เนื่องในวันหยุด 13-15 เมษายนที่ผ่านมา ผมมีได้โอกาสไปพักร้อนที่กาญจนบุรีมาครับ จึงขอมาเล่าประสบการณ์ให้เพื่อนๆได้อ่านกันครับ
ด้วยความที่อยากเที่ยวให้ได้หลายๆที่ในเมืองกาญฯ ผมจึงได้หาข้อมูลการเช่ารถมอเตอร์ไซด์มาครับคำนวนเส้นทางแล้ว น่าจะขับไหว
และได้มา 1 ร้านคือร้าน จ่าชา ที่ให้คนไทยเช่าได้ ราคาไม่แพงมาก รถใหม่ อยู่ใกล้ๆกับ บขส.กาญจนบุรีครับ
วันเดินทางผมออกจาก กรุงเทพฯ เวลาประมาณ 7.00 น. ถึงประมาน 10.30 น. ลงจากรถตู้มา เดินไปหาพี่วินเลยครับ ราคา 30 บาทไปถึงร้านเลยครับ
หลังจากผมเลือกรถได้แล้ว ผมออกจากร้าน 11.00 ครับ ระหว่างทางหาอะไรทานเรียบร้อย ไปถึงที่หมายตอน 14.00 น. ครับ
พอถึงที่หมาย อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ชำระค่าเข้า 100 บาทต่อคน ค่ามอเตอร์ไซด์ 20 บาทครับ
หลังจากนั้นไปจัดการเช่าที่ซุกหัวนอนก่อนเลย จะได้มีที่เก็บของ ที่นี่มีเต็นท์หลายขนาดครับอยู่ที่ความพึงพอใจเลย ผมเลือกเต็นท์ละ 225 บาท หมอน 20
ผ้าห่ม 20 แผ่นรองนอน 20 เมื่อเราเลือกได้แล้วจะมีเจ้าหน้าที่มากางเต็นท์ให้ครับ หรือเราจะไปช่วยกางก็ได้ (ควรเตรียมกุญแจดอกเล็กมาเพื่อล็อคเต็นท์ด้วยนะครับกันของหาย เตรียมมาซัก 2 ชุด)
เมื่อกางเต็นท์เรียบร้อย ก็ทำการสำรวจสถานที่ได้เลยครับ น่าเสียดายที่ช่วงวันที่ 13 เมษา น้ำเริ่มน้อยแล้ว ทำให้ภาพออกมาไม่ค่อยสวยเท่าที่ควร บวกกันผมดันลืมเอาขาตั้งกล้องมา ทำให้ไม่ได้มุมที่ต้องการเท่าไหร่ เพราะต้องวางกล้องไว้ที่พื้นเอาครับ
วันแรกผมเดินลงจากชั้นที่ 4 ครับ
และเดินลงมาอีกชั้นครับ
และจากนั้นก็เล่นน้ำครับ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
หลังจากเล่นน้ำเสร็จก็อาบน้ำ กินข้าวครับ ที่นี่มีค่อนข้างพร้อมเลย ห้องอาบน้ำ อาหารการกินราคาไม่แพง รสชาติพอใช้ได้
และเจ้าหน้าทุกคนบริการดีมากครับ ผมลืมบอก ตั้งแต่เข้ามาที่นี่เลย
เสร็จสิ้นภาระกิจในช่วงกลางวันแล้ว ต้องรีบนอนครับ เพราะคืนนี้ช่วงตี 2-4 ผมมีกิจกรรมพิเศษคือ การถ่ายทางช้างเผือกนั่นเอง
และแล้วก็ได้เวลา ผมตั้งนาฬิกาเวลาตี 1 ครับลุกมาตอน ตี 1.20 และบรรเลงการถ่ายดาวสำหรับค่ำคืนนี้เลย
เหมือนเดิมครับ เพราะไม่มีขาตั้งกล้องเลนต้องวางกล้องกับพื้น จัดคอมโพส หาแนวดาวและถ่าย..
ใบแรกพยายามหาโฟรกราว เพราะจำเป็นต้องวางกล้องกับพื้น เลยใช้ตากล้องด้วยกันนี่แหละครับเป็นโฟรกราวซะ
ใบที่สอง ถ่ายหน้าเต็นท์นอน
ใบสุดท้าย มุดป่า
และก็นอนต่อยันเช้าครับ ไม่ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยซ้ำ หลับยาว
ช่วงเช้าก็แก้มือกับมุมมหาชนอีกสักที
รู้สึกทำไมมุมมันไม่โอเค มัวแต่คิดว่าไม่มีขาตั้งกล้อง หรือฝีมือเรามันได้แค่นี้ว้าาาา
และปิดท้ายชั้นบนครับ ส่วนชั้นอื่นๆ ไม่ค่อยมีน้ำ
จบทริปห้วยแม่ขมิ้นครับ คืนต่อไปคือน้ำตกเอราวัณ
จองเต็นท์ และเข้าพักเรียบร้อย ค่าเข้าฟรีครับวันนี้ ค่าเต็นท์ ราคาพอๆกัน
ส่วนน้ำตกทั้ง 7 ชั้นนั้น ผมตัดสินใจไม่ถ่าย เพราะคนเยอะมาก และน้ำน้อยมาก เข้าใจว่าเป็นช่วงเทศกาลด้วย
ในส่วนของที่พักและห้องน้ำ เหมือนที่เอราวัณจะรองรับนักท่องเที่ยวได้น้อยกว่า ห้องน้ำไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ถ้าเทียบกับอุทยานเขื่อนศรีนครินทร์ครับ
ที่นี่ผมมาเป็นครั้งที่ 2 แต่ครั้งนี้รู้สึกเฟลๆนิดหน่อย ดาวก็ไม่ต้องพูดถึง ที่นี่สว่างเกินไป เลยนอนซะส่วนใหญ่ครับ
วันสุดท้ายก่อนกลับ ผมแวะวัดถ้ำพุหว้าด้วยครับ
ก่อนเอารถไปคืน ไปสะดุดตากับร้านอาหารและรีสอร์ทร้านนี้เข้าให้
ขับรถมาร้อนๆ แวะสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน
และก็เอารถไปคืนร้านจ่าชาครับ ลืมบอกว่าร้านนี้อยู่ใกล้แค่ 500 เมตรเท่านั้นครับ
จบทริปสบายๆกลับกรุงเทพฯครับผม ส่วนค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3000-4000 แล้วแต่ลักษณะการกินของแต่ละท่านเลยครับ
[CR] หนีร้อนเที่ยวน้ำตก นอนดูดาว ไหว้พระ นอนเต็นท์ 3 วัน 2 คืน เมืองกาญครับ
ด้วยความที่อยากเที่ยวให้ได้หลายๆที่ในเมืองกาญฯ ผมจึงได้หาข้อมูลการเช่ารถมอเตอร์ไซด์มาครับคำนวนเส้นทางแล้ว น่าจะขับไหว
และได้มา 1 ร้านคือร้าน จ่าชา ที่ให้คนไทยเช่าได้ ราคาไม่แพงมาก รถใหม่ อยู่ใกล้ๆกับ บขส.กาญจนบุรีครับ
วันเดินทางผมออกจาก กรุงเทพฯ เวลาประมาณ 7.00 น. ถึงประมาน 10.30 น. ลงจากรถตู้มา เดินไปหาพี่วินเลยครับ ราคา 30 บาทไปถึงร้านเลยครับ
หลังจากผมเลือกรถได้แล้ว ผมออกจากร้าน 11.00 ครับ ระหว่างทางหาอะไรทานเรียบร้อย ไปถึงที่หมายตอน 14.00 น. ครับ
พอถึงที่หมาย อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ชำระค่าเข้า 100 บาทต่อคน ค่ามอเตอร์ไซด์ 20 บาทครับ
หลังจากนั้นไปจัดการเช่าที่ซุกหัวนอนก่อนเลย จะได้มีที่เก็บของ ที่นี่มีเต็นท์หลายขนาดครับอยู่ที่ความพึงพอใจเลย ผมเลือกเต็นท์ละ 225 บาท หมอน 20
ผ้าห่ม 20 แผ่นรองนอน 20 เมื่อเราเลือกได้แล้วจะมีเจ้าหน้าที่มากางเต็นท์ให้ครับ หรือเราจะไปช่วยกางก็ได้ (ควรเตรียมกุญแจดอกเล็กมาเพื่อล็อคเต็นท์ด้วยนะครับกันของหาย เตรียมมาซัก 2 ชุด)
เมื่อกางเต็นท์เรียบร้อย ก็ทำการสำรวจสถานที่ได้เลยครับ น่าเสียดายที่ช่วงวันที่ 13 เมษา น้ำเริ่มน้อยแล้ว ทำให้ภาพออกมาไม่ค่อยสวยเท่าที่ควร บวกกันผมดันลืมเอาขาตั้งกล้องมา ทำให้ไม่ได้มุมที่ต้องการเท่าไหร่ เพราะต้องวางกล้องไว้ที่พื้นเอาครับ
วันแรกผมเดินลงจากชั้นที่ 4 ครับ
และเดินลงมาอีกชั้นครับ
และจากนั้นก็เล่นน้ำครับ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
หลังจากเล่นน้ำเสร็จก็อาบน้ำ กินข้าวครับ ที่นี่มีค่อนข้างพร้อมเลย ห้องอาบน้ำ อาหารการกินราคาไม่แพง รสชาติพอใช้ได้
และเจ้าหน้าทุกคนบริการดีมากครับ ผมลืมบอก ตั้งแต่เข้ามาที่นี่เลย
เสร็จสิ้นภาระกิจในช่วงกลางวันแล้ว ต้องรีบนอนครับ เพราะคืนนี้ช่วงตี 2-4 ผมมีกิจกรรมพิเศษคือ การถ่ายทางช้างเผือกนั่นเอง
และแล้วก็ได้เวลา ผมตั้งนาฬิกาเวลาตี 1 ครับลุกมาตอน ตี 1.20 และบรรเลงการถ่ายดาวสำหรับค่ำคืนนี้เลย
เหมือนเดิมครับ เพราะไม่มีขาตั้งกล้องเลนต้องวางกล้องกับพื้น จัดคอมโพส หาแนวดาวและถ่าย..
ใบแรกพยายามหาโฟรกราว เพราะจำเป็นต้องวางกล้องกับพื้น เลยใช้ตากล้องด้วยกันนี่แหละครับเป็นโฟรกราวซะ
ใบที่สอง ถ่ายหน้าเต็นท์นอน
ใบสุดท้าย มุดป่า
และก็นอนต่อยันเช้าครับ ไม่ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยซ้ำ หลับยาว
ช่วงเช้าก็แก้มือกับมุมมหาชนอีกสักที
รู้สึกทำไมมุมมันไม่โอเค มัวแต่คิดว่าไม่มีขาตั้งกล้อง หรือฝีมือเรามันได้แค่นี้ว้าาาา
และปิดท้ายชั้นบนครับ ส่วนชั้นอื่นๆ ไม่ค่อยมีน้ำ
จบทริปห้วยแม่ขมิ้นครับ คืนต่อไปคือน้ำตกเอราวัณ
จองเต็นท์ และเข้าพักเรียบร้อย ค่าเข้าฟรีครับวันนี้ ค่าเต็นท์ ราคาพอๆกัน
ส่วนน้ำตกทั้ง 7 ชั้นนั้น ผมตัดสินใจไม่ถ่าย เพราะคนเยอะมาก และน้ำน้อยมาก เข้าใจว่าเป็นช่วงเทศกาลด้วย
ในส่วนของที่พักและห้องน้ำ เหมือนที่เอราวัณจะรองรับนักท่องเที่ยวได้น้อยกว่า ห้องน้ำไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ถ้าเทียบกับอุทยานเขื่อนศรีนครินทร์ครับ
ที่นี่ผมมาเป็นครั้งที่ 2 แต่ครั้งนี้รู้สึกเฟลๆนิดหน่อย ดาวก็ไม่ต้องพูดถึง ที่นี่สว่างเกินไป เลยนอนซะส่วนใหญ่ครับ
วันสุดท้ายก่อนกลับ ผมแวะวัดถ้ำพุหว้าด้วยครับ
ก่อนเอารถไปคืน ไปสะดุดตากับร้านอาหารและรีสอร์ทร้านนี้เข้าให้
ขับรถมาร้อนๆ แวะสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน
และก็เอารถไปคืนร้านจ่าชาครับ ลืมบอกว่าร้านนี้อยู่ใกล้แค่ 500 เมตรเท่านั้นครับ
จบทริปสบายๆกลับกรุงเทพฯครับผม ส่วนค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3000-4000 แล้วแต่ลักษณะการกินของแต่ละท่านเลยครับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น