เกิดใหม่ใต้กองขี้เถ้า
ฟุตบอลอังกฤษดำดิ่งถึงจุดต่ำสุดในยุค 1980 แต่ใครจะเชื่อว่าน้ำตาของ พอล แกสคอยน์ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กีฬาลูกหนังกลับมาอยู่ในศูนย์กลางของวัฒนธรรมอังกฤษอีกครั้ง ร่วมรำลึกถึงยุค 1990 อันแสนหวานได้ที่นี่
คำว่า Nostalgia หรือการคิดถึงอดีตนั้น แรกเริ่มจริงๆ ไม่ได้เป็นคำที่ใช้อธิบายในแนวทางที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จุดเริ่มต้นของคำนี้แท้จริงต้องย้อนไปถึงปี 1668 ซึ่งเป็นคำศัพท์ทางการแพทย์ คำนี้เกิดจากการผสมระหว่างคำว่า ‘nostos’ (การกลับบ้าน ในภาษากรีก) กับคำว่า ‘algos’ (ความเจ็บปวด) รวมกันจึงได้คำศัพท์ซึ่งอธิบายถึงอาการเจ็บปวดหรือป่วยจากความคิดถึงบ้าน
แต่ในเวลาต่อมา คำนี้ก็ได้ถูกเปลี่ยนแนวทางจากการใช้เพื่ออธิบายอาการป่วย สู่การโหยหาถึงอดีต เพราะเมื่อมีใครสักคนพูดว่า “จำตอนที่มันเกิดขึ้นได้หรือไม่?” ผู้ที่ถูกถามก็มักจะได้รับการปลดปล่อยให้เล่าถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มักเกิดข้อสงสัยว่า จะจมอยู่กับอดีตทำไม ในเมื่ออนาคตนั้นเปลี่ยนแปลงได้?
ทฤษฎีหนึ่งที่มักถูกใช้ในการอธิบายถึงเรื่องดังกล่าวบอกว่า มนุษย์มักจะโหยหาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อราว 25 ปีก่อนเสมอ ซึ่งก็คือช่องห่างระหว่างรุ่น หรือ generation gap และดูเข้ากันพอดีถึงสภาพความจริง เพราะเมื่อพ่อแม่เล่าให้ลูกฟังถึงประสบการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต หากพวกเขาเหล่านั้นไม่ชื่นชอบในอดีต ก็มักจะปฏิเสธอดีตไปเลย
เรื่องราวประวัติศาสตร์อาจต้องค้นกันยาวหน่อย แต่สำหรับฟุตบอล โดยเฉพาะฟุตบอลอังกฤษ ไม่จำเป็นต้องค้นลึกถึงสนามนั้น เพราะการเปลี่ยนผ่านได้เกิดขึ้นในฤดูร้อนปี 1992 ซึ่งพรีเมียร์ลีกถือกำเนิด, ยูโรเปี้ยนคัพ เปลี่ยนชื่อเป็น แชมเปี้ยนส์ลีก และกฎห้ามผู้รักษาประตูใช้มือรับลูกส่งคืนหลังบังเกิดขึ้น
หลังจากนั้น สิ่งต่างๆ ก็เกิดพัฒนาการขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ถึงผู้คนในวงการฟุตบอลมากมายจะเห็นตรงกันว่า นักเตะที่ดีที่สุดก็ควรได้รับค่าเหนื่อยให้สมน้ำสมเนื้อกับชีวิตการค้าแข้งที่แสนสั้นและเอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า เศรษฐกิจลูกหนังที่เฟื่องฟูจากกฎบอสแมน รวมถึงเม็ดเงินมหาศาลจากแฟนบอลผ่านค่าตั๋ว, ของที่ระลึก และเคเบิ้ลทีวี ทำให้วงการฟุตบอลนั้นก้าวไปอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
และแม้การก้าวสู่ยุคใหม่จะทำให้อะไรดูดีขึ้น แต่มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย เมื่อผลการวิจัยชี้ชัดว่า เงิน กลายเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ในการนำทีมสู่ความสำเร็จ ซึ่งทำให้ช่องว่างระหว่างทีมที่มีและไม่มีเงินเริ่มห่างขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดกลุ่มที่ต่อต้านฟุตบอลสมัยใหม่ โดยกลุ่มคนที่ดูจะเป็นห่วงเป็นใยและเยาว์วัยไม่ใช่น้อย ซึ่งบางจุดพวกเขาก็พูดถูก แต่มันก็มีข้อโต้แย้งสำคัญคือ พวกเขาเหมือนจะลืมมองข้ามเรื่องธรรมดาสามัญที่ว่า ถ้าวันนี้มันแย่ ก็ต้องทำวันต่อไปให้ดีกว่าเก่าสิ คาร์ล วิลสัน จาก นิวยอร์ก ไทม์ส มองว่า การคิดถึงอดีตนั้นดูจะเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ดูแปลกแยกออกไป กลายเป็นว่ากลุ่มคนที่สาปส่งโลกสมัยใหม่และโหยหาอดีตนั้น หลายกลุ่มคือคนยุคดิจิตอลที่เหมือนจะยังไม่เคยศึกษาด้วยซ้ำว่า ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ในอดีตกันแน่
ลองถามแฟนบอลที่เคยเข้าชมเกมในยุค 1980 ดูได้ พวกเขาทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อยากให้ใครต้องมาเจอประสบการณ์แบบที่พวกเขาเคยต้องพานพบอีก จริงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงในยุค ‘90 มีการตลาดเป็นมูลเหตุสำคัญ แต่มันก็มีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและสังคม ซึ่งทำให้หลายสิ่งอย่างการสื่อสาร, ความบันเทิง, คุณภาพ, ความพร้อม, ความรับผิดชอบ และทางเลือกต่างๆ นั้นมากขึ้นและดีขึ้น เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ฟุตบอลเปลี่ยนจากกีฬาของคนเถื่อน สู่กีฬามหาชนอันดับ 1 ของโลก
สิ่งที่เราจะกล่าวถึงต่อจากนี้ เราขอย้ำอีกครั้งว่าจะไม่ชี้ชัดว่าอะไรผิดหรือถูก เพราะมันคือการเฉลิมฉลองและอธิบายว่า เหตุใดและทำไม ยุค ‘90 ถึงทำให้กีฬาฟุตบอลงดงามยิ่นขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งแน่นอนว่า เราต้องขอย้อนกลับไปช่วงปลายยุค ‘80 เพื่อให้ทุกคนเห็นความฟอนเฟะของมันเสียก่อน

แฟนบอลอังกฤษในศึกยูโร ‘88
เรื่องเลวร้ายจากยุค ‘80
“พวกคุณคืออาชญากร”
ถ้าแฟนบอลอย่างคุณไม่รู้สึกรู้สากับคำแบบนี้บ้างแล้วล่ะก็คงแปลก เพราะเวลาไปชมเกมสักนัดในสมัยก่อน คุณจะต้องเจอกับตำรวจที่ไม่รู้จักความประณีประนอมตั้งแต่ก้าวลงจากรถไฟ แถมสภาพสนามยังโบราณ ไม่มีกันสาด ที่นั่งเก่าๆ แถมยังมีรั้วกั้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายกับชีวิตได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้น ฟุตบอลยังทำให้คุณดูแย่เวลาเข้าสังคมด้วย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในยุคดังกล่าวไม่ได้มองฟุตบอลเป็นกีฬา หรือแม้หัวข้อสนทนาที่คุยกันออกรสได้ ในสมัยดังกล่าว ภาพจำของกีฬานี้คือความรุนแรงจากพวกฮูลิแกนและการเหยียดผิว รวมถึงความโง่เง่าในหมู่แฟนบอล ซึ่งมันทำให้คุณถูกตีขลุมถึงพื้นฐานชีวิตและบุคลิกส่วนตัวแบบผิดๆ เอาได้ง่ายๆ
ฟังดูรุนแรงไม่น่าเชื่อ
แต่นี่แหละคือสิ่งที่แฟนบอลยุคนั้นเคยประสบ เพราะในปี 1985 ปีที่เกิดโศกนาฏกรรมเฮย์เซล, ไฟไหม้สนามแบร็ดฟอร์ด, แฟน ลูตัน-มิลล์วอลล์ ยกพวกตีกัน รวมถึงการที่ทีมจากอังกฤษถูกแบนจากถ้วยยุโรป หนังสือพิมพ์ เดอะ ไทม์ส อธิบายเกมฟุตบอลในยุคนั้นว่า “เป็นกีฬาสลัม เล่นในสนามสลัม และมีแต่คนดูที่อยู่ในสลัม” แถมหลายคนยังช่วยเปลี่ยนคำจากสลัม (slum) เป็น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สวะ (scum) อีกด้วย
นอกจากนั้น วิกฤติเศรษฐกิจในยุค 80 ยังตามซ้ำเติม แฟนฟุตบอลกลายเป็นเชื้อร้ายในสังคม ยิ่งไปกว่านั้น ปี 1985 ยังเป็นปีที่เกิดเหตุจลาจลนอกสนามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางครั้งก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความผิดของฟุตบอลเองด้วย หลังเกิดโศกนาฎกรรมเฮย์เซล นางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นจัดประชุมด่วน พร้อมตั้งคำถามว่าวงการฟุตบอลจะจัดการอย่างไรกับเหล่าฮูลิแกน เลขาธิการสมาคมฟุตบอลอังกฤษในขณะนั้นอย่าง เท็ด โครเกอร์ เปิดหน้าสวนหญิงเหล็กอย่างเธอว่า “คนเหล่านี้คือปัญหาของสังคมต่างหาก เราไม่ต้องการพวกฮูลิแกนของคุณในกีฬาของเราหรอกนะท่านนายกฯ” นั่นทำให้โครเกอร์กลายเป็นเลขาธิการของเอฟเอคนแรกที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน หรือ ท่านเซอร์ ในเวลาต่อมา
ข้อสันนิษฐานว่าเหล่าแฟนฟุตบอลคือพวกฮูลิแกนยังไม่หมดไป แถมรัฐบาลของแธตเชอร์ยังมีความคิดที่จะทำบัตรประจำตัวให้กับเหล่าแฟนบอลอีก แต่เรื่องดังกล่าวก็ถูกเก็บเข้ากรุหลังจากความจริงในโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ในปี 1989 ปรากฎ

รายงานของลอร์ด จัสติส เทยเลอร์ เปิดเผยสาเหตุแห่งโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่
รายงานของลอร์ดเทย์เลอร์ไม่เพียงแต่จะฝังกลบความคร่ำครึในสนามฟุตบอลเท่านั้น แต่ยังทำให้สังคมอังกฤษตระหนักว่า พวกเขาได้เหยียดวัฒนธรรมของตัวเองให้เป็นของชั้นต่ำ เมื่อมันมาถึงจุดต่ำสุดเช่นนี้ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นคือฟุตบอลต้องยกระดับตัวเองขึ้นมาเสียที
ในช่วงเวลาดังกล่าว การตีกันของเหล่าฮูลิแกนเองก็ลดลงไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนาม จริงอยู่ที่การยกพวกตีกันไม่ถึงกับหมดไป แต่พวกเขาเริ่มที่จะออกไปตีห่างจากบริเวณสนามและชุมชนมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดีต่อแฟนฟุตบอลตัวจริง ที่น่าสนใจก็คือ สมาชิกของกลุ่มฮูลิแกนส่วนใหญ่ กลับเป็นชายในสังคมชนชั้นกลางที่เบื่อหน่ายกับงานประจำ เลยออกมายกพวกตีกันให้เลือดลมมันพลุ่งพล่าน น่าแปลกที่พวกเขาไม่เคยเอาอีกมุมของตัวเองไปโม้ในงานเลี้ยงเลยแม้แต่น้อย
และในขณะเดียวกัน กลุ่มแฟนบอลกลุ่มเล็กๆ ก็หลงใหลได้ปลื้มกับยาเสพติดชนิดใหม่ จริงอยู่ที่ยาเสพติดไม่ว่าชนิดไหนก็ไม่ดี แต่สำหรับยาอีซึ่งเริ่มเป็นที่นิยม มันกลับทำให้เหล่านักเสพไม่มีอารมณ์ออกไปตีกับใครที่ไหน พร้อมกับทำเอาวง New Order ถึงกับกุมขมับ เมื่อเอฟเอไม่ให้พวกเขาตั้งชื่อเพลงเชียร์ของทีมชาติอังกฤษในศึกฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลีว่า ‘E for England’ ตามที่คิดไว้ พวกเขาเลยต้องเปลี่ยนมาใช้ชื่อ ‘World in Motion’ แทน เพลงดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากก็จริง แต่คุณลองดูเนื้อร้องตรงท่อนคอรัสให้ดี (“Love’s got the world in motion and I know what we can do”) อืม … ฟังดูแล้วไม่เข้ากับฟุตบอลเท่าไหร่เลยแหะ
แม้เป็นเรื่องที่ไม่จริงแน่หากจะสรุปว่าเหล่าฮูลิแกนหันมาเสพยาอีเหมือนขนม แต่ความนิยมของยาแห่งความรักที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย และกลายเป็นว่ามหกรรมยกพวกตีกันก็พลันหายไป
ยกตัวอย่างเช่นในปี 1991 ซึ่งตำรวจดัตช์เตรียมทำศึกกับเหล่าฮูลิแกนเต็มอัตรา หลังทราบข่าวว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้ารอบชิงชนะเลิศ คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่เมืองร็อตเตอร์ดัม แต่ปรากฎว่าเหล่าแมนคูเนี่ยนนับหมื่นคนกลับมาฉลองแทนที่จะปล่อยหมัดซัดคู่แข่ง (ขอบคุณพระเจ้าที่ทีมปีศาจแดงชนะ) อีกเหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นในศึกอิตาเลีย 90 เมื่อผลจับสลากปรากฎว่าอังกฤษร่วมกลุ่มเดียวกับฮอลแลนด์, ไอร์แลนด์ และอียิปต์ ตำรวจของอิตาลีก็คาดหมายว่างานนี้ท่าจะเละแน่ๆ
แต่แทนที่จะเกิดเรื่องอย่างที่คิด ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้นเกินคาด เมื่อเหล่าแฟนบอลอกสามศอกเข้าสู่โหมดดราม่ามาเต็มไปพร้อมกับน้ำตาของนักเตะดาวรุ่งนาม พอล แกสคอยน์ ที่ร้องไห้ไม่อายใครในเกมรอบรองชนะเลิศที่พบเยอรมันตะวันตก หลังแก๊ซซ่าตื่นตัวไปหน่อยจนได้ใบเหลืองโทษฐานเสียบนักเตะคู่แข่ง และทำให้เขาหมดสิทธิ์ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศ ก่อนที่หัวใจของแฟนบอลสิงโตคำรามจะแหลกสลายเมื่อพวกเขาพ่ายจุดโทษในอีกไม่นานจากนั้น
และเมื่อการถ่ายทอดสดมาถึงตอนสุดท้าย เพลงที่ บีบีซี เลือกมาปิดรายการอย่าง Nessun Dorma ที่ ลูเซียโน่ ปาวาร็อตติ ขับร้อง ก็ดูจะสะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าอย่างไม่มีที่เปรียบ โศกนาฏกรรมของตัวเอกจากความผิดพลาดของตัวเอง และเมื่อมาถึงเนื้อร้องสุดท้ายของเพลง “Vincero” หรือ “ฉันต้องชนะ” ก็ยิ่งทำให้ดราม่านั้นพุ่งถึงขีดสุด
น้ำตาของแกสคอยน์ทำให้คนอังกฤษรู้สึกเห็นใจกับความผิดหวังของเขา รวมถึงเปิดรับฟุตบอลกลับสู่อ้อมใจอีกครั้งด้วยเช่นกัน อย่างที่ จอห์น มัลฮอลแลนด์ นักข่าวของ เดอะ การ์เดี้ยน กล่าวเมื่อปี 1994 ว่า “เมื่อแก๊ซซ่าร้องไห้ ทั้งประเทศร่วมใจกันเช็ดน้ำตาของเขา และสื่ออังกฤษก็ร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วย นับแต่นั้นมา การนำเสนอเรื่องราวของฟุตบอลก็แผ่ขยายไปในทุกวงการ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก”
สำหรับ แกรี่ ลินิเกอร์ นั้น เขามองว่า “เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่ผู้คนหลากหลายในทุกชนชั้นให้ความสนใจในกีฬาฟุตบอลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และส่งผลอย่างมากต่อการเติบโตของกีฬาชนิดนี้ด้วย”
ที่สุดแล้ว แฟนบอลอย่างเราก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นกล่าวหา
Episode 1
ขัอมูลจาก FourFourTwo ไทยแลนด์
To be Continue..ครับ
เกิดขึ้นได้อย่างไร "ยุค '90 จึงเปลี่ยนให้แฟนบอลคลั่งฟุตบอลอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง"
ฟุตบอลอังกฤษดำดิ่งถึงจุดต่ำสุดในยุค 1980 แต่ใครจะเชื่อว่าน้ำตาของ พอล แกสคอยน์ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กีฬาลูกหนังกลับมาอยู่ในศูนย์กลางของวัฒนธรรมอังกฤษอีกครั้ง ร่วมรำลึกถึงยุค 1990 อันแสนหวานได้ที่นี่
คำว่า Nostalgia หรือการคิดถึงอดีตนั้น แรกเริ่มจริงๆ ไม่ได้เป็นคำที่ใช้อธิบายในแนวทางที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จุดเริ่มต้นของคำนี้แท้จริงต้องย้อนไปถึงปี 1668 ซึ่งเป็นคำศัพท์ทางการแพทย์ คำนี้เกิดจากการผสมระหว่างคำว่า ‘nostos’ (การกลับบ้าน ในภาษากรีก) กับคำว่า ‘algos’ (ความเจ็บปวด) รวมกันจึงได้คำศัพท์ซึ่งอธิบายถึงอาการเจ็บปวดหรือป่วยจากความคิดถึงบ้าน
แต่ในเวลาต่อมา คำนี้ก็ได้ถูกเปลี่ยนแนวทางจากการใช้เพื่ออธิบายอาการป่วย สู่การโหยหาถึงอดีต เพราะเมื่อมีใครสักคนพูดว่า “จำตอนที่มันเกิดขึ้นได้หรือไม่?” ผู้ที่ถูกถามก็มักจะได้รับการปลดปล่อยให้เล่าถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มักเกิดข้อสงสัยว่า จะจมอยู่กับอดีตทำไม ในเมื่ออนาคตนั้นเปลี่ยนแปลงได้?
ทฤษฎีหนึ่งที่มักถูกใช้ในการอธิบายถึงเรื่องดังกล่าวบอกว่า มนุษย์มักจะโหยหาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อราว 25 ปีก่อนเสมอ ซึ่งก็คือช่องห่างระหว่างรุ่น หรือ generation gap และดูเข้ากันพอดีถึงสภาพความจริง เพราะเมื่อพ่อแม่เล่าให้ลูกฟังถึงประสบการณ์หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต หากพวกเขาเหล่านั้นไม่ชื่นชอบในอดีต ก็มักจะปฏิเสธอดีตไปเลย
เรื่องราวประวัติศาสตร์อาจต้องค้นกันยาวหน่อย แต่สำหรับฟุตบอล โดยเฉพาะฟุตบอลอังกฤษ ไม่จำเป็นต้องค้นลึกถึงสนามนั้น เพราะการเปลี่ยนผ่านได้เกิดขึ้นในฤดูร้อนปี 1992 ซึ่งพรีเมียร์ลีกถือกำเนิด, ยูโรเปี้ยนคัพ เปลี่ยนชื่อเป็น แชมเปี้ยนส์ลีก และกฎห้ามผู้รักษาประตูใช้มือรับลูกส่งคืนหลังบังเกิดขึ้น
หลังจากนั้น สิ่งต่างๆ ก็เกิดพัฒนาการขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ถึงผู้คนในวงการฟุตบอลมากมายจะเห็นตรงกันว่า นักเตะที่ดีที่สุดก็ควรได้รับค่าเหนื่อยให้สมน้ำสมเนื้อกับชีวิตการค้าแข้งที่แสนสั้นและเอาแน่เอานอนไม่ได้ ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า เศรษฐกิจลูกหนังที่เฟื่องฟูจากกฎบอสแมน รวมถึงเม็ดเงินมหาศาลจากแฟนบอลผ่านค่าตั๋ว, ของที่ระลึก และเคเบิ้ลทีวี ทำให้วงการฟุตบอลนั้นก้าวไปอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
และแม้การก้าวสู่ยุคใหม่จะทำให้อะไรดูดีขึ้น แต่มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย เมื่อผลการวิจัยชี้ชัดว่า เงิน กลายเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ในการนำทีมสู่ความสำเร็จ ซึ่งทำให้ช่องว่างระหว่างทีมที่มีและไม่มีเงินเริ่มห่างขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดกลุ่มที่ต่อต้านฟุตบอลสมัยใหม่ โดยกลุ่มคนที่ดูจะเป็นห่วงเป็นใยและเยาว์วัยไม่ใช่น้อย ซึ่งบางจุดพวกเขาก็พูดถูก แต่มันก็มีข้อโต้แย้งสำคัญคือ พวกเขาเหมือนจะลืมมองข้ามเรื่องธรรมดาสามัญที่ว่า ถ้าวันนี้มันแย่ ก็ต้องทำวันต่อไปให้ดีกว่าเก่าสิ คาร์ล วิลสัน จาก นิวยอร์ก ไทม์ส มองว่า การคิดถึงอดีตนั้นดูจะเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ดูแปลกแยกออกไป กลายเป็นว่ากลุ่มคนที่สาปส่งโลกสมัยใหม่และโหยหาอดีตนั้น หลายกลุ่มคือคนยุคดิจิตอลที่เหมือนจะยังไม่เคยศึกษาด้วยซ้ำว่า ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ในอดีตกันแน่
ลองถามแฟนบอลที่เคยเข้าชมเกมในยุค 1980 ดูได้ พวกเขาทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อยากให้ใครต้องมาเจอประสบการณ์แบบที่พวกเขาเคยต้องพานพบอีก จริงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงในยุค ‘90 มีการตลาดเป็นมูลเหตุสำคัญ แต่มันก็มีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและสังคม ซึ่งทำให้หลายสิ่งอย่างการสื่อสาร, ความบันเทิง, คุณภาพ, ความพร้อม, ความรับผิดชอบ และทางเลือกต่างๆ นั้นมากขึ้นและดีขึ้น เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ฟุตบอลเปลี่ยนจากกีฬาของคนเถื่อน สู่กีฬามหาชนอันดับ 1 ของโลก
สิ่งที่เราจะกล่าวถึงต่อจากนี้ เราขอย้ำอีกครั้งว่าจะไม่ชี้ชัดว่าอะไรผิดหรือถูก เพราะมันคือการเฉลิมฉลองและอธิบายว่า เหตุใดและทำไม ยุค ‘90 ถึงทำให้กีฬาฟุตบอลงดงามยิ่นขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งแน่นอนว่า เราต้องขอย้อนกลับไปช่วงปลายยุค ‘80 เพื่อให้ทุกคนเห็นความฟอนเฟะของมันเสียก่อน
แฟนบอลอังกฤษในศึกยูโร ‘88
เรื่องเลวร้ายจากยุค ‘80
“พวกคุณคืออาชญากร”
ถ้าแฟนบอลอย่างคุณไม่รู้สึกรู้สากับคำแบบนี้บ้างแล้วล่ะก็คงแปลก เพราะเวลาไปชมเกมสักนัดในสมัยก่อน คุณจะต้องเจอกับตำรวจที่ไม่รู้จักความประณีประนอมตั้งแต่ก้าวลงจากรถไฟ แถมสภาพสนามยังโบราณ ไม่มีกันสาด ที่นั่งเก่าๆ แถมยังมีรั้วกั้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายกับชีวิตได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้น ฟุตบอลยังทำให้คุณดูแย่เวลาเข้าสังคมด้วย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในยุคดังกล่าวไม่ได้มองฟุตบอลเป็นกีฬา หรือแม้หัวข้อสนทนาที่คุยกันออกรสได้ ในสมัยดังกล่าว ภาพจำของกีฬานี้คือความรุนแรงจากพวกฮูลิแกนและการเหยียดผิว รวมถึงความโง่เง่าในหมู่แฟนบอล ซึ่งมันทำให้คุณถูกตีขลุมถึงพื้นฐานชีวิตและบุคลิกส่วนตัวแบบผิดๆ เอาได้ง่ายๆ
ฟังดูรุนแรงไม่น่าเชื่อ
แต่นี่แหละคือสิ่งที่แฟนบอลยุคนั้นเคยประสบ เพราะในปี 1985 ปีที่เกิดโศกนาฏกรรมเฮย์เซล, ไฟไหม้สนามแบร็ดฟอร์ด, แฟน ลูตัน-มิลล์วอลล์ ยกพวกตีกัน รวมถึงการที่ทีมจากอังกฤษถูกแบนจากถ้วยยุโรป หนังสือพิมพ์ เดอะ ไทม์ส อธิบายเกมฟุตบอลในยุคนั้นว่า “เป็นกีฬาสลัม เล่นในสนามสลัม และมีแต่คนดูที่อยู่ในสลัม” แถมหลายคนยังช่วยเปลี่ยนคำจากสลัม (slum) เป็น [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นอกจากนั้น วิกฤติเศรษฐกิจในยุค 80 ยังตามซ้ำเติม แฟนฟุตบอลกลายเป็นเชื้อร้ายในสังคม ยิ่งไปกว่านั้น ปี 1985 ยังเป็นปีที่เกิดเหตุจลาจลนอกสนามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางครั้งก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความผิดของฟุตบอลเองด้วย หลังเกิดโศกนาฎกรรมเฮย์เซล นางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นจัดประชุมด่วน พร้อมตั้งคำถามว่าวงการฟุตบอลจะจัดการอย่างไรกับเหล่าฮูลิแกน เลขาธิการสมาคมฟุตบอลอังกฤษในขณะนั้นอย่าง เท็ด โครเกอร์ เปิดหน้าสวนหญิงเหล็กอย่างเธอว่า “คนเหล่านี้คือปัญหาของสังคมต่างหาก เราไม่ต้องการพวกฮูลิแกนของคุณในกีฬาของเราหรอกนะท่านนายกฯ” นั่นทำให้โครเกอร์กลายเป็นเลขาธิการของเอฟเอคนแรกที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน หรือ ท่านเซอร์ ในเวลาต่อมา
ข้อสันนิษฐานว่าเหล่าแฟนฟุตบอลคือพวกฮูลิแกนยังไม่หมดไป แถมรัฐบาลของแธตเชอร์ยังมีความคิดที่จะทำบัตรประจำตัวให้กับเหล่าแฟนบอลอีก แต่เรื่องดังกล่าวก็ถูกเก็บเข้ากรุหลังจากความจริงในโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ในปี 1989 ปรากฎ
รายงานของลอร์ด จัสติส เทยเลอร์ เปิดเผยสาเหตุแห่งโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่
รายงานของลอร์ดเทย์เลอร์ไม่เพียงแต่จะฝังกลบความคร่ำครึในสนามฟุตบอลเท่านั้น แต่ยังทำให้สังคมอังกฤษตระหนักว่า พวกเขาได้เหยียดวัฒนธรรมของตัวเองให้เป็นของชั้นต่ำ เมื่อมันมาถึงจุดต่ำสุดเช่นนี้ มีเพียงทางเดียวเท่านั้นคือฟุตบอลต้องยกระดับตัวเองขึ้นมาเสียที
ในช่วงเวลาดังกล่าว การตีกันของเหล่าฮูลิแกนเองก็ลดลงไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนาม จริงอยู่ที่การยกพวกตีกันไม่ถึงกับหมดไป แต่พวกเขาเริ่มที่จะออกไปตีห่างจากบริเวณสนามและชุมชนมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดีต่อแฟนฟุตบอลตัวจริง ที่น่าสนใจก็คือ สมาชิกของกลุ่มฮูลิแกนส่วนใหญ่ กลับเป็นชายในสังคมชนชั้นกลางที่เบื่อหน่ายกับงานประจำ เลยออกมายกพวกตีกันให้เลือดลมมันพลุ่งพล่าน น่าแปลกที่พวกเขาไม่เคยเอาอีกมุมของตัวเองไปโม้ในงานเลี้ยงเลยแม้แต่น้อย
และในขณะเดียวกัน กลุ่มแฟนบอลกลุ่มเล็กๆ ก็หลงใหลได้ปลื้มกับยาเสพติดชนิดใหม่ จริงอยู่ที่ยาเสพติดไม่ว่าชนิดไหนก็ไม่ดี แต่สำหรับยาอีซึ่งเริ่มเป็นที่นิยม มันกลับทำให้เหล่านักเสพไม่มีอารมณ์ออกไปตีกับใครที่ไหน พร้อมกับทำเอาวง New Order ถึงกับกุมขมับ เมื่อเอฟเอไม่ให้พวกเขาตั้งชื่อเพลงเชียร์ของทีมชาติอังกฤษในศึกฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลีว่า ‘E for England’ ตามที่คิดไว้ พวกเขาเลยต้องเปลี่ยนมาใช้ชื่อ ‘World in Motion’ แทน เพลงดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากก็จริง แต่คุณลองดูเนื้อร้องตรงท่อนคอรัสให้ดี (“Love’s got the world in motion and I know what we can do”) อืม … ฟังดูแล้วไม่เข้ากับฟุตบอลเท่าไหร่เลยแหะ
แม้เป็นเรื่องที่ไม่จริงแน่หากจะสรุปว่าเหล่าฮูลิแกนหันมาเสพยาอีเหมือนขนม แต่ความนิยมของยาแห่งความรักที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย และกลายเป็นว่ามหกรรมยกพวกตีกันก็พลันหายไป
ยกตัวอย่างเช่นในปี 1991 ซึ่งตำรวจดัตช์เตรียมทำศึกกับเหล่าฮูลิแกนเต็มอัตรา หลังทราบข่าวว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้ารอบชิงชนะเลิศ คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่เมืองร็อตเตอร์ดัม แต่ปรากฎว่าเหล่าแมนคูเนี่ยนนับหมื่นคนกลับมาฉลองแทนที่จะปล่อยหมัดซัดคู่แข่ง (ขอบคุณพระเจ้าที่ทีมปีศาจแดงชนะ) อีกเหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นในศึกอิตาเลีย 90 เมื่อผลจับสลากปรากฎว่าอังกฤษร่วมกลุ่มเดียวกับฮอลแลนด์, ไอร์แลนด์ และอียิปต์ ตำรวจของอิตาลีก็คาดหมายว่างานนี้ท่าจะเละแน่ๆ
แต่แทนที่จะเกิดเรื่องอย่างที่คิด ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้นเกินคาด เมื่อเหล่าแฟนบอลอกสามศอกเข้าสู่โหมดดราม่ามาเต็มไปพร้อมกับน้ำตาของนักเตะดาวรุ่งนาม พอล แกสคอยน์ ที่ร้องไห้ไม่อายใครในเกมรอบรองชนะเลิศที่พบเยอรมันตะวันตก หลังแก๊ซซ่าตื่นตัวไปหน่อยจนได้ใบเหลืองโทษฐานเสียบนักเตะคู่แข่ง และทำให้เขาหมดสิทธิ์ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศ ก่อนที่หัวใจของแฟนบอลสิงโตคำรามจะแหลกสลายเมื่อพวกเขาพ่ายจุดโทษในอีกไม่นานจากนั้น
และเมื่อการถ่ายทอดสดมาถึงตอนสุดท้าย เพลงที่ บีบีซี เลือกมาปิดรายการอย่าง Nessun Dorma ที่ ลูเซียโน่ ปาวาร็อตติ ขับร้อง ก็ดูจะสะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าอย่างไม่มีที่เปรียบ โศกนาฏกรรมของตัวเอกจากความผิดพลาดของตัวเอง และเมื่อมาถึงเนื้อร้องสุดท้ายของเพลง “Vincero” หรือ “ฉันต้องชนะ” ก็ยิ่งทำให้ดราม่านั้นพุ่งถึงขีดสุด
น้ำตาของแกสคอยน์ทำให้คนอังกฤษรู้สึกเห็นใจกับความผิดหวังของเขา รวมถึงเปิดรับฟุตบอลกลับสู่อ้อมใจอีกครั้งด้วยเช่นกัน อย่างที่ จอห์น มัลฮอลแลนด์ นักข่าวของ เดอะ การ์เดี้ยน กล่าวเมื่อปี 1994 ว่า “เมื่อแก๊ซซ่าร้องไห้ ทั้งประเทศร่วมใจกันเช็ดน้ำตาของเขา และสื่ออังกฤษก็ร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วย นับแต่นั้นมา การนำเสนอเรื่องราวของฟุตบอลก็แผ่ขยายไปในทุกวงการ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก”
สำหรับ แกรี่ ลินิเกอร์ นั้น เขามองว่า “เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่ผู้คนหลากหลายในทุกชนชั้นให้ความสนใจในกีฬาฟุตบอลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และส่งผลอย่างมากต่อการเติบโตของกีฬาชนิดนี้ด้วย”
ที่สุดแล้ว แฟนบอลอย่างเราก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นกล่าวหา
Episode 1
ขัอมูลจาก FourFourTwo ไทยแลนด์
To be Continue..ครับ