ห้องเพลง**คนรากหญ้า**พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสีไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียงเพลง 14/4/2561 - วันสังขารล่อง-วันเนา

กระทู้คำถาม


ดอกไม้หัวใจสวัสดีครับอมยิ้ม17 สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้วันเสาร์ MC แอ๊ด (WANG JIE หรือ ชื่อดั้งเดิม "พฤษภเสารี" สมาชิกเก่าห้อง รดน.ช่วงปี 2546-2550) ประจำการครับ ^^

วันนี้ ผ่าน "วันมหาสงกรานต์" คือเมื่อวานนี้ ซึ่งคนเหนือเรียกว่า "วันสังขารล่อง" มาแล้ว ก็จะขอกล่าวถึงสักเล็กน้อยในแบบของชาวเหนือล้านนา

วันสังขานต์ล่อง หรือ วันสังขารล่อง หรือ วันสังกรานต์ล่อง เป็นวันแรกของกิจกรรมปีใหม่ "สังขานต์" คือคำเดียวกับ "สงกรานต์" ในภาษาสันสกฤต (และภาษาบาลีคือ "สังกันตะ") ซึ่งแปลว่า "ก้าวล่วงแล้ว" วันสังขารล่องในภาษาล้านนา ตรงกับภาคกลาง คือวันมหาสงกรานต์ ถือเป็นวันสิ้นสุดของปีเก่า (การออก เสียง กร คนล้านนาจะออกเสียงเป็น ข เช่น คำว่า โกรธ ออกเสียงเป็น โขด คำว่า ชาวกรอม ออกเสียงเป็น ชาวขอม ดังนั้น"สงกรานต์" จึงออกเสียงเป็น "สังขานต์" ) ในหนังสือประเพณีสิบสองเดือนล้านนาให้ความหมายว่า สังกรานต์ หมายถึงวันเดือนปีที่ล่วงไป (มณี พยอมยงค์, ๒๕๔๓, หน้า ๕๖) ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ (๒๕๔๒, หน้า ๖๗๒๔) กล่าวถึงวันสังกรานต์ล่อง คือวันที่พระอาทิตย์โคจรไปสุดราศีมีน จะเข้าสู่ราศีเมษ

วันสังขารล่องในแต่ละปีอาจไม่ตรงกันทุกปี เช่น พ.ศ.๒๕๕๑ ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ ตรงกับวันที่ ๑๔ เมษายน (ปฏิทินล้านนา ฉบับวัดธาตุคำ) แต่ปัจจุบันนิยมยึดถือตามประกาศวันหยุดสงกรานต์ของทางราชการ ถือเอาวันที่ ๑๓ เมษายน ของทุกปีเป็นวันสังขานต์ล่อง (ดุสิต ชวชาติ. ประธานชมรมปักขะทืนล้านนา, สัมภาษณ์, ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑)

สิ่งสมมุติว่าเป็น ปู่สังขาร ย่าสังขาร แท้จริงคือ ตัวตนของเราที่กำลังไหลล่องไป ตามวัยของสังขาร มีอายุที่มากขึ้น จึงต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้ดีนั้น จะต้องขว้างทิ้งเสียสิ่งเศร้าหมอง ทีมีอยู่ในกาย วาจา และใจนั่นเอง

มีตำนานเล่าขานเรื่องที่มาของ "วันสังขารล่อง" ซึ่ง MC ได้แต่งเป็นคำกลอนไว้ที่ห้องนักเขียน ขอยกมาไว้ ณ ที่นี้เพื่อประกอบนะครับเผื่อท่านที่ไม่ได้เข้าห้องนั้นจะได้อ่านด้วย ดังต่อไปนี้...



เศรษฐีหนึ่งทรัพย์มากมายแต่ไร้บุตร
ชายขี้เหล้าเขาจุดประกายให้
ไปบนบานศาลกล่าวที่ต้นไทร
ท่านจักได้ลูกชายสมใจปอง

จึงพาศรีภรรยามาบนขอ
ไม่นานรอผ่านปีที่ทั้งสอง
ได้ลูกชายสมใจไว้ครอบครอง
นามนั้นต้องโฉลกล้ำธรรมบาล

ครั้นต่อมากุมารานั้นเป็นเลิศ
ด้วยปัญญาประเสริฐคนกล่าวขาน
วิชาในไตรเพทเขตตำนาน
เพียงไม่นานเจนจบครบเลื่องลือ

ทั้งวิเศษทุกประเภทสรรพสัตว์
ฟังรู้ชัดเหมือนผ่านอ่านหนังสือ
กิตติศัพท์งดงามนามระบือ
บัณฑิตชื่อธรรมบาลชาญวิชา

ระบือไกลขึ้นไปถึงพรหมโลก
จิตไหวโยกกบิลพรหมจมริษยา
ขอทดลองให้หายข้องใจสักครา
จึงหาญกล้าลงมาจากชั้นพรหม

ตั้งปุจฉาปริศนากับธรรมบาล
จงไขขานบอกกล่าวเล่าให้สม
หากเจ้าอาจแก้ไขได้ทุกปม
ไม่ตรอมตรมอายุยืนยาวไกล

แต่ถ้าเจ้าไม่อาจ คอขาดแน่
แม้ข้าแพ้ก็เช่นกันบั่นคอให้
เอาศีรษะเป็นประกันพนันไป
จากนี้ไซร้ให้คิดไขในเจ็ดวัน

ฟังปุจฉาปริศนาให้ถ้วนถี่
มนุษย์นี้ราศรีมีที่ไหนนั่น
สามยามเช้าทิวาและสายันต์

ครบเจ็ดวันตัวข้าจะมาฟัง

พรหมกบิลคืนถิ่นไปใจเริ่มคิด
ธรรมบาลข้องติดอยู่ทุกครั้ง
มิอาจแก้ท้อแท้เหลือกำลัง
จึงไปนั่งพักตนใต้ต้นไทร

เป็นไทรใหญ่โอฬารกิ่งก้านนัก
สกุณามาพักกันมากหลาย
พ่อแม่นกหัสดีลิงค์มาพิงกาย
แม่นกไตร่ถามพ่อนกถกเรื่องไป

พรุ่งนี้นั้นวันธรรมสวนะ
พวกเราจะหาอาหารกันที่ไหน
พ่อนกว่าแม่อย่าห่วง ณ ทรวงใน
พรุ่งนี้ไซร้เราจักได้กินเนื้อคน

เนื้อของหนุ่มธรรมบาลคงหวานแน่
ได้จริงแท้ไม่ต้องไปไกลแห่งหน
ปัญหาพรหมเขาจมปลักจักอับจน
มันเกินพ้นจะริวิสัชนา

แม่นกตกกังขามาสงสัย
จึงถามไปถึงคำไขและปุจฉา
พ่อนกจึงยกย้ำคำพรหมมา
ทุกวาจาแผ่ให้แม่นกฟัง

ว่ายามเช้าราศีที่ใบหน้า
คนตื่นมาจึงหาน้ำชำระหลั่ง
ล้างพักตรตนยามอุษามาทุกครั้ง
อีกสองยังต้องจำย้ำความใน

ยามทิวาราศีที่อุระ
คนจึงประแป้งทาหน้าอกไว้
พ้นสายันต์มันเลื่อนเคลื่อนลงไป
ที่ต่ำใต้คือเท้าสองต้องล้างกัน

โลกนี้คนทั้งหลายทั้งชายหญิง
ไม่ประวิงละเว้นกฏเกณฑ์นั่น
ก่อนเข้านอนรอก่อนล้างเท้าพลัน
มิแปรผันเรียบร้อยจึงค่อยนอน


นี่แหละแม่คำแก้ปริศนา
พ่อเคยรับสดับมาแต่เมื่อก่อน
ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ไซร้ไม่บั่นทอน
ต้องพร่ำสอนลูกหลานให้ได้ฟัง

ธรรมบาลพักสำราญใต้ต้นไม้
ก็จึงได้สดับรับขณะนั่ง
จดจำไว้ดีใจเหลือกำลัง
เปี่ยมความหวังชีวิตนี้มีต่อไป

ครบเจ็ดวันพลันพรหมนั้นลงมา
จากสวรรค์ชั้นฟ้าสู่โลกใต้
พบธรรมบาลพาลถามในทันใด
ว่าอย่างไรไขปริศนาให้ข้าฟัง

ธรรมบาลกุมารวิสัชนา
ตามคำว่าของนกยกมาตั้ง
จนครบถ้วนกระบวนความตามได้ฟัง
พรหมไหลหลั่งเหงื่อตกวิโยคใจ

เรียกเทวีธิดามาทั้งเจ็ด
บอกหัวพ่อถ้าระเห็จจากบ่าไซร้
เอาพานขันรับผลัดเปลี่ยนกันไป
วันปีใหม่สุริยาย้ายราศี

อย่าให้ตกพสุธาโลกาจะไหม้
ตกสมุทรไปน้ำแห้งเหือดไปทุกที่
แม้ขึ้นนภาฟ้าฝนจะไม่มี
จักแห้งแล้งสิ้นดีทั้งโลกา

ธิดาใหญ่นามว่าตุงสะเทวี
ที่สองนี้ชื่อโคราสัสสา
ที่สามราคะสัสสาคล้ายกันมา
ที่สี่มีนามว่ามณฑาเทวี

นางที่ห้าชื่อว่าสิริณี
ที่หกกิมินทามารศรี
มโหตราที่เจ็ดเบ็ดเสร็จดี
ผลัดเปลี่ยนกันทุกปีใหม่ที่มา

ถือพานขันรับศรีษะบิดาไว้
แห่แหนไปเขาไกรลาศไกลสุดหล้า
มิให้ตกลงที่ใดในโลกา
ปีใหม่หน้าค่อยเอามาอีกที

ผลัดเปลี่ยนกันนิรันดร์ไปไม่มีหยุด
กลายเป็นจุดเริ่มต้นประะเสริฐศรี
เป็นตำนานสังขารล่องแห่งปฐพี
ด้วยประการฉะนี้ สวัสดีเทอญ ฯ




ถัดจาก "วันสังขารล่อง" วันนี้ก็เป็นวันสงกรานต์วันที่สอง ซึ่งเรียกกันว่า "วันเนา"

คำว่า "เนา" นี้ เดิมคือ "เน่า" ครับ ถามว่า อะไรเน่า ?

มีตำนานทางเหนือ คัดมาจาก "ปั๊บธรรม" คือ ธรรมซึ่งจารึกไว้เป็นผูก ซึ่งอยู่ที่วัดครับ สมัยที่เป็นมหาเปรียญเคยเทศน์ด้วยสำเนียงลีลาแบบล้านนาทุกวันสงกรานต์ เนื้อหาทั้งหมดนั้นยาวมาก แต่ที่นำมาให้อ่านกันต่อไปนี้ เอาเฉพาะส่วนที่พูดถึง "วันเน่า" หรือวันเนา มาให้อ่านกัน

ลองมาอ่านฉบับคำเมืองลำปางกันดูก่อนนะครับ ดูซิว่าอ่านแล้วพอจะรู้เรื่องกันไหม ? หัวเราะ

"...อะตี๋ต๋าล่วงมาแล้วก็ยังมีกัปนึ่งนอกศาสนาพระตถาคะตะเจ้านั้น ยังมีผะญาต๋นนึ่งจื่อว่าสุริยะแห่งเมืองกะลิงคะราช เลี้ยงภูตผีปี๋ศาจไว้มากนัก เหตุดั่งอั้นบ้านเมืองนั้น ฝนจึ่งบ่ตกต๋ามฤดูก๋าล บ่เมินบ่นานเต้าใดผะญาต๋นนั้นก็ได้เถิงความต๋ายไปแล้วได้เป๋นเผดหัวกุดด้วนอยู่นอกขอบฟ้าจักรวาลหั้นแลฯ ส่วนว่าสองนางเตวีบ่เมินเต้าใดก็ต๋ายไปแถมเล่า เป๋นเผดเฝ้าขอบฟ้าจักรวาลตี้เดียวกั๋นกับผะญาต๋นนั้นแล นางเผดตึงสองนั้น กันว่าหันใส่ผะญาผู้เกยเป๋นผัวตั๋วในชาติก่อนนั้น ก็ปากั๋นแล่นเข้าไปสวมกอดผัวผะญาตี้หัวกุด กอดเต้าใดก็กอดบ่ได้ เหตุว่ามันนั้นไร้ซึ่งหัวนั้นแล ฯ ในเมื่อก๋าละฮอดวันปี๋ใหม่สังขารล่องไปแล้ววันลูนนั้นเล่า นางหน่อเหน้าเผดตึงสองนั้นก็ปากั๋นเอาน้ำมาฮดซ่วยล้างหัวผะญาผู้เป๋นเผดหัวกุดนั้นอันเน่าเหม็นหื้อหายเหม็นไปแล้วเล่า นางผู้เป๋นเมียเก๊าก็สวมกอดอยู่หั้น อันนี้แลคือเหตุเก๊าเหง้ามีมา คนตังหลายจึ่งฮ้องวันนั้นว่า วันเน่า แล้วกล๋ายเป๋น วันเนา นั้นแหละนา ..."

มีคำเหนือล้านนาทั้งเก่าและเก่ามากปะปนอยู่ครับ ขอเรียบเรียงแปลเป็นไทยให้ชัดเจน ดังนี้

"...อตีตล่วงมาแล้ว มีช่วงเวลา 1 กัลป์ อยู่นอกศาสนาพระตถาคต มีพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่า "สุริยะ" แห่งเมืองกลิงคราช ทรงเลี้ยงภูตผีปี๋ศาจเอาไว้มาก เพราะเหตุนั้น บ้านเมืองนั้น ฝนจึงไม่ตกตามฤดูกาล ไม่นานเท่าไร พระราชานั้นก็ได้สวรรคตไปแล้วได้เป็นเปรตหัวขาด อยู่ที่นอกขอบฟ้าแห่งจักรวาลนั่นแล ฯ ส่วนสองนางเทวี ไม่นานเท่าไรก็ตายไปอีก แล้วไปเป็นเปรตเฝ้าขอบฟ้าจักรวาลที่เดียวกันกับพระราชานั้นแล นางเปรตทั้งสองนั้น เมื่อมองเห็นพระราชาผู้เคยเป็นพระสวามีของตนในชาติก่อนนั้น ก็พากันแล่นเข้าไปสวมกอดอดีตพระสวามีซึ่งหัวขาด แต่กอดเท่าไรก็กอดไม่ได้ สาเหตุก็เพราะไม่มีคอไม่มีหัวนั่นเอง ฯ ในเมื่อถึงกาลแห่งวันปีใหม่ "สังขารล่อง" ไปแล้ว วันหลังจากนั้น นางเปรตทั้งสองนั้นก็พากันเอาน้ำมารด ซ่วยล้างศีรษะเปรตผู้เคยเป็นพระราชา ซึ่งเป็นเปรตหัวขาดและมีกลิ่นเน่าเหม็น ทำให้หายเหม็นครั้งแล้วครั้งเล่า นางผู้เคยเป็นมเหสีเอกก็สวมกอดอยู่อย่างนั้น นี่แหละคือสาเหตุที่มาตั้งแต่แรก คนทั้งหลายจึงเรียกวันนั้นว่า วันเน่า แล้วต่อมาจึงเพี้ยนคำกลายเป็นคำว่า "วันเนา"นั่นเอง..."

พึงระมัดระวัง สำหรับ "วันเนา" นี้ ที่คนเฒ่าคนแก่ โบราณาจารย์สอนกันมา คือ

"ห้าม พูดคำหยาบ คำด่า คำสบถ ผรุสวาจา ใดใด"

คนที่ชอบพูดคำอะไรติดปาก คงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

ถามว่า ถ้าเผลอพูดออกไป จะเป็นอย่างไร ?

ตอบว่า ถือกันว่า "คนพูด จะไร้โชคไปทั้งปี" ครับ! ยิ่งชอบซื้อหวยด้วยแล้วห้ามเด็ดขาด จะออกวันพรุ่งนี้ด้วย!หัวเราะ

อันนี้ก็เป็น "ความเชื่อส่วนบุคคล" นะครับ ส่วนตัว MC คิดว่าเป็น "กุสโลบาย" ที่ชาญฉลาดของคนโบราณในการสั่งสอนบุตรหลานหรือลูกศิษย์ลูกหา ให้พยายามละเว้น ผรุสวาจา หรือ ผรุสวาทะ (คำหยาบ) ให้พูดแต่ "ปิยวาจา" นั่นเอง

ขอจบด้วยกลอนที่ MC แต่งไว้เมื่อวานและลงไว้ในกระทู้ห้องเพลงเมื่อวาน อีกครั้งนะครับ




เครดิตภาพ จาก น.ส.พ.ไทยรัฐออนไลน์
https://www.thairath.co.th/content/1215027


เครดิตข้อมูลบางส่วน จาก http://library.cmu.ac.th/ntic/lannatradition/newsyear-sangkan.php

พบกันวันพรุ่งนี้ "วันพญาวัน" อีกวันหนึ่งครับ อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
MC 4 ช่อง มาแล้ว ^^

ตอน "มนุษย์อา"



ปะแป้ง ภาพ
ฮารุจัง บท
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่