ล่าขุมทรัพย์อสูร EP 5

วิชัยและไพโรจน์ยังคง งงงวยกับคำพูดของดนุจนไม่รู้ว่าจะถามหรือพูดอะไรต่อเหมือนกันทั้งคู่ยกแก้วเหล่าขึ้นดื่มเกือบพร้อมกัน บรรยากาศเงียบจนน่าประหลาดใจมีแต่เพียงเสียงน้ำแข้งกระทบแก้วเหล้าดนุเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลายแต่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น
   “คงจะเป็นเรื่องตื่นเต้นไม่น้อย หากเราสามคนจะไปขุดค้นหาทรัพย์สมบัติของกรุงศรีอยุธยาในที่ไหนสักแห่ง”
   วิชัยเอามือที่ว่างจากแก้วเหล้ายกขึ้นเกาศีรษะเบาๆพร้อมหลี่ตามองดนุเหมือนจะเข็นเอาความจริงบางอย่าง
   “แกไม่ได้พูดเล่นนะ”
   ดนุไม่ตอบ หันไปถามไพโรจน์ “นายคิดยังงัย”
   ไพโรจน์ตอบเร็วเท่าความคิด “ผมฝันมานานแล้วครับพี่”
   ตกลงแกสองคนพร้อมจะลุยงานนี้ ดนุถามย้ำ
    วิชัยและไพโรจน์ต่างหันมามองหน้ากันก่อนพยักหน้าเห็นด้วยแต่วิชัยยังไม่คลายสงสัย “แกคิดว่ายังมีสมบัติสมัยกรุงศรีอยุธยาถูกซุกซ้อนหลงเหลืออยู่ที่ไหนอีกวะ”
   ดนุยิ้มพึงพอใจก่อนตอบ “แกสองคนรู้ใช้มั๊ยว่า เมื่อพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ.2310 พวกมันได้เผาบ้านเผาเมืองกรุงศรีอยุธยาเสียหายย่อยยับทั้งยังกวาดตร้อนไพร่พลชาวบ้านชาวเมืองไปเป็นเฉลยหลายหมื่นรวมทั้งได้ยุดเก็บอาวุธยุธโทปกรณ์ช้างม้าพาหนะต่างๆจำนวนมากมายกลับไปยังกรุงรัตรณปุระ”
   ไพโรจน์พูดแทรกตัดบท “ขอเวลานอกครับขอกับแก้มสักจานสองจานก่อนเถอะพี่นุสุรามันบาดขอเหลือเกิน” เสียงพูดของเขาเริ่มหย่อนยาน
   เมจดบันทึกข้อมูลบางอย่างลงในสมุดโน้ตส่วนสุพจน์นั่งอ่านหนังสืออยู่เหมือนเดิมไม่สนใจอะไรเมพูดเสียงกระซิบ “พี่สุพจน์เงียบๆนะเรื่องที่สามหนุ่มโต๊ะตรงหน้าเคาเตอร์นั้นคุยกันเมว่าน่าสนใจ”
   “พูดเรื่องอะไรพี่ไม่ได้ฟัง”
   “ก็ลองฟังดูสิ เมว่าอาจเป็นประเด็นข่าวได้”
   สุพจน์มองไปที่โต๊ะของดนุพอดีกับที่ไพโรจน์เลือกสั่งกับแก้มเสร็จดนุอธิบายต่อ “พวกมันได้ยึดเก็บบรรดาสมบัติทั้งสินของมีค่าสาระพัน ทั้งของเจ้าของแผ่นดินและของราษฎรแม้กระทั้งเงินทองของเครื่องพุทธบูชาตามวัดวาต่างๆมันก็เอาไม่เว้น” วิชัยวางแก้วเหล้ากระแทกลงบนโต๊ะพูดเสริมอย่างมีอารมณ์ “ที่จำได้แม่นถึงสันดานโจรถ่อยของพวกมันที่บังอาจเอาไฟสุ่มพระพุทธรูปให้ทองคำที่หุ้มองค์พระละลายแล้วเก็บเอาไปมีทองคำที่หุ้มพระศรีสรรเพชรดาญาณองค์หนึ่งละ”
   ไพโรจน์ด่าซ้ำเติม “ไอพวกนรกมาเกิดทำลงไปได้อย่างไรทั้งที่มันก็นับถือพุทธศาสนาเหมือนกับคนไทยเราแถมพวกมันจะเคร่งครัดกว่าเสียด้วยซ้ำ”
   “ผมศึกษาพงศวดารพม่าระบุว่าในครั้งนั้นพวกมันได้เฉลยไปสามหมื่นกว่าคนปืนใหญ่พันสองร้อยกระบอกปืนเล็กหลายหมื่นทรัพย์สินเงินทองเหลือประมาณชนิดที่ว่าไม่เหลือไว้ให้กรุงศรีอยุธยาไว้ทำทุนกันเลยละ” เมื่อไพโรจน์พูดถึงตรงนี้ได้มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินมาในร้านตรงไปที่โต๊ะที่ว่างอยู่ระหว่างโต๊ะของพวกเขาและโต๊ะของเม ดนุรีบลุกขึ้นไปต้อนรับก่อนที่ชายหญิงคู่นั้นจะนั่งลง
   “เชิญโต๊ะนู้นดีมั้ยครับโปร่งสบายดีครับ” เขาเชื้อเชิญไปที่โต๊ะใหญ่สี่ที่นั่ง
   “ไม่เป็นไรเรามากันแค่สองคนเองครับ”
   “ใกล้เวลาเปิดเพลงแล้วครับตรงนี้ใกล้ลำโพงเชิญโต๊ะนู้นดีกว่าครับ”
   ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาว เธอพยักหน้าเชิงเห็นด้วย หลังจากนั้นดนุได้เดินกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม
   “อะไรของแกวะทำเหมือนไม่อยากให้เขานั่งตรงนั้นจองโต๊ะไว้ให้สาวคนไหนรึป่าว” วิชัยกระซิบถาม ดนุโน้มตัวไปใกล้เพื่อน “แกลืมไปแล้วหรอ เดี่ยวก็ไม่เป็นเรื่องลับหรอก” เขากระซิบตอบ
   วิชัยหันมองซ้ายขวาแล้วพูด “เออจริงลืมไปวะ” เข้าเรื่องเลยดีกว่าให้เดาแกจะตามไปทวงสมบัติกรุงศรีอยุธยาคืนจากพม่า
   ดนุยิ้มกับความคิดของเพื่อน “นั้นมันคนบ้าแล้ว ฟังนะ ฉันมีความเชื่อว่าทรัพย์สมบัติของกรุงศรีอยุธยาที่ถูกพวกพม่ายึดและปล้นเอาไปเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่สองจะต้องมีบางส่วนที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทยตามเส้นทางเดินทัพกลับของกองทัพพม่าโดยแม่ทัพนายกองที่มีความโลภและไม่ซื่อสัตย์” เขาหยุดพูดชั่วขณะมองไปที่โต๊ะอื่นๆไม่เห็นมีใครสนใจมองมาเขาพูดต่อเสียงเน้น “อย่าลืมนะสงครามคราวนั้นไม่ใช่กองทัพกษัตริย์พม่ายกมาแต่ให้เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่เป็นแม่ทัพยกมาและเมื่อใดที่มีโอกาสก็หวนกลับมาเอาไปเป็นของตัวเอง”
   ไพโรจน์มองดนุด้วยความทึ้ง “พี่นุคิดได้ยังไงเนี้ย ผมศึกษาเรื่องราวเหล่านี้มาก็มากยังไม่เคยพบว่าใครตั้งสมมุติฐานหรือคิดแบบพี่เลย”
   “เออเรามีโอกาสเหมาะแบบนั้นก็ต้องเอาไวบ้างละวะ แล้วพวกเราจะเริ่มต้นกันอย่างไรดี” วิชัยถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
   ดนุอธิบายแผนการต่อ “เราจะต้องช่วยกันศึกษาค้นคว้าจากพยานหลักฐานต่างๆอย่างจริงจังและอีกสิ่งที่จะช่วยเราได้มากคืออุปกรณ์ค้นหาที่ทันสมัยในปัจจุบันน่าจะช่วยนำพาเราไปพบกับสมบัติเหล่านั้นได้” พูดจบเขาเอื้อมมือไปจับไหล่ไพโรจน์ “นายจะเป็นกำลังสำคัญของเราในงานนี้ด้วย”
   วิชัยเอื้อมมือไปจับไหล่อีกข้างหนึ่งของไพโรจน์เช่นกันพร้อมพูดว่า “ทั้งกำลังสมองและกำลังเงินด้วยรึป่าววะ”
   “ ด้วยความยินดีทั้งสองสิ่งแต่ต้องให้ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายวิชาการนะผมมีแผนเพิ่งคิดออกเมื่อกี้นี้เอง ” ไพโรจน์รับปากด้วยท่าทีและน้ำเสียงกะตือรือล้น  
“พี่รู้หรอกน่า  หากพวกเราทำสำเร็จแกกะจะได้เป็นด็อกเตอร์โดยไม่ต้องเรียนซีท่า ” วิชัยพูดดักคอ
      “ถูกต้องแล้วครับ” ไพโรจน์ตะโกนเลียนแบบประโยคฮิตของพิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดังในอดีต
       ทั้ง3หัวเราะขึ้นพร้อมกันอย่างชื่นมื่น  “เราจะเริ่มงานกันพรุ่งนี้” ดนุพูดพร้อมโอบไหล่เพื่อนทั้งสองคน “และที่สำคัญเราจะปกปิดแผนการนี้ไว้เป็นความลับที่สุดรู้เพียงเราสามคนเท่านั้นพูดจบดนุมองสบตาวิชัยและไพโรจน์ด้วยแววตาเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม” ทั้งสองคนพยักหน้าเชิงให้คำมั่นสัญญา
   เมแอบชำเรืองมองดนุหลังจากที่เธอแอบฟังเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันตลอดเวลา
    “พี่สุพจน์พี่ได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกันเมื่อกี้เหลือเปล่า” เธอถามเสียงเบาเหมือนกระซิบ
   “อือ คงจะเมากันแล้วละมั้ง” สุพจน์ตอบน้ำเสียงรำคาญโดยไม่เงยหน้าจากหนังสือ
   “เป็นความลับที่สุด   รู้เพียงเราห้าคนเท่านั้น” เมพูดขึ้นลอยๆพร้อมกับยิ้มแบบขำๆ
   เมและสุพจน์ออกจากร้านอาหารไทยมุงประมาณสามโมงเย็นหลังจากที่แหล่งข่าวบอกยกเลิกนัด ขณะรอรถแท็กซี่สุพจน์บ่นเสียงดังอย่างมีอารมณ์ “ให้เราเสียเวลาตั้งครึ่งค่อนวันแล้วมายกเลิกนัดเฉยเลยไม่ใหญ่ไม่รวยบ้างก็แล้วไปวะ” พร้อมกับใช้ผ้าเช็ดหน้า เช็ดเหงื่อตามใบหน้าและคอ
   “ท่านก็ฝากขอโทษเราแล้วนี้น่า นายกรัฐมนตรีเชิญไปปรึกษาหารือใครละจะปฏิเศษได้พรุ่งนี้เลขาจะโทรมานัดหมายอีกครั้ง” เมพูดเสียงเรียบๆหวังให้เขาคลายโมโห
    “แล้วก็อย่าลืมที่แนะนำไปละ นัดเวลาให้มันเวิร์คๆหน่อย” สุพจน์พูดน้ำเสียงกระแทกกระทั้น
   “แหมห่วงจริงนะเรื่องนี้” เมพูดประชดพร้อมกับจับแขนสุพจน์ทำนองให้เดินช้าลง “เรื่องตามล่าสมบัติที่ผู้ชายพูดคุยกัน เมว่าน่าสนใจมากสักวันหนึ่งอาจเป็นข่าวใหญ่ก็ได้เมอยากตามเรื่องนี้จริงๆ” เธอพูดความในใจเชิงขอความเห็นชอบ
   “เสียเวลาเรื่องเหลวไหลเธอไม่เห็นหรอว่าไอ้พวกนั้นซดเหล้าอย่างจะน้ำฟังแล้วมันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อหาสาระไม่ได้” น้ำเสียงของเขาเหมือนต้องการเย้ยหยันเธอด้วย
   “แต่เมว่าเขามีข้อสมมุตติฐานที่แปลกและก็มีความเป็นไปได้ด้วย” เธอพูดเสียงแข็งขึ้น
   สุพจน์หยุดเดินทันทีทำให้เมต้องหยุดชะงักตามไปด้วย เขามองหน้าเธอด้วยแววตาสบประมาท “คนเรานะถ้าสนใจแต่เรื่องไรสาระสักวันหนึ่งก็อาจเป็นคนไร้สาระไปด้วย เชื่อเถอะเสียเวลาเปล่าๆ” เมฟังแล้วรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีเธอสวนกลับเสียงแข็ง “แล้วพี่สุพจน์รู้ได้อย่างงัยว่าเรื่องนี้ไร้สาระ”
   สุพจน์เอานิ้วจิ้มไปที่ข้างศีรษะตัวเอง เขาพูดเสียงเย้ยหยัน “นี้ไงสมองและประสบการณ์น้อง”
   “เมว่าบางครั้งสมองและประสบการณ์อาจทำให้คนบางคนโอหังและอวดรู้ได้” เธอสวนกลับทันควัน
   “เธอว่าพี่เหรอ”  สุพจน์โกรธที่เธอกล้าต่อปากต่อคำ
   เมพูดเสียงเรียบพร้อมเชิดหน้าใส่เขา “มีทั้งสมองและประสบการณ์ก็ตรองดูสิค่ะ”
   “ไม่ต้องตรงตร่องหรอกตั้งใจด่ากระทบกันชัดๆ” เขาตะคอกใสเธอ
   “เมขอตัวก่อนนะค่ะ” พูดจบเธอรีบก้าวเดินจากไปเรียกแท็กซี่แล้วขึ้นไปนั่ง รถวิ่งออกไปทันที ปล่อยให้สุพจน์ยืนงงหงุดหงิดอยู่คนเดียว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่