[หนังโรงเรื่องที่ 223] A Quiet Place - ลุ้นจนจิกเบาะ กลัวจนลืมหายใจ ; (John Krasinski, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+ (จากสเกล D-A)
*มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน้อย
เรื่องย่อ: เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่งในแผ่นดินอเมริกาที่แทบจะรกร้างจากการโจมตีของ "เอเลี่ยน" ที่เข้าโจมตีและเข่นฆ่าผู้คนโดยฉับพลันยากที่จะตั้งตัว สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีจุดเด่นอย่างหนึ่งคือ "มันไวต่อเสียงมาก" แม้จะเป็นแค่เสียงเหยียบใบไม้เล็กๆ น้อยๆ พวกมันก็จะพุ่งเข้าสังหารต้นตอของเสียงทันที ... เพื่อที่จะเอาตัวรอด ครอบครัวนี้ก็จำต้องอยู่โดยไม่พูดไม่จากัน, ใช้ภาษามือในการสื่อสาร และเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ "เงียบที่สุด"
.
.
สิ่งแรกที่ชอบก็คือ "หนังมีแนวคิดที่สดใหม่" ในแง่ของการเล่นกับความเงียบเพื่อเอาตัวรอดโดยการค่อยๆ ปูกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในครอบครัวที่ดูเผินๆ อาจไม่ต่างไปจากครอบครัวธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร เก็บกวาดทำความสะอาด ซักผ้า หรือแม้แต่คุยเล่นหยอกล้อกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องธรรมดาๆ เหล่านี้ไม่ธรรมดาก็คือ "ทุกกิจกรรมต้องเงียบ" -- ทำให้เราเข้าใจในกฎเหล็กที่ครอบครัวนี้ต้องเผชิญอยู่ในทันที และต่อมาหนังก็สาธิตให้เราเห็นว่า "การทำเสียงดัง" เพียงนิดเดียวก็อาจจะนำไปสู่ความตายได้ในพริบตา
.
ซึ่งทันทีที่เราเริ่มเข้าใจในกฎของความเงียบแล้ว หนังก็ยิ่งโดดเด่นเข้าไปอีกด้วยการหยิบเอาองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาสร้าง "ความระทึก" ให้กับหนังอย่างต่อเนื่อง
ลองนึกภาพการเหยียบใบไม้แห้งดังแกร๊บก็ดี หรือจะเป็นขั้นบันไดฝุ่นเขรอะที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดก็ดี -- แค่เสียงเบาๆ พวกนี้เอเลี่ยนก็พร้อมที่จะกระโจนขย้ำคุณแล้ว! มันไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น มันไม่ได้ฆ่าเพื่อเป็นอาหาร, มันไม่ได้ถูกผลักดันโดยความหิวโหย, มันก็แค่ "ทำลายต้นตอเสียง" ให้สิ้นซากก็เท่านั้น
.
ทีนี้หลายคนก็อาจจะยังไม่เข้าใจว่า เอ๊ะ แล้วเอเลี่ยนมันรู้ได้ยังไงว่าเสียงไหนเป็นเสียงของคน เสียงไหนเป็นของธรรมชาติ ไม่งั้นมันคงสับสนแย่ระหว่างเสียงแม่น้ำลำธารหรือเสียงลมพัดอะไรพวกนี้?
คำตอบคือ จากการใคร่ครวญของผู้เขียนนั้น ดูเหมือนว่า "เสียง" ที่เอเลี่ยนพวกนี้จะไล่ตามก็คือ "เสียงที่ไม่ได้เกิดเป็นแพทเทิร์น" คือจู่ๆ ก็ดังเด่นขึ้นมา ไม่มีที่มาที่ไป พวกเอเลี่ยนพวกนี้ก็จะกระโจนไปเช็กทันที ซึ่งก็คงไม่ใช่เสียงมนุษย์ทุกครั้งไปหรอก ... แสดงว่าเป็นเอเลี่ยนก็ลำบากเหมือนแฮะ (หัวเราะ)
.
ในแง่ของความลุ้น ความเสียวของหนังนี่ไม่ต้องพูดถึง อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าหนังคุมโทนความเงียบของตัวได้ชัดเจนมาก จนบีบบังคับให้คนดูในโรงหนังอย่างเราต้องเงียบไปด้วย (คนข้างๆ ซื้อป็อปคอร์นมายังแทบไม่กล้าหยิบกิน)
ซึ่งมันก็ส่งผลให้เราระแวงแทบทุกเสียงที่จะเกิดขึ้นในตัวหนังด้วย ถึงขนาดที่ว่าบางทีตัวละครมันขยับไม้ขยับมือเร็วไปหน่อย ผู้เขียนยังสะดุ้ง! น่ะ คิดดู มันเป็นความตุ้งแช่ที่เกิดจากความเงียบ ซึ่งถือว่าเป็นของใหม่พอสมควรเลย ดังนั้นสำหรับผู้เขียนแล้ว "ความกดดันอันเกิดจากความเงียบในโรงหนัง" นี่แหละ คือของขวัญอันล้ำค่าที่สุดของหนังเรื้องนี้ครับ
.
อีกส่วนที่ชอบก็คือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หนังปูไว้พร้อมใช้งานสรรพ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารการวิจัยของพระเอกที่แปะไว้แผ่นเบ้อเริ่มตั้งแต่ต้นเรื่อง หอสื่อสารโดยการจุดไฟ หรือจะเป็นแผงหลอดไฟที่ใช้สีต่างๆ เพื่อบ่งชี้ถึงความขับขันของสถานการณ์นั้นๆ รวมไปถึง ... ตะปู ด้วยความที่ทุกอย่างมันถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว ถึงเวลาหยิบใช้มันเลยดูไม่ประดักประเดิด และดูเรียบเนียนไปกับเนื้อเรื่องได้
.
ในแง่ของตัวละคร หนังก็คิดถูกแล้วที่ไม่ได้ให้ข้อมูลที่มาที่ไปอะไรกับเรา (เพราะถ้ามันคุยกันเยอะก็คงผิดคอนเซปต์) เราก็จะได้รู้แค่ว่า เออ ไอ้นี่เป็นพ่อ เป็นแม่ ลูกชายนิสัยขี้กลัว ลูกสาวหูหนวกเป็นใบ้ และครอบครัวนี้ก็กำลังพยายามเอาตัวรอดจากสัตว์ประหลาดพวกนั้นมาได้เป็นปีๆ แล้ว ซึ่งลำพังแค่การส่งต่ออารมณ์ทางสายตาระหว่างตัวละครมันก็เพียงพอแล้วที่จะขาย "ความเป็นครอบครัว" ให้กับเราได้ แล้วก็กลับมาเน้นที่ความลุ้นระทึกจากการเอาตัวรอดต่อไป
.
A Quiet Place คือตัวอย่างที่ดีของหนังที่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ครบถ้วน คือเป็นหนังระทึกขวัญที่เกิดมาเพื่อสร้างความระทึกให้กับคนดู และไม่พยายามเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่ดีของเรื่องนี้ ถือว่าเป็นประสบการณ์หนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆ และขอเชียร์อย่างที่สุดให้ทุกคนไปดูในโรงให้ได้ ... ย้ำ ต้องดูให้ได้!
ป.ล.เอ็งเอาหลอดไฟวางไว้บนฟูกที่นอนทำไมฟะ?
**หลังจากนี้จะพูดถึงเนื้อหาสำคัญและวิเคราะห์ตัวละคร**
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลายคนอาจจะรู้สึกว่าตัวละครพี่สาว "เรแกน" (Millicent Simmonds) ดันกลายเป็น "ตัวละครโง่ๆ " ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความ
ต่อเนื่องจนเดือดร้อนกันไปหมด
คือดูเผินๆ แล้วตัวละครอาจดูเหมือนถูกยัดเยียดให้ทำอะไรโง่ๆ เพื่อให้เรื่องมันเดินได้เท่านั้น แต่หากมองในอีกแง่มุมแล้ว ตัวละครนี้นี่แหละ ที่สมกับเป็นกุญแจสำคัญให้กับเหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องที่สุดแล้ว ด้วยเหตุผลดังนี้
1.เป็นตัวละครตัวเดียวที่เป็นวัยรุ่น เป็นวัยว้าวุ่นอารมณ์หุนหันพลันแล่น ในหมู่ของผู้ใหญ่สองคน และน้องชายที่เด็กโคตรๆ ไปเลย
2.มีปมที่ร้ายแรงที่สุด คือเป็นคนที่หยิบยื่นเอาความตายให้กับน้องชายคนเล็กด้วยมือของตัวเอง
3.ต้องการการยอมรับอย่างสูง สังเกตได้จากฉากที่อาสาจะไปหาปลากับพ่อ แต่ตัวเองก็โดนปฏิเสธด้วยความเป็นผู้หญิง ในขณะที่น้องชายที่ปอดแหกสุดๆ ดันได้ไป
4.หูหนวก กลายเป็นภาระในบริบทที่ทุกคนต้องระวังแม้เพียงเสียงเล็กๆ น้อยๆ ยิ่งทำให้เป็นปมด้อยเข้าไปอีก
ขอแถมอีกเรื่องคือ โดยส่วนตัวยังรู้สึกไม่เคลียร์ว่าทำไมจู่ๆ ชุมชนผู้รอดชีวิต (ที่คอยจุดคบไฟสื่อสารกันทุกคืน) ถึงได้พินาศไปพร้อมๆ กันหมด คือมันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จู่ๆ ทุกชุมชนจะพลาดทำเสียงดังขึ้นมาได้ยังไง? จู่ๆ หนังก็ชี้ให้เห็นว่าไม่มีใครจุดคบไฟตอบรับพวกเด็กๆ แล้ว ทิ้งให้เรางงซะอย่างนั้น?
#ตั๋วหนังมันแพง
ถูกใจกับรีวิวหรืออยากมาพูดคุยเกี่ยวกับหนังกัน ขอเชิญได้ที่เพจเฟซบุ๊ก "ตั๋วหนังมันแพง" นะครับ
[หนังโรงเรื่องที่ 223] A Quiet Place - ลุ้นจนจิกเบาะ กลัวจนลืมหายใจ by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 223] A Quiet Place - ลุ้นจนจิกเบาะ กลัวจนลืมหายใจ ; (John Krasinski, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+ (จากสเกล D-A)
*มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน้อย
เรื่องย่อ: เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่งในแผ่นดินอเมริกาที่แทบจะรกร้างจากการโจมตีของ "เอเลี่ยน" ที่เข้าโจมตีและเข่นฆ่าผู้คนโดยฉับพลันยากที่จะตั้งตัว สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีจุดเด่นอย่างหนึ่งคือ "มันไวต่อเสียงมาก" แม้จะเป็นแค่เสียงเหยียบใบไม้เล็กๆ น้อยๆ พวกมันก็จะพุ่งเข้าสังหารต้นตอของเสียงทันที ... เพื่อที่จะเอาตัวรอด ครอบครัวนี้ก็จำต้องอยู่โดยไม่พูดไม่จากัน, ใช้ภาษามือในการสื่อสาร และเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ "เงียบที่สุด"
.
สิ่งแรกที่ชอบก็คือ "หนังมีแนวคิดที่สดใหม่" ในแง่ของการเล่นกับความเงียบเพื่อเอาตัวรอดโดยการค่อยๆ ปูกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในครอบครัวที่ดูเผินๆ อาจไม่ต่างไปจากครอบครัวธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร เก็บกวาดทำความสะอาด ซักผ้า หรือแม้แต่คุยเล่นหยอกล้อกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องธรรมดาๆ เหล่านี้ไม่ธรรมดาก็คือ "ทุกกิจกรรมต้องเงียบ" -- ทำให้เราเข้าใจในกฎเหล็กที่ครอบครัวนี้ต้องเผชิญอยู่ในทันที และต่อมาหนังก็สาธิตให้เราเห็นว่า "การทำเสียงดัง" เพียงนิดเดียวก็อาจจะนำไปสู่ความตายได้ในพริบตา
ซึ่งทันทีที่เราเริ่มเข้าใจในกฎของความเงียบแล้ว หนังก็ยิ่งโดดเด่นเข้าไปอีกด้วยการหยิบเอาองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาสร้าง "ความระทึก" ให้กับหนังอย่างต่อเนื่อง
ลองนึกภาพการเหยียบใบไม้แห้งดังแกร๊บก็ดี หรือจะเป็นขั้นบันไดฝุ่นเขรอะที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดก็ดี -- แค่เสียงเบาๆ พวกนี้เอเลี่ยนก็พร้อมที่จะกระโจนขย้ำคุณแล้ว! มันไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น มันไม่ได้ฆ่าเพื่อเป็นอาหาร, มันไม่ได้ถูกผลักดันโดยความหิวโหย, มันก็แค่ "ทำลายต้นตอเสียง" ให้สิ้นซากก็เท่านั้น
ทีนี้หลายคนก็อาจจะยังไม่เข้าใจว่า เอ๊ะ แล้วเอเลี่ยนมันรู้ได้ยังไงว่าเสียงไหนเป็นเสียงของคน เสียงไหนเป็นของธรรมชาติ ไม่งั้นมันคงสับสนแย่ระหว่างเสียงแม่น้ำลำธารหรือเสียงลมพัดอะไรพวกนี้?
คำตอบคือ จากการใคร่ครวญของผู้เขียนนั้น ดูเหมือนว่า "เสียง" ที่เอเลี่ยนพวกนี้จะไล่ตามก็คือ "เสียงที่ไม่ได้เกิดเป็นแพทเทิร์น" คือจู่ๆ ก็ดังเด่นขึ้นมา ไม่มีที่มาที่ไป พวกเอเลี่ยนพวกนี้ก็จะกระโจนไปเช็กทันที ซึ่งก็คงไม่ใช่เสียงมนุษย์ทุกครั้งไปหรอก ... แสดงว่าเป็นเอเลี่ยนก็ลำบากเหมือนแฮะ (หัวเราะ)
ในแง่ของความลุ้น ความเสียวของหนังนี่ไม่ต้องพูดถึง อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าหนังคุมโทนความเงียบของตัวได้ชัดเจนมาก จนบีบบังคับให้คนดูในโรงหนังอย่างเราต้องเงียบไปด้วย (คนข้างๆ ซื้อป็อปคอร์นมายังแทบไม่กล้าหยิบกิน)
ซึ่งมันก็ส่งผลให้เราระแวงแทบทุกเสียงที่จะเกิดขึ้นในตัวหนังด้วย ถึงขนาดที่ว่าบางทีตัวละครมันขยับไม้ขยับมือเร็วไปหน่อย ผู้เขียนยังสะดุ้ง! น่ะ คิดดู มันเป็นความตุ้งแช่ที่เกิดจากความเงียบ ซึ่งถือว่าเป็นของใหม่พอสมควรเลย ดังนั้นสำหรับผู้เขียนแล้ว "ความกดดันอันเกิดจากความเงียบในโรงหนัง" นี่แหละ คือของขวัญอันล้ำค่าที่สุดของหนังเรื้องนี้ครับ
อีกส่วนที่ชอบก็คือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หนังปูไว้พร้อมใช้งานสรรพ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารการวิจัยของพระเอกที่แปะไว้แผ่นเบ้อเริ่มตั้งแต่ต้นเรื่อง หอสื่อสารโดยการจุดไฟ หรือจะเป็นแผงหลอดไฟที่ใช้สีต่างๆ เพื่อบ่งชี้ถึงความขับขันของสถานการณ์นั้นๆ รวมไปถึง ... ตะปู ด้วยความที่ทุกอย่างมันถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว ถึงเวลาหยิบใช้มันเลยดูไม่ประดักประเดิด และดูเรียบเนียนไปกับเนื้อเรื่องได้
ในแง่ของตัวละคร หนังก็คิดถูกแล้วที่ไม่ได้ให้ข้อมูลที่มาที่ไปอะไรกับเรา (เพราะถ้ามันคุยกันเยอะก็คงผิดคอนเซปต์) เราก็จะได้รู้แค่ว่า เออ ไอ้นี่เป็นพ่อ เป็นแม่ ลูกชายนิสัยขี้กลัว ลูกสาวหูหนวกเป็นใบ้ และครอบครัวนี้ก็กำลังพยายามเอาตัวรอดจากสัตว์ประหลาดพวกนั้นมาได้เป็นปีๆ แล้ว ซึ่งลำพังแค่การส่งต่ออารมณ์ทางสายตาระหว่างตัวละครมันก็เพียงพอแล้วที่จะขาย "ความเป็นครอบครัว" ให้กับเราได้ แล้วก็กลับมาเน้นที่ความลุ้นระทึกจากการเอาตัวรอดต่อไป
A Quiet Place คือตัวอย่างที่ดีของหนังที่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ครบถ้วน คือเป็นหนังระทึกขวัญที่เกิดมาเพื่อสร้างความระทึกให้กับคนดู และไม่พยายามเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่ดีของเรื่องนี้ ถือว่าเป็นประสบการณ์หนึ่งชั่วโมงครึ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆ และขอเชียร์อย่างที่สุดให้ทุกคนไปดูในโรงให้ได้ ... ย้ำ ต้องดูให้ได้!
ป.ล.เอ็งเอาหลอดไฟวางไว้บนฟูกที่นอนทำไมฟะ?
**หลังจากนี้จะพูดถึงเนื้อหาสำคัญและวิเคราะห์ตัวละคร**
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
#ตั๋วหนังมันแพง
ถูกใจกับรีวิวหรืออยากมาพูดคุยเกี่ยวกับหนังกัน ขอเชิญได้ที่เพจเฟซบุ๊ก "ตั๋วหนังมันแพง" นะครับ