เราเป็นผู้หญิงธรรมดาๆคนนึง
ที่มีความรักโลภโกรธหลง
แต่ที่เรามีมากกว่านั้นคือ "ความคาดหวัง"
เมื่อวันนึง (ตค. 2560) มีเรื่องที่ทำให้เราผิดหวัง
เราพยายามทำใจ และอยู่กับความเป็นจริงให้ได้
แต่หลังจากวันนั้นเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเหนื่อยและกลัวสังคม
จากคนเคยแข็งแรงมาก เที่ยวลุยๆเดินป่าได้
พอถึงวันที่จิตใจไม่เป็นมิตรกับร่างกาย
แค่เดินขึ้นสะพานลอยกลับกลายเป็นเรื่องยากสำหรับเรา
คนเดินผ่านก็รู้สึกกลัวหวาดระแวง
เราพยายามค้นหาว่าตัวเองเป็นอะไร "ขี้เกียจหรือเหนื่อย"
(พย. 2560) เราตัดสินใจเดินเข้าไปหาความจริง
ตอนนั้นไปตรวจที่ รพ. เล่าอาการให้หมอฟังทุกอย่าง
หมอให้เราตรวจเลือดดูการทำงานของระบบไทรอยด์
ผลที่ออกมาคือปกติ
และเราก็ได้พบกับจิตเวช
เราได้เล่าอาการที่ผิดปกติที่เราสังเกตุตัวเองได้คือ
ตกใจง่าย เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นแรง หวิว หายใจไม่อิ่ม
จุกที่คอกลืนน้ำลายไม่ลง
หนักสุดคือรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายแล้วมันก็หายไปเอง
(อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันทุกวัน แต่มันรบกวนชีวิตประจำวันเรามาก)
บางครั้งก็มีอาการเบื่อสังคม อยากกลับบ้าน เก็บตัว ไม่พูดคุย
หมอจิตเวชสรุปว่าเราเป็นโรคแพนิคค่ะ
เพราะจิตใจเรายังดี ไม่เคยคิดทำร้ายตัวเอง ไม่มีอาการซึมเศร้า
หมอทำความเข้าใจกับเราว่า สิ่งที่เราเป็นอยู่ไม่น่ากลัว
ไม่เคยมีใครตายเพราะเป็นโรคแพนิค
แพนิคเป็นโรคในอายุรกรรม แต่ต้องรักษากับหมอจิตเวช
ทานยาในหมวดต้านซึมเศร้า (แต่ทานยาในปริมาณน้อยกว่าคนเป็นโรคซึมเศร้า)
ยาจะช่วยปรับสารเคมีในสมอง
ทำให้เรากลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้ในระดับนึง
และที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเราจะเลือกปฏิบัติตัวยังไง
ถ้าอยากหายไวก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
อย่าถามเลยค่ะว่าก่อนที่จะเป็นแพนิค
เราเคยทรมานตัวเองมามากแค่ไหน
แต่อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป
เอาเป็นว่าต่อจากนี้ไปเราจะรักตัวเราให้มากขึ้นในทุกๆวัน
สิ่งที่เราได้เปลี่ยนแปลงหลังจากรู้ว่าตัวเองเป็นแพนิคคือ
1.
ยอมรับในสิ่งที่เป็น และมีความสุขร่วมกับสิ่งที่เป็นอยู่
ไม่โทษตัวเองและไม่โทษใคร
ลองมองว่าเค้าคือเพื่อนใหม่ที่ผ่านมาให้บทเรียนกับเรา
2.
เคารพนาฬิกาชีวิตของตัวเอง
ฝึกเข้านอนให้ไวและตื่นให้เช้า จะทำอะไรเราต้องรู้จักเผื่อเวลา
เพราะเราจะได้ไม่เหนื่อยมากด้วย
3.
ฝึกหายใจให้ลึกและยาว
คุณหมอที่รักษาเราได้แนะนำมา
ให้หายใจเข้าไปลึกๆ นับ 1-10 แล้วค่อยๆปล่อยออกให้สุด
4.
คิดบวกเข้าไว้
พูดเหมือนง่ายแต่มันไม่ได้เปลี่ยนกันได้ง่ายๆภายในหนึ่งวัน
แต่ถ้าคนเราคิดจะเปลี่ยนนาทีเดียวก็เปลี่ยนได้
มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ คาดหวังให้น้อยลง
หรือคาดหวังในสิ่งที่จะเป็นไปได้
เช่น พรุ่งนี้ฉันจะตื่นมาออกกำลังกายแต่เช้า
ที่บอกให้คาดหวังในสิ่งที่เป็นไปได้ เพื่อลดความผิดหวัง
และเป็นโอกาสที่เราจะกลับมาสร้างแรงบันดาลใจเล็กๆน้อยๆอีกด้วย
5.
ออกกำลังกายบ้าง
ยาช่วยเราได้ส่วนหนึ่งค่ะ แต่ถ้าเรื่องหัวใจแข็งแรงเราต้องออกแรง
เริ่มจากออกกำลังกายเบาๆควบคู่การใช้สมาธิ เช่น โยคะ กระโดดเชือก
6.
ฟังเพลงบรรเลง ผ่อนคลายความเครียด
ช่วงที่เราเป็นแพนิคแรกๆ เราได้ยานอนหลับมาทานด้วยค่ะ
แต่พอเราได้ฟังเพลงบรรเลงเรารู้สึกว่าเราหลับง่ายขึ้น
จนต้องขอหมองดรับยานอนหลับ
7.
การอ่านช่วยพัฒนาความคิด
แต่ก่อนเราไม่ชอบอ่านหนังสือ เอาแต่กดโทรศัพท์
หนังสือบางเล่ม บทความบางอย่าง เป็นอาหารสมองชั้นดี
บางเวลาไม่รู้จะทำอะไร ลองหาหนังสือสักเล่มมาอ่าน
เค้าอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีคนนึงได้เลยนะ
ช่วงแรกๆที่เรารู้ตัวว่าเป็นเราก็ค้นหาทุกวิธี
ทุกอย่างที่จะพอเป็นประโยชน์กับตัวเรา
เราได้มาพบกับเพจ "พิชิตแพนิค..ในสามสิบวัน"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99-100256280152279/
เราได้มุมมองดีๆและมีกำลังใจขึ้นมา
8.
อาหารดี กินดี มีความสุข
เราต้องทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่
เมื่อเรามีพลังงานที่ดี เราก็จะมีแรงต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
สุราและเครื่องดื่มมึนเมา เลิกดื่มได้จะยิ่งดีมาก
9. ทำข้อ 1 - 8 วนๆสลับกันไป ไม่ต้องเป๊ะมากค่ะ
ถ้าสิ่งไหนดี...ชีวิตเราจะไม่ปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น
ถ้าอันไหนตึงไป...ก็หย่อน
แล้วอย่าลืมให้กำลังใจตัวเองด้วยนะคะ
เราทานยาอยู่ 4 เดือนค่ะ
เริ่มแรกทานต้านซึมเศร้ากับยานอนหลับ
พอเราเริ่มทำข้อ 1-7 เดือนที่ 2 เราไม่ต้องทานยานอนหลับ
เราไม่มีอาการรบกวนในชีวิตประจำวัน พร้อมกับมีจิตใจที่เข้มแข็ง
เราพบจิตเวชล่าสุดเมื่อต้นเดือนเมษาที่ผ่านมา
หมออนุญาติให้เราเริ่มถอนยา
ปัจจุบันเราไม่ได้ทานยามา ครึ่งเดือนแล้วค่ะ
นอนหลับเองได้ ใช้ชีวิตปกติ
เราต้องคิดไว้ว่า เราเก่งที่สุด เราต้องทำได้!!!
อย่ามองว่าการเป็นแพนิคเป็นเรื่องน่าอาย มันไม่ใช่ความโชคร้าย
คิดซะว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยของร่างกายที่ออกมาต่อต้าน
เพื่อให้เรากลับไปใช้ชีวิตในแบบที่ถูกต้อง
เรากลับรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำ ที่เจอหมอจิตเวชที่คอยให้คำแนะนำที่ดี
เจอเพื่อนที่เป็นแบบเดียวกันคอยให้กำลังใจ
ที่เรามาคิดได้ตอนนี้ ในวัยที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
ล้มได้...ก็ลุกได้
เหนื่อย...ก็พักบ้าง
เสียใจ...ก็ร้องไห้ออกมา
ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง...เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร
สุดท้ายนี้ ยารักษาได้เพียงร่างกาย
แต่รักษาจิตใจเป็นหน้าที่ของเรานะคะ
สู้ๆค่ะ เอาชนะใจตัวเองให้ได้ พยายามกินยารักษาให้น้อยที่สุด
เราเชื่อว่าทุกคนทำได้ และอาจจะทำได้ดีกว่าเรา
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ
Janniehello
รักษาแพนิคง่ายๆ แค่เปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิต
ที่มีความรักโลภโกรธหลง
แต่ที่เรามีมากกว่านั้นคือ "ความคาดหวัง"
เมื่อวันนึง (ตค. 2560) มีเรื่องที่ทำให้เราผิดหวัง
เราพยายามทำใจ และอยู่กับความเป็นจริงให้ได้
แต่หลังจากวันนั้นเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเหนื่อยและกลัวสังคม
จากคนเคยแข็งแรงมาก เที่ยวลุยๆเดินป่าได้
พอถึงวันที่จิตใจไม่เป็นมิตรกับร่างกาย
แค่เดินขึ้นสะพานลอยกลับกลายเป็นเรื่องยากสำหรับเรา
คนเดินผ่านก็รู้สึกกลัวหวาดระแวง
เราพยายามค้นหาว่าตัวเองเป็นอะไร "ขี้เกียจหรือเหนื่อย"
(พย. 2560) เราตัดสินใจเดินเข้าไปหาความจริง
ตอนนั้นไปตรวจที่ รพ. เล่าอาการให้หมอฟังทุกอย่าง
หมอให้เราตรวจเลือดดูการทำงานของระบบไทรอยด์
ผลที่ออกมาคือปกติ
และเราก็ได้พบกับจิตเวช
เราได้เล่าอาการที่ผิดปกติที่เราสังเกตุตัวเองได้คือ
ตกใจง่าย เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นแรง หวิว หายใจไม่อิ่ม
จุกที่คอกลืนน้ำลายไม่ลง
หนักสุดคือรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายแล้วมันก็หายไปเอง
(อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันทุกวัน แต่มันรบกวนชีวิตประจำวันเรามาก)
บางครั้งก็มีอาการเบื่อสังคม อยากกลับบ้าน เก็บตัว ไม่พูดคุย
หมอจิตเวชสรุปว่าเราเป็นโรคแพนิคค่ะ
เพราะจิตใจเรายังดี ไม่เคยคิดทำร้ายตัวเอง ไม่มีอาการซึมเศร้า
หมอทำความเข้าใจกับเราว่า สิ่งที่เราเป็นอยู่ไม่น่ากลัว
ไม่เคยมีใครตายเพราะเป็นโรคแพนิค
แพนิคเป็นโรคในอายุรกรรม แต่ต้องรักษากับหมอจิตเวช
ทานยาในหมวดต้านซึมเศร้า (แต่ทานยาในปริมาณน้อยกว่าคนเป็นโรคซึมเศร้า)
ยาจะช่วยปรับสารเคมีในสมอง
ทำให้เรากลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้ในระดับนึง
และที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเราจะเลือกปฏิบัติตัวยังไง
ถ้าอยากหายไวก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
อย่าถามเลยค่ะว่าก่อนที่จะเป็นแพนิค
เราเคยทรมานตัวเองมามากแค่ไหน
แต่อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป
เอาเป็นว่าต่อจากนี้ไปเราจะรักตัวเราให้มากขึ้นในทุกๆวัน
สิ่งที่เราได้เปลี่ยนแปลงหลังจากรู้ว่าตัวเองเป็นแพนิคคือ
1. ยอมรับในสิ่งที่เป็น และมีความสุขร่วมกับสิ่งที่เป็นอยู่
ไม่โทษตัวเองและไม่โทษใคร
ลองมองว่าเค้าคือเพื่อนใหม่ที่ผ่านมาให้บทเรียนกับเรา
2. เคารพนาฬิกาชีวิตของตัวเอง
ฝึกเข้านอนให้ไวและตื่นให้เช้า จะทำอะไรเราต้องรู้จักเผื่อเวลา
เพราะเราจะได้ไม่เหนื่อยมากด้วย
3. ฝึกหายใจให้ลึกและยาว
คุณหมอที่รักษาเราได้แนะนำมา
ให้หายใจเข้าไปลึกๆ นับ 1-10 แล้วค่อยๆปล่อยออกให้สุด
4. คิดบวกเข้าไว้
พูดเหมือนง่ายแต่มันไม่ได้เปลี่ยนกันได้ง่ายๆภายในหนึ่งวัน
แต่ถ้าคนเราคิดจะเปลี่ยนนาทีเดียวก็เปลี่ยนได้
มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ คาดหวังให้น้อยลง
หรือคาดหวังในสิ่งที่จะเป็นไปได้
เช่น พรุ่งนี้ฉันจะตื่นมาออกกำลังกายแต่เช้า
ที่บอกให้คาดหวังในสิ่งที่เป็นไปได้ เพื่อลดความผิดหวัง
และเป็นโอกาสที่เราจะกลับมาสร้างแรงบันดาลใจเล็กๆน้อยๆอีกด้วย
5. ออกกำลังกายบ้าง
ยาช่วยเราได้ส่วนหนึ่งค่ะ แต่ถ้าเรื่องหัวใจแข็งแรงเราต้องออกแรง
เริ่มจากออกกำลังกายเบาๆควบคู่การใช้สมาธิ เช่น โยคะ กระโดดเชือก
6. ฟังเพลงบรรเลง ผ่อนคลายความเครียด
ช่วงที่เราเป็นแพนิคแรกๆ เราได้ยานอนหลับมาทานด้วยค่ะ
แต่พอเราได้ฟังเพลงบรรเลงเรารู้สึกว่าเราหลับง่ายขึ้น
จนต้องขอหมองดรับยานอนหลับ
7. การอ่านช่วยพัฒนาความคิด
แต่ก่อนเราไม่ชอบอ่านหนังสือ เอาแต่กดโทรศัพท์
หนังสือบางเล่ม บทความบางอย่าง เป็นอาหารสมองชั้นดี
บางเวลาไม่รู้จะทำอะไร ลองหาหนังสือสักเล่มมาอ่าน
เค้าอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีคนนึงได้เลยนะ
ช่วงแรกๆที่เรารู้ตัวว่าเป็นเราก็ค้นหาทุกวิธี
ทุกอย่างที่จะพอเป็นประโยชน์กับตัวเรา
เราได้มาพบกับเพจ "พิชิตแพนิค..ในสามสิบวัน" [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราได้มุมมองดีๆและมีกำลังใจขึ้นมา
8. อาหารดี กินดี มีความสุข
เราต้องทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่
เมื่อเรามีพลังงานที่ดี เราก็จะมีแรงต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
สุราและเครื่องดื่มมึนเมา เลิกดื่มได้จะยิ่งดีมาก
9. ทำข้อ 1 - 8 วนๆสลับกันไป ไม่ต้องเป๊ะมากค่ะ
ถ้าสิ่งไหนดี...ชีวิตเราจะไม่ปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น
ถ้าอันไหนตึงไป...ก็หย่อน
แล้วอย่าลืมให้กำลังใจตัวเองด้วยนะคะ
เราทานยาอยู่ 4 เดือนค่ะ
เริ่มแรกทานต้านซึมเศร้ากับยานอนหลับ
พอเราเริ่มทำข้อ 1-7 เดือนที่ 2 เราไม่ต้องทานยานอนหลับ
เราไม่มีอาการรบกวนในชีวิตประจำวัน พร้อมกับมีจิตใจที่เข้มแข็ง
เราพบจิตเวชล่าสุดเมื่อต้นเดือนเมษาที่ผ่านมา
หมออนุญาติให้เราเริ่มถอนยา
ปัจจุบันเราไม่ได้ทานยามา ครึ่งเดือนแล้วค่ะ
นอนหลับเองได้ ใช้ชีวิตปกติ
เราต้องคิดไว้ว่า เราเก่งที่สุด เราต้องทำได้!!!
อย่ามองว่าการเป็นแพนิคเป็นเรื่องน่าอาย มันไม่ใช่ความโชคร้าย
คิดซะว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยของร่างกายที่ออกมาต่อต้าน
เพื่อให้เรากลับไปใช้ชีวิตในแบบที่ถูกต้อง
เรากลับรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำ ที่เจอหมอจิตเวชที่คอยให้คำแนะนำที่ดี
เจอเพื่อนที่เป็นแบบเดียวกันคอยให้กำลังใจ
ที่เรามาคิดได้ตอนนี้ ในวัยที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
ล้มได้...ก็ลุกได้
เหนื่อย...ก็พักบ้าง
เสียใจ...ก็ร้องไห้ออกมา
ต้องกล้าเปลี่ยนแปลง...เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร
สุดท้ายนี้ ยารักษาได้เพียงร่างกาย
แต่รักษาจิตใจเป็นหน้าที่ของเรานะคะ
สู้ๆค่ะ เอาชนะใจตัวเองให้ได้ พยายามกินยารักษาให้น้อยที่สุด
เราเชื่อว่าทุกคนทำได้ และอาจจะทำได้ดีกว่าเรา
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ
Janniehello