อยากทำอาชีพที่เหมือนกับทำค่ายจิตอาสาในสมัยเรียน แชร์ประสบการณ์สู่แรงบันดาลใจ

อมยิ้ม21           สวัสดีค่ะ เราอยากแชร์ประการณ์การทำจิตอาสาสมัยเรียน สู่แรงบันดาลใจสู่อาชีพในฝัน โอกาสของเราที่จะได้เลือกงานที่เรารัก ซึ่งไม่ตรงกับสายงานที่เรียนมา โอกาสในการทำสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต การมีอาชีพในฝันมันเป็นอะไรที่สุดๆ แล้วจริงๆ ค่ะ เราอยากทำงานที่เสมือนได้ทำจิตอาสา บำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือสังคมได้สร้างคุณค่าให้กับชีวิต  (กระทู้ต่อไป จะขอสนทนาและสอบถามเกี่ยวกับการหาหนทางสู่สายอาชีพนะคะ)

....................................................ในส่วนของการเรียน ความรู้ความสามารถ ตามสายที่ศึกษา .................................................

           ก่อนอื่นขอแนะนำตัวนิดนึงนะคะ เราเรียนจบบัญชีบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 2 จบมา 2 ปีแล้วค่ะ มาเก็บประสบการณ์ในสำนักงานบัญชี 2 ปี  สามารถคำนวณภาษีรายเดือน และประกันสังคม นำส่งให้ถูกต้องตามกฎหมายได้  ปิดงบการเงินได้ แต่ส่วนมากจะเป็นธุรกิจ SME รวมทั้งงานทะเบียนจดจัดตั้งบริษัท เปลี่ยนแปลง ยันจดเลิก ทำได้หมด ครอบคลุมไปงานจดทะเบียนของภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากร ขึ้นทะเบียนนายจ้างของสำนักงานประกันสังคม ทั้งทำเอกสารเอง ไปยื่นเอง ติดต่อ จนท. เอง คุยและแก้ปัญหาหน้างานได้ พอระยะเวลาผ่านไป เราก็เริ่มคิดว่า เอาล่ะ เราก็ทำงานเป็นให้ระดับหนึ่งแล้ว สามารถเอาตัวรอดได้ ถือว่าไม่เสียเเรงที่พ่อแม่ส่งเรียนเปล่าๆ แน่นอน ตอนเลือกเรียนเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือเปล่า รู้แค่ว่าเราสามารถเข้าใจและทำได้ จึงขอเรียกว่าเป็น "งานถนัด"

           ด้วยความที่ตอนนี้อายุยังน้อย เราเลยคิดว่าจะลองทำอาชีพอื่นดูเพื่อค้นหาอาชีพที่เรารัก มีคนเคยบอกว่า ให้ทำงานที่รักเป็นงานประจำ และทำงานที่ถนัดเป็นอาชีพเสริม ซึ่งก็เห็นด้วยนิดนึงนะคะ คืออย่างน้อย ลองทำอย่างอื่นดู แล้วถ้ามันไม่ใช่ก็กลับมาทำงานบัญชีเหมือนเดิมได้ ตอนเรียนจบใหม่ๆ ก็ยังไม่กล้าทำงานแวกแนวออกไปจากที่เรียนเหตุด้วยว่า เสียดายที่อุตส่าเรียนมา และยังลองไปทำอย่างอื่นแล้วไม่โอเค ก็เสียโอกาส เก็บประสบการณ์ตามสายที่เรียน จึงตัดสินใจทำงานตามที่เรียนมาก่อน เพื่อตักตวงความรู้ความสามารถ


...................................ความเป็นมาและความสำคัญ จุดเริ่มต้นอาชีพในฝัน (ช่วงสมัยเรียน)............................................

           สมัยเรียน ป.ตรี เราชอบทำกิจกรรมมาก โดยเฉพาะค่ายอาสา สมัยนั้นยังไม่มีนโยบายให้เด็กทำจิตอาสา เพื่อเก็บชั่วโมงไปกู้ กยศ. หรือ กรอ. ดังนั้นในสมัยนั้นก็จะมีเด็กๆ ที่รักในการทำค่ายจิตอาสาจริงๆ เด็กที่สละเวลาส่วนตัว เที่ยวเล่น เวลาหลังเลิกเรียน หรือ เวลานอนเสาร์-อาทิตย์ เป็นการรวมพลคนที่ทำกิจกรรมดีดีภายใต้อุดมการณ์เดียวกัน เราเป็นสมาชิกในหลายๆ ชมรม มีทั้งชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลูกต้นไม้ เก็บขยะ ต่างๆ นานา กิจกรรมค่ายคุณธรรมของชมรม (ไม่ใช่กิจกรรมการบังคับของ ม. ) ถือศีล 8 ปฏิบัติธรรม เรียนรู้การเป็นคนดี มีจิตอาสา และศีลธรรมด้วย (คือดีเลิศ) ชมรมสันทนาการ รับอาสาสร้างรอยยิ้ม ไปสันให้ค่ายชมรมอื่นบ้าง ไปสันให้ ม. บ้าง ไปสันให้กิจกรรมการระหว่าง ม. ต่างๆ บ้าง ซึ่งจะมีเครือข่าย ม.เอกชน จะมีจัดอบรมหลายๆ ม. ชมรมนี้เรามีหน้าที่เต้น เต้นอย่างเดียวเท่านั้น ชมรมนี้จะไม่มีคนอาย เต้นกั๊ก หลุดคือหลุด รั่วคือรั่ว กระจาย และชมรมสุดท้ายคือชมรมที่เรารักมากที่สุด เป็นชมรมจิตอาสาเชิงคุณธรรม ใน 1 ปี มี 2 เทอม จะมี 2 ค่ายใหญ่ ค่ายแรกเป็นค่ายคุณธรรม (3 วัน 2 คืน) จะปรับทัศนคติ ชี้ให้เห็นถึงความสุขในการทำประโยชน์เพื่อตนเองสังคม ควบคุมไปกับคุณธรรม จะละลายพฤติกรรม เปิดใจ สร้างอุดมการณ์ โดยเชิญพระอาจารย์มาสอน ส่วนค่ายใหญ่ปลายเทอมคือ ค่ายจิตอาสา  ในระหว่างที่สมาชิกชมรมทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ เราจะมีกิจกรรมสำหรับเด็กๆ ประถม โดยทางเราจะเชิญพระอาจารย์ไปสอนธรรมมะให้เด็กๆ สอนในเรื่องการเป็นผู้ให้ และสอนให้ทำความดี  สอนศีล 5 เช้าและเย็น สมาชิกชมรม และ น้องๆ เด็กประถม ทำทำวัตรเช้า-เย็น สวดมนต์ด้วยกัน วันสุดท้ายจะมีตักบาตรอาหารแห้ง โดยมีครู เด็ก ผู้ปกครองมาร่วม และตามด้วยกิจกรรมเข้าฐานเหมือนรับน้อง ให้น้องๆ ประถมและพี่ๆ ชมรม ที่มาทำประโยชน์ ได้สนุกร่วมกัน ตอนนั่งรถทัวร์กลับก็หลับเป็นตาย ทั้งเหนื่อยทั้งมีความสุข ดอกไม้  
          
..................ทัศนคติ ความเชื่อ ภารกิจ ความสุข ความทรงจำที่ทรงคุณค่า  บทเรียนชีวิตในมหาวิทยาลัย............................
               การเรียนมหาวิทยาลัยเป็นประสบการณ์ที่ห่วยสุดๆ ในชีวิต สังคมในกรุงบั่นทอนจิตใจสุดๆ แต่มันคือสิ่งที่ทำให้เราเติบโต เยี่ยม
จากเด็กบ้านนอก ออกจากบ้านต้องขออนุญาตพ่อแม่ เพื่อนๆ ที่มีมิตรไมตรี และน้ำใจงาม ชีวิตเรียบง่าย ไม่เลิศหรู ชีวิตคือทำงานบ้าน ไปเรียน ไปตลาด ไปทำบุญทุกวันพระ เที่ยวงานวัด เที่ยวตลาดนัด ก้าวสู่ชีวิตอิสระในเมืองกรุง ผิดถูกเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตอนแรกก็หวังว่าชีวิตจะแฮปปี้ การเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เหมือนการเรียนรู้การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ สังคมรุนแรง ใครไม่พอใจแขวะ จิก กัด อาจารย์ไม่นับเป็นครู เป็นแค่พนักงานของมหาวิทยาลัย ทำดีก็ว่าเอาหน้า ไม่ทำก็ว่าเห็นตัวตัว ถูกตัดสินต่างๆ นานา คนดีไม่มีที่ยืน การพิสูจน์ตัวตนเหมือนทำน้ำพริกละลายแม่น้ำ การมีตัวตนอยู่ตรงนั้นมันช่างไร้ค่า
               เราเลือกที่จะหันหลังให้กับสังคมในห้องเรียน และเราก็ค้นพบหนทางที่จะทำให้เรามีความสุข ในระหว่างที่ต้องอดทนเรียนให้จบ เราเจอไอดอลหนึ่งคน พี่เขาก็คือประธานชมรมจิตอาสาเชิงคุณธรรมนั้นแหละค่ะ คือ ตอนที่เรากำลังผิดหวังกับชีวิตในมหาวิทยาลัยอยู่นั้น มีเขาชวนไปทำกิจกรรมกับชมรม พี่เขาบอกเราว่า "สิ่งที่เขาชวนพวกเราทำนั้นนอกจากการทำความดี สร้างประโยชน์ให้คนอื่นแล้ว เรายังได้บุญอีกด้วย เพราะชมรมเรามีการเชิญพระอาจารย์มาร่วมกิจกรรม ได้ทำบุญตรงเนื้อนาบุญด้วย"  วินาทีนั้นเราเหมือนได้พบแสงสว่างในชีวิต คำพูดเพียงไม่กี่คำมันทำให้เราพบทางออกของปัญหาในตอนนั้น เราสัญญากับตัวเองในใจ ณ ตอนนั้นว่า จากนี้ไปเราจะเดินตามพี่คนนี้ พี่ไปไหนเราจะไปด้วย พี่ทำอะไรเราทำด้วย ปลูกป่า ฝ่าดง แบกหาม มอมแมม เหนื่อย ท้อ ลำบากแค่ไหนก็จะลุยไปสนับสนุนพี่คนนี้กับทุกคนในชมรมนี้
               ด้วยชมรมพึ่งตั้งเป็นปีแรกตอนเราเป็นเฟรชชี่พอดี พวกเราเริ่มต้นทุกอย่างด้วยกลุ่มสมาชิกชมรม กิจกรรม ความเสี่ยง การบริหาร เขียนโครงการ หาสถานที่ หาเงิน ความรู้ไม่มาก แต่พลังใจเต็มเปี่ยม เพื่อสิ่งเดียวที่เราอยากเห็นคือ รอยยิ้มจากผู้รับ จากการที่เราเป็นฝ่ายให้ พวกเราเป็นชมรมที่ถึกมาก กิจกรรมทุกอย่าง ดำเนินด้วยนักศึกษาเป็นหลัก ด้วยวัย 18-21 ปี ไม่มีอาจารย์ที่ปรึกษามาปูทางเหมือนชมรมอื่น เราไปขอร้องอาจารย์ท่านหนึ่งมาเป็นที่ปรึกษาชมรมเพียงเพื่อให้ช่วยเซ็นรับรองโครงการเท่านั้น เพราะไม่มีใครว่างมาทำกิจกรรมหรือคอยดูแลรับผิดชอบพวกเรา เราหาเงินด้วยการเดินรับบริจาคเท่านั้น (สมัยนั้นทำปีแรก ไม่รู้จักวิธีการขอสปอร์นเซอร์ ทำหนังสือชี้แจงก็ไม่เป็น พึ่งมารู้ตอนปีหลังๆ ว่าต้องหนังสือขออนุญาตหน่วยงานต่างๆ เพื่อเดินรับบริจาคด้วย ปัจจุบันก็สอนน้องๆ ทายาทชมรมทำให้ถูกวิธีแล้วค่ะ ) เดินตากแดดเเหกปาก หลบฝน นั่งกินข้าวบนฟุตบาทที่ไหนไม่ให้ก็ไปที่อื่น  
               เหนื่อยในการหาเงิน เพื่อไปจัดค่ายที่เหนื่อยกว่าเดิม  คือ ค่ายจิตอาสา กับสมาชิกประมาณ 40 คน  พวกเราจะเลือก โรงเรียนประถมในถิ่นทุรกันดาล กิจกรรมที่ทำ เช่น ปรับปรุงสนามเด็กเล่น  จากเดิมเป็นดินเเข็งๆ มีหิน เป็นหลุม ร่อง ก็เททรายเพื่อป้องกันเด็กๆ บาดเจ็บ ทาสีสนามเด็กเล่นใหม่ ทาสีรั้ว อาคาร สนาม แปลงผัก ซ่อมเล้าไก่ ซ่อมประตู ปูกระเบื้องอ่างล้างจาน ทำทุกอย่างที่ทำได้ ทำทุกอย่างที่ทางโรงเรียนขอมา ทำเท่าที่เราจะสามารถทำให้ได้ในระยะเวลา 5 วัน 4 คืนนี้ แถมทำกับข้าวกินเองด้วย  ทุกอย่างที่ทำนั้นมันสุดจะเหนื่อย และแสนที่มีความสุข ช่วงเวลานึงในชีวิตมหาวิทยาลัย เด็กนักศึกษาคนอื่นใช้ชีวิตกันอย่างไรนั้น เราไม่รู้ แต่นี้คือชีวิตของเราตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิต ยิ้ม
                พวกเราเรียนรู้และพัฒนา จากคนขี้อายกลายเป็นนักประชาสัมพันธ์ จากคนเขินไมค์กลายเป็นดีเจ เป็นคนเอนเตอร์เทรนเพื่อนๆ น้องๆ ได้ จากคนหัดถ่ายรูปทำโครงงาน เก็บภาพงานชมรมก้าวสู่อาชีพช่างภาพอิสระ จากคนใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆ กลายเป็นนักพัฒนา จากเด็กบ้านนั่งหลังห้องไม่มีใครสนใจกลายเป็นผู้นำที่มีคนชื่นชมมากมาย พวกเราได้เติบโต และมีชีวิตในมหาวิทลัยซึ่งเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก เวลาที่ทำงานแล้วเหนื่อย เบื่อ ท้อ เศร้า หรือรู้สึกไร้จุดหมาย ความทรงจำเหล่านั้น ก็จะเติมเต็มความสุขได้ทุกครั้งที่นึกถึง ตอนสมัครงานหลังจากที่เรียนจบมา RESUME เขียนแต่ประสบบการณ์ทำชมรมจัดค่าย เรียนบัญชีมา แทบไม่มีประวัติทางวิชาการบัญชีมาเลย 5555+ ไม่มีความมั่นใจในงานบัญชีเลยในตอนนั้น แต่ที่น่าแปลกใจก็ถึง เจ้าของบริษัทที่เป็นสำนักงานบัญชีที่เราทำอยู่ปัจจุบันนี้ โทรมาแล้วบอกว่า "ฉันอ่าน RESUME ของเธอแล้วแฮปปี้มาก เธอจะมาสัมภาษณ์ได้วันไหน" ประหลาดใจ
                วันนี้เรารู้แล้วว่าเกรดสวยๆ ที่ได้มา ประวัติกิจกรรมต่างๆ ทุกอย่างที่เราทุ่มเททำมาตลอด มันไม่ได้ถูกบันทึกลงบนกระดาษ แต่ทุกความพยายามทุกอย่างที่เราทำมา ถูกบันทึกลงบนตัวเรา บนใบหน้า บนรอยยิ้ม บนสายตา บนความมั่นใจของเราเอง ตอนสัมภาษณ์ตอนเขาไม่สนใจกระดาษที่มหาวิทยาลัยออกให้เลยด้วยซ้ำ มันเกิดขึ้นเพราะกระดาษ 3 แผ่นที่เราเขียนบอกเล่าทุกอย่าง ไม่มีลายเซ็นใครรับประกันเลย และคำพูดพร้อมความมั่นใจในตัวเอง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเรียนบัญชี แล้วได้คะเเนนสูงจนได้เกียรตินิยม แต่มันเกิดขึ้นจากการพัฒนาตัวเอง การภูมิใจในตัวเองที่เกิดจากการทำความดี การทำประโยชน์เพื่อคนอื่น การกระทำที่สร้างคุณค่าให้ตัวเราเอง มีเรารู้สึกมีคุณค่า เราจะรู้สึกพิเศษและเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งสวยงามบนโลกใบนี้
                -------------------------------------------------------------------จบ-----------------------------------------------------------------

ตอนนี้เราพอใจในประสบการณ์ตามสายงานที่เราเรียนมาแล้ว เราอยากลองหาอาชีพที่ทำให้เรามีคุณค่าในชีวิตบ้าง ใครรู้แนวหาอาชีพนี้รบกวน แสดงความคิดเห็นผ่านกระทู้ตามลิงค์ด้านล่างให้หน่อยนะค๊าาาาาา
https://pantip.com/topic/37552229
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่