[Review] A Quiet Place: เงียบ งัน ทรงพลัง [Spoil!]


By มาร์ตี้ แม็คฟราย

ไม่ว่ากระแสตอบรับของหนังจะเป็นอย่างไร เชื่อได้เลยว่าในมุมมองของนักวิจารณ์และสตูดิโอยักษ์ใหญ่ที่มองเรื่องคุณภาพของตัวหนัง คงต้องจดลิสต์ผู้กำกับมือใหม่ที่เป็นนักแสดงอย่าง จอห์น คราซินสกี้ ไว้อย่างดี ในกรณีที่อยากหาผู้กำกับฝีมือดีให้มารับผิดชอบโปรเจกต์ใหญ่ในอนาคตอย่างแน่นอน

จริง ๆ ตอนนี้ในช่วงนี้นับเป็นเวลาที่บรรดานักแสดงที่มีชื่อเสียงระดับกลาง ๆ เริ่มหันไปเอาดีทางด้านกำกับหนังกันเยอะทีเดียว ไล่ตั้งแต่ เกรต้า เกอร์วิก นักแสดงสาวที่หันไปกำกับหนังลุ้นออสการ์อย่าง Lady Brid (2017) ที่ได้เข้าชิงออสการ์ทั้งตัวหนังและตัวเธอเองในสาขาผู้กำกับอีกด้วย มาคราวนี้ก็ถึงคราวของคราซินสกี้ที่ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงนักแสดงสมทบแต่ตอนนี้ชื่อเสียงทางด้านผู้กำกับก็มาผลิดอกออกผลในคราวนี้ ในงานกำกับหนังเรื่องที่ 3 อย่าง A Quiet Place

มองที่ตัวหนัง หากใครดูแล้วจะเห็นว่าหนังเต็มไปด้วยท่าทีที่สงบเสงี่ยมเจียมตัว เสมือนว่าผู้กำกับและทีมเขียนบท (ซึ่งคราซินสกี้ทำหน้าที่นี้ทั้งสองตำแหน่ง) รู้จักหนังตัวเองเป็นอย่างดีว่าต้องการจะเล่าอะไร สเกลแค่ไหน ทำให้สิ่งที่เราเห็นในหนัง แม้ว่ามันจะสามารถขยายใหญ่จนกลายเป็นหนังฟอร์มยักษ์ได้สบาย ๆ แต่คราซินสกี้ไม่ได้ทำแบบนั้น ซึ่งถือเป็นข้อดีเพราะมีหนังหลายเรื่องที่ล่มปากอ่าวเพราะความเล่นเยอะเกินเหตุ  

กลายเป็นว่าหนังเล่าเรื่องเฉพาะครอบครัวเดียวในการเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาด (สันนิษฐานว่าเป็นเอเลี่ยน) โดยไม่จำเป็นต้องเล่าถึงที่มาของเหตุการณ์อะไรทั้งนั้น หนัง Set Up เงื่อนไขเพียงโลกที่การหลงเหลือของสายพันธุ์มนุษย์แทบจะหมดสิ้นไป และเอเลี่ยนเหล่านั้นตาบอด แต่มีหูเป็นเลิศในการจับเสียงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นั่นเท่ากับว่าครอบครัวนี้ต้องดำรงชีวิตท่ามกลางความเงียบ ที่เสียงทุกเสียงเป็นอันตรายต่อชีวิต

จากเงื่อนไขนั้นทำให้ตัวหนังจำเป็นต้องใช้ความเงียบให้เป็นประโยชน์สูงสุด เพราะความเงียบกลายเป็นความเป็นความตายของตัวละคร คล้ายกับหนังรัสเซียสุดดาร์กเมื่อหลายปีก่อนอย่าง The Tribe (2014) ที่ตลอดทั้งเรื่องมีเพียงภาษาใบ้ ไร้ดนตรีประกอบ มีแต่เสียงบรรยากาศเคล้าคลอไปด้วยเท่านั้น แต่กับ A Quiet Place ไม่ได้หนักข้อขนาดนั้น เพราะเรื่องราวยังเปิดให้หนังเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาได้ด้วยในบางครั้ง ทำให้เราได้ฝีมือการกำกับอันโดดเด่นเหลือเกินของคราซินสกี้ ที่กำกับอารมณ์คนดูได้อยู่หมัดทีเดียว เพราะการเล่าเรื่องผ่านสถานการณ์และการกระทำผ่านภาษามือนั้นไม่ใช่ง่าย ๆ แต่มันสะกดให้คนดูสามารถติดตามเรื่องราวได้ตั้งแต่ต้นจนจบ อีกทั้งการคุมโทนหนังในบรรยากาศที่วังเวงและไม่น่าไว้ใจทั้งกลางวันและกลางคืนนั้นทำได้ดี ซึ่งคราซินสกี้ที่ไม่เคยจับงานแนวทริลเลอร์สยองขวัญหน่อย ๆ แบบนี้มาก่อน สามารถทำหนังออกมาได้เป๊ะขนาดนี้ได้ยังไง?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากกดดันอย่างฉากคลอดลูกของ เอมิลี บลันต์ ที่ลงตัวไปเสียหมดทั้งการแสดง จังหวะการตัดต่อ และการเรียงลำดับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะเจาะ จนเสียงร้องอันเจ็บปวดของบลันต์ในฉากนั้นเป็นเสียงในน่าจดจำไปโดยปริยาย หรือแม้แต่ช่วงไคล์แมกซ์ที่หนังยังเสนอแง่มุมของความรักระหว่างพ่อ-ลูก นำมาสู่การเสียสละของพ่อ ก็อาจทำให้มีน้ำตาร่วงได้เหมือนกัน อีกทั้งด้วยความที่หนังเล่าเรื่องเฉพาะครอบครัวที่มีอยู่แค่ 4 คน ทำให้นักแสดงทุกคนต้องทำหน้าที่แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ ซึ่งทั้งหมดก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี โดยเฉพาะเอมิลี บลันต์ในฉากคลอดลูกอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้

แต่หนังก็มีจุดด้อยที่ดูขัดกับเรื่องราวที่ปูมาทั้งเรื่องอยู่บ้าง อย่างเช่นการที่สองสามีภรรยาดันตัดสินใจปล่อยให้ตั้งครรภ์ ทั้งที่ในสถานการณ์ที่โลกกำลังแตก และไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดได้ถึงเมื่อไหร่แบบนี้ พ่อแม่ที่ตัดสินใจมีลูกอีกคน คงเป็นพ่อแม่ที่เสียสติเกินไปเสียหน่อย หรือจะเป็นฉากที่เจอคนจรจัดที่แหกปากร้องฆ่าตัวตายแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและไม่มีการอธิบายใด ๆ แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดเข้าใจได้ว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อฉากอันน่าจดจำในภายหลังของเรื่อง ซึ่งมันกลบจุดด้อยตรงนี้ได้เยอะ

กล่าวโดยสรุปแล้ว นี่เป็นหนังที่หากคนที่ไม่เคยเจอบรรยากาศที่เงียบแบบนี้จากหนังเรื่องอื่นมาก่อน เรื่องนี้สามารถนับเป็นประสบการณ์ใหม่ได้เลย และหลังจากนี้เราคงจะต้องติดตามผลงานกำกับของคราซินสกี้ต่อไปอย่างใกล้ชิด

ขอบคุณรูปภาพจาก FB United International Pictures Thailand

ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่