555
14. ไม่บอกว่าสิทธิบัตร (Patent) รวมถึงรางวัลทั้งหลายในข้อ 12 ที่ได้มาโชว์หราโฆษณาอยู่นั้น เป็นของตัวอาหารเสริม Finish Goods หรือแค่ของส่วนประกอบหนึ่งข้างในเท่านั้น
15. บอกมั่งไม่บอกมั่งว่า กินบำรุง กินป้องกัน กินรักษา ต้องกินในปริมาณไม่เท่ากัน แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีการวิจัยทางการแพทย์บอกนะ อ้าว แล้วใครบอก
16. แบรนด์อาหารเสริมไม่อยู่ยั้งยืนยง (เว้นแต่ยักษ์ใหญ่ชื่อดังทุนหนาไม่กี่แบรนด์) แต่แบรนด์เหล่านี้อายุสั้น ใช้กลยุทธ์ขายตรง ขายส่งเน้นให้ตัวแทนซื้อไปสต๊อก (ตัวแทนก็โฆษณาใหญ่ ไม่กลัวกฎหมายที่พูดถึงในข้อ 6) รายใหญ่ไปปล่อยรายย่อย กินกำไร แบรนด์ทำการตลาด หาดารามาถือ เทขายๆ พอได้เวลาก็แยกย้าย ไปทำแบรนด์ใหม่ดีกว่า เมื่อถึงเวลานั้นที่แบรนด์ไม่ทำการตลาดแล้ว ตัวแทนทั้งหลายก็เทขายตัดราคากัน เมื่อนั้นคนขายอาจจะพูดว่าระวังของเลียนแบบราคาถูก ลูกค้าก็ไม่กล้าซื้อ เอ๊ะ ทำไมราคาต่างกันจัง ประมาณนั้น
17. ไม่บอกว่าต้นทุนเท่าไร แน่ล่ะ ใครจะบอกล่ะ แต่เราลองคิดเล่นๆ ว่า ค่าการตลาดมันต้องมากกว่าผลิตภัณฑ์มากแน่ๆ (แอบสะดุ้งตอนได้รับข้อมูลว่าหลายแบรนด์ต้นทุนไม่ถึงหนึ่ง แต่ขายเกินสิบ)
18. กลยุทธ์เอาผู้ใช้จริงมาโฆษณา หรือเอาดารามาถือ อาหารเสริมขายดีบางเว็บไซต์มีเนื้อหาผลิตภัณฑ์ไม่ถึง 1 ใน 5 ที่เหลือเป็นการแคปหน้าจอแชทมาโชว์ รูปดาราถือผลิตภัณฑ์มาโชว์ คำถามคือ ใครแชท-คนแชทใช่คนใช้หรือเปล่า ดาราถือ-ดารากินหรือเปล่า
สุดท้ายนี้ไม่เกี่ยวกับอาหารเสริม แต่เป็นเกร็ดๆ ที่ได้มาตอนเก็บข้อมูล
- หน่วยงานที่สุ่มตรวจคุณภาพอาหารและยาก็คงทำงานหนักแหละ แต่คงดูได้ไม่ทั้งหมด และความจริงถ้าไม่มีคนร้องเรียน โอกาสสุ่มก็ยิ่งน้อยลง เป็นไปได้ไหมว่าอาหารเสริมบางแบรนด์อาจไม่ได้ใช้ส่วนผสมตามที่ยื่นขอไป
- กว่ายาตัวหนึ่งจะผ่านการยอมรับให้เป็นยา ต้องทดสอบแล้วทดสอบอีก ทั้งในสัตว์ทดลอง ในคน ใช้การวิจัยหลายต่อหลายเล่ม ใช้เวลาเป็นปีๆ ดูผลวิจัยทางการแพทย์ต่างๆ ร่วม มีคณะกรรมการกำกับและขั้นตอนอีกมหาศาล บริษัทยายักษ์ใหญ่สายป่านยาวย่อมได้เปรียบ เพราะพอเป็นยา ยังไงคนก็ต้องใช้ ผลประโยชน์ที่ตามมาก็คงมหาศาล นี่คงเป็นต้นกำเนิดของสติ๊กเกอร์ที่ติดตามห้องพักแพทย์ในโรงพยาบาลว่า “ห้ามทัวแทนยาเข้า”
- ร่างกายแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนกัน พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็ต่างกัน
- อาหารเสริมเลวๆ น่าจะมีเยอะมาก อย่าซี้ซั้วกิน หาข้อมูล และความน่าเชื่อถือของข้อมูลนั้นๆ ก่อน
- อาหารเสริมดีๆ ก็มี มันอาจจะช่วยให้ร่างกายทำงานบางอย่างได้ดีขึ้น แบบที่ให้เราทำเองก็ทำไม่ไม่ไหว แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะปลอดภัยในระยะยาว
หาข้อมูล และความน่าเชื่อถือของข้อมูลนั้นๆ ก่อน เช่นกัน
อะไรที่อาหารเสริมไม่ได้บอกเรา
เรื่องของเรื่องก็คือ พอออกจากงาน ก็ได้มาเป็นฟรีแลนซ์ช่วยงานเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่นางให้โจทย์มาคือ ทำยังไงให้คนตระหนักถึงความเสี่ยงของโรคๆ หนึ่งที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเราเนี่ยแหละ
ซึ่งพอคุยถึงเรื่องนี้ ก็ตามมาด้วยทางลัดว่าพอคนเป็นโรค ก็หาตัวช่วยมากกว่าที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง ตัวช่วยที่ว่าก็คืออาหารเสริมซึ่งมีอยู่เยอะมากๆๆๆๆ ส่วนตัวเราเอง แม้จะเพิ่งหายจากป่วยหนักมาไม่กี่เดือน แต่ยอมรับเลยว่าไม่อินกับเรื่องสุขภาพ อาหารเสริมอะไรทั้งนั้น (ก็คงเพราะไม่ดูแลตัวเองเนี่ยแหละมั้ง ป่วยทีถึงหนักเลย
หมายเหตุ ขอใช้ภาษาบ้านๆ แบบที่เราเข้าใจ หากไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ต้องขออภัยด้วยค่ะ
อะไรบ้างที่อาหารเสริมไม่ได้บอกเรา
หรือบางทีก็บอกไม่หมด หรือตั้งใจบอกแบบกระซิบๆ
1. ไม่บอกชื่อโรงงานผู้ผลิต แต่ที่ชอบบอกมากๆ คือนำเข้าจากประเทศไหน
2. ไม่บอกว่าที่นำเข้าจากประเทศนั้นๆ น่ะ หมายถึงนำเข้ามาทั้งยวง หรือนำเข้าเฉพาะส่วนประกอบบางอย่างเท่านั้น แล้วที่เหลือล่ะ?
3. ไม่บอกข้อมูลโรงงานผู้ผลิต ว่าเป็นโรงงานประเภทไหน มีมาตรฐานอะไร ซึ่งความเป็นจริงโรงงานผลิตอาหารเสริมทั่วไปที่มีอยู่เยอะมากๆ ในบ้านเรา ก็มีตั้งแต่โรงงานห้องแถวไปจนโรงงานขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่โรงงานผลิตยา อ้าว แล้วทำไมต้องเป็นโรงงานผลิตยา ก็มันเป็นอาหารเสริม ใช่สิ เพราะเค้าไม่บอกไงว่า...
4. โรงงานผลิตยา จะมีมาตรฐานที่ดีกว่า ปลอดภัยกว่า สะอาดกว่า เช่น แยกส่วนการผลิตขั้นตอนต่างๆ มีระบบหล่อเย็น ฆ่าเชื้อ มีการเก็บรักษา การขนส่งที่รักษาสภาพ ไปจนถึงเทคโนโลยีในการสกัด (ไม่แน่ใจว่าส่วนใหญ่โรงงานบ้านเราสกัดได้ด้วยหรือเปล่า หรือเป็นแค่โรงงานผสมกับบรรจุเท่านั้น) ซึ่งก็ฟังดูมีเหตุผลที่ต้นทุนการผลิตจะสูงกว่าถ้าใช้โรงงานผลิตยาเป็นผู้ผลิต
5. ไม่บอกที่อยู่บริษัทเจ้าของแบรนด์ (ผู้นำเข้าหรือสั่งผลิตเอง) หรือหากมีที่อยู่ ถ้าลองตามไปดูอาจพบอะไรน่าสนใจอีกหลายอย่าง
6. ไม่บอกว่าจริงๆ แล้วแค่ส่งไปผลิตต่างประเทศ เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือเท่านั้นแหละ ของข้างในก็บ้านๆ แต่อันนี้หมายเหตุนิดหนึ่งว่า บางครั้ง เทคโนโลยีการผลิตบางอย่าง บางประเทศก็ทำได้ดีกว่าโรงงานในไทย
7. ไม่บอกว่าบรรจุภัณฑ์ที่เลือกใช้ เหมาะกับการรักษาสภาพอาหารเสริมให้มีคุณภาพตามที่คุยไว้จริงหรือเปล่า หรือแค่เน้นสวย ดูแพง แต่ปล่อยความชื้นเข้าไปได้
8. ไม่บอกว่าอาหารเสริมทำอะไรได้ อันนี้แน่นอน กฏหมายห้ามอาหารเสริมโฆษณาสรรพคุณ เข้มงวดหน่อยก็ให้ใส่กำกับตัวมดเล็กไปว่า “ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค” อ้าว (1) แล้วเราจะกินไปเพื่ออะไรในเมื่อบำรุงไปก็ไม่ได้ป้องกันอยู่ดี อ้าว (2) แล้วทำไมตัวแทนพูดเย้วๆ ว่าทำนู่นได้ทำนี่ได้
9. อันนี้ไม่ใช่ไม่บอก แต่หนักกว่านั้น คือชอบโชว์เลข FDA (Food and Drug Administration องค์การอาหารและยาของสหรัฐ) แต่พอเอาเลขนั้นไปค้นหากลับไม่เจอตัว แล้วเลขนี้ท่านได้แต่ใดมา...
10. ไม่บอกว่ากฎหมายไม่บังคับให้ต้องมีงานวิจัยทางการแพทย์รับรอง แล้วยังไงจ๊ะ ขอเล่าแยกข้อต่อไปเลย
11. ธุรกิจอาหารเสริมหลายเจ้า ตั้งธุรกิจขึ้นมา หาเภสัชกร นักเคมี นักวิทย์ฯ อาหาร หรือนักโภชนาการมา ปรุงสูตร สั่งผลิต แล้วก็ขาย สูตรที่ว่าก็มาจากความรู้ของท่านๆ เหล่านี้แหละ ซึ่งเก่งจริง แม่นจริงแค่ไหนเราไม่รู้ได้ เค้าเรียนมา เค้าก็มีข้อมูลว่าส่วนผสมอันนี้ใช้เพื่ออะไร ดียังไง เอาดีของอันนู้น มาผสมกับดีของอันนี้ ยังไงก็ต้องดีแน่ๆ “แต่” พอไม่มีงานวิจัยทารแพทย์ ก็ไม่มีอะไรรับรองว่า ส่วนผสมเมื่อรวมกันแล้วเป็นอย่างไร มากไปน้อยไปหรือเปล่า คนแต่ละกลุ่มใช้แล้วเป็นอย่างไร ใช้ได้นานแค่ไหน ทำให้บอกประสิทธิภาพไม่ได้ น่ากลัวที่สุดคือบอกไม่ได้เลยว่ามันจะสะสมในร่างกายเราหรือเปล่า
12. ไม่บอกว่าใครๆ ก็สั่งผลิตอาหารเสริมของตัวเองได้ ไม่ต่างจากขายครีม เพราะมีโรงงานพร้อมนักทั้งหลายในข้อ 9 พร้อมเป็น 1 Stop Service
13. ไม่บอกว่าผู้มอบรางวัลเหรียญทองเกียรติบัตรมหัศจรรย์ทั้งหลายนั้น มีตัวตนอยู่จริงและเซียนพอที่จะตัดสินรางวัลจริงๆ อย่างไร แต่บอกได้ตรงนี้ ว่ากราฟิกเหรียญทองทั้งหลายหาได้ตามเว็บสต๊อกเวกเตอร์ 555
14. ไม่บอกว่าสิทธิบัตร (Patent) รวมถึงรางวัลทั้งหลายในข้อ 12 ที่ได้มาโชว์หราโฆษณาอยู่นั้น เป็นของตัวอาหารเสริม Finish Goods หรือแค่ของส่วนประกอบหนึ่งข้างในเท่านั้น
15. บอกมั่งไม่บอกมั่งว่า กินบำรุง กินป้องกัน กินรักษา ต้องกินในปริมาณไม่เท่ากัน แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีการวิจัยทางการแพทย์บอกนะ อ้าว แล้วใครบอก
16. แบรนด์อาหารเสริมไม่อยู่ยั้งยืนยง (เว้นแต่ยักษ์ใหญ่ชื่อดังทุนหนาไม่กี่แบรนด์) แต่แบรนด์เหล่านี้อายุสั้น ใช้กลยุทธ์ขายตรง ขายส่งเน้นให้ตัวแทนซื้อไปสต๊อก (ตัวแทนก็โฆษณาใหญ่ ไม่กลัวกฎหมายที่พูดถึงในข้อ 6) รายใหญ่ไปปล่อยรายย่อย กินกำไร แบรนด์ทำการตลาด หาดารามาถือ เทขายๆ พอได้เวลาก็แยกย้าย ไปทำแบรนด์ใหม่ดีกว่า เมื่อถึงเวลานั้นที่แบรนด์ไม่ทำการตลาดแล้ว ตัวแทนทั้งหลายก็เทขายตัดราคากัน เมื่อนั้นคนขายอาจจะพูดว่าระวังของเลียนแบบราคาถูก ลูกค้าก็ไม่กล้าซื้อ เอ๊ะ ทำไมราคาต่างกันจัง ประมาณนั้น
17. ไม่บอกว่าต้นทุนเท่าไร แน่ล่ะ ใครจะบอกล่ะ แต่เราลองคิดเล่นๆ ว่า ค่าการตลาดมันต้องมากกว่าผลิตภัณฑ์มากแน่ๆ (แอบสะดุ้งตอนได้รับข้อมูลว่าหลายแบรนด์ต้นทุนไม่ถึงหนึ่ง แต่ขายเกินสิบ)
18. กลยุทธ์เอาผู้ใช้จริงมาโฆษณา หรือเอาดารามาถือ อาหารเสริมขายดีบางเว็บไซต์มีเนื้อหาผลิตภัณฑ์ไม่ถึง 1 ใน 5 ที่เหลือเป็นการแคปหน้าจอแชทมาโชว์ รูปดาราถือผลิตภัณฑ์มาโชว์ คำถามคือ ใครแชท-คนแชทใช่คนใช้หรือเปล่า ดาราถือ-ดารากินหรือเปล่า
สุดท้ายนี้ไม่เกี่ยวกับอาหารเสริม แต่เป็นเกร็ดๆ ที่ได้มาตอนเก็บข้อมูล
- หน่วยงานที่สุ่มตรวจคุณภาพอาหารและยาก็คงทำงานหนักแหละ แต่คงดูได้ไม่ทั้งหมด และความจริงถ้าไม่มีคนร้องเรียน โอกาสสุ่มก็ยิ่งน้อยลง เป็นไปได้ไหมว่าอาหารเสริมบางแบรนด์อาจไม่ได้ใช้ส่วนผสมตามที่ยื่นขอไป
- กว่ายาตัวหนึ่งจะผ่านการยอมรับให้เป็นยา ต้องทดสอบแล้วทดสอบอีก ทั้งในสัตว์ทดลอง ในคน ใช้การวิจัยหลายต่อหลายเล่ม ใช้เวลาเป็นปีๆ ดูผลวิจัยทางการแพทย์ต่างๆ ร่วม มีคณะกรรมการกำกับและขั้นตอนอีกมหาศาล บริษัทยายักษ์ใหญ่สายป่านยาวย่อมได้เปรียบ เพราะพอเป็นยา ยังไงคนก็ต้องใช้ ผลประโยชน์ที่ตามมาก็คงมหาศาล นี่คงเป็นต้นกำเนิดของสติ๊กเกอร์ที่ติดตามห้องพักแพทย์ในโรงพยาบาลว่า “ห้ามทัวแทนยาเข้า”
- ร่างกายแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนกัน พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็ต่างกัน
- อาหารเสริมเลวๆ น่าจะมีเยอะมาก อย่าซี้ซั้วกิน หาข้อมูล และความน่าเชื่อถือของข้อมูลนั้นๆ ก่อน
- อาหารเสริมดีๆ ก็มี มันอาจจะช่วยให้ร่างกายทำงานบางอย่างได้ดีขึ้น แบบที่ให้เราทำเองก็ทำไม่ไม่ไหว แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะปลอดภัยในระยะยาว หาข้อมูล และความน่าเชื่อถือของข้อมูลนั้นๆ ก่อน เช่นกัน