ล่าขุมทรัพย์อสูร EP 4

ร้านอาหารกึ่งผับชื่อร้านไทยมุง
   ภายในร้านมีแขกนั่งรับประทานอาหารอยู่2โต๊ะทั้งนี้เพราะเป็นเวลาบ่ายมากแล้วลูกค้ามื้อกลางวันของที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนทำงานออฟฟิส เมื่อวิชัยเปิดประตูร้านเดินเข้ามาพบว่าดนุกับไพโรจน์นั่งคุยกันอยู่ก่อนแล้ว
   “มาไวนี้หว่าสนใจมากสิท่า” ดนุกล่าวทักทายปนแซว วิชัยไม่ตอบเดินมานั่งที่โต๊ะของเพื่อน
   “สวัสดีครับพี่” ไพโรจน์เพื่อนรุ่นน้องกล่าวทักทายพร้อมยกมือไหว้
  วิชัยรับไหว้ “เรียนต่อโทเป็นไงบ้างละ”
   “สาวไม่ค่อยมีเลยพี่มีแต่คนแก่มาเรียน”
   “ก็สาวสมัยนี้จะมีใครอยากไปขุดหินขุดดินกับนายเล่า” วิชัยแซว ก่อนที่ไพโรจน์จะโต้ตอบดนุพูดตัดบท
   “เดียวเอาอะไรมากินกันก่อนดีกว่า”  
   “ขอกับแกล้มก่อนก็แล้วกัน แก่บอกจะเลี้ยงนะ”  วิชัยย้ำเตือน  ดนุยิ้มรู้ทันเพื่อนก่อนที่จะขอตัวไปจัดเตรียมกับแก้มจานโปรดของเพื่อนในครัวหลังร้าน
   อีกมุมหนึ่งของร้านไม่ห่างจากโต๊ะของทั้งสามคน หนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามานั่งโต๊ะที่ว่างอยู่ ฝายชายพูดเชิงบ่นขึ้นก่อน
   “นี้ยัยเม เธอนัดเวลาสัมภาษณ์ยังไงจะกลางวันก็ไม่กลางวันจะเย็นก็ไม่เย็น บ่ายๆอย่างนี้มันไม่เวิร์ครู้มั๊ย”
   ฝ่ายหญิงชื่อเมดูอ่อนวัยกว่าพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ
   “ก็เลขาเขาบอกว่าคุณจาตุฤกษ์ว่างเวลานี้นิ”
   “ก็บอกไปบ้างสิว่าเราไม่สะดวก”
   “เมไม่เห็นว่าจะไม่สะดวกตรงไหนและที่พี่สุพจน์ว่าไม่เวิร์คนะไม่เวิร์คอย่างไร” คำโต้ตอบของเธอทำไห้รู้ว่าฝ่ายชายชื่อสุพจน์
         “ก็ไม่เวิร์คนะสิถ้านัดกลางวันหรือเย็นเราก็อาจได้รู้ถึงรสนิยมในการรับประทานอาหารของอภิมหาเศรษฐีเมืองไทย” เขาหยุดพูดชั่วขณะทำทีท่าเหมือนสบประมาทแล้วพูดต่อ “เฮ้อ ไม่น่าพลาดพยายามอยู่ใกล้พี่ไว้แล้วจะเป็นงาน”
   “โธ่ นึกว่าเรื่องอะไรเดี่ยวเมเลี้ยงเองก็ได้”
   สุพจน์รีบหันไปเรียกเด็กเสิร์ฟในร้านมารับออเดอร์ทันที
   ที่โต๊ะของดนุและเพื่อนอาหารชุดแรกถูกนำมาเสิร์ฟดนุปล่อยให้เพื่อนกินอาหารก่อนยังไม่พูดถึงเรื่องสำคัญ เขายิ้มปลื้มใจที่เห็นวิชัยกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
   “เอาพูดกันบ้างสิเป็นไงรสชาติเหมือนเดิมรึป่าว”
   “อืมอร่อยเป็นเพราะหิวรึป่าวก็ไม่รู้วะ” วิชัยตอบขณะที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก ขณะที่ไพโรจน์หันไปมองหญิงสาวสามคนที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของร้านด้วยสายตาเจ้าชู้
   “ที่นี่ก็ดูสดใสดีนี่ครับไม่น่าจะมีผีนะพี่”
   “เออเล่าได้รึยังวะเรื่องกูเห็นผีของแกนะ” วิชัยพูดเสริมขณะจัดการแยกร่างกุ้งตัวใหญ่ตัวสุดท้ายบนโต๊ะ
   ดนุวางช้อนซ้อมแล้วมองซบตาเพื่อนทั้งสองคนครู่หนึ่ง “เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาฉันไปที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครกรุงศรีอยุธยามาได้พบเห็นเหตุการณ์ประหลาดลึกลับที่ยังหาความกระจ่างชัดไม่ได้ ก่อนกลับตอนเย็นฉันไปที่วัดร้างแห่งหนึ่งขณะที่กำลังถ่ายรูปพระเจดีย์จู่ๆก็รู้สึกมึนงงท้องฟ้าที่ยังมีแสงแดดก็แปรเปลี่ยนเป็นกลางคืน เรื่องตกใจกลัวไม่ต้องพูดถึงฉันคิดจะเดินหนีจากที่นั้นแต่มันก้าวขาไม่ออกฉับพลันที่ลานวัดตรงหน้าฉันก็กลายเป็นสนามรบทหารกรุงศรีอยุธยากำลังสู้รบกับทหารพม่าอย่างดุเดือดและโหดสยองสุดๆ”  วิชัยและไพโรจน์ฟังดนุเล่าจนลืมตักอาหารเข้าปาก                                 
   ที่โต๊ะของเมกับสุพจน์ทั้งคู่กำลังนั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลารอเวลานัดสัมภาษณ์แหล่งข่าว แต่โต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่ถูกแสงแดดยามบ่ายส่องเต็มๆ
   “พี่สุพจน์แดดร้อนเราย้ายไปนั่งโต๊ะนู้นดีกว่า” เมเก็บของบนโต๊ะแล้วเดินไปนั่งโต๊ะที่ว่างอยู่ซึ้งอยู่ใกล้โต๊ะของสามหนุ่ม สุพจน์เดินตามมานั่งเขาบ่นอย่างอารมณ์เสีย
   “ถ้าไม่คิดเผื่อฟรุ๊คได้ข่าวขึ้นหน้าหนึ่งพี่กลับไปนานแล้วจริงๆ”
   เมเงยหน้ามองสุพจน์ด้วยสายตาเย็นชาแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ แต่แล้วก็ต้องเงยหน้าหันไปมองที่โต๊ะของดนุเมื่อได้ยินเรื่องที่ทั้งสามคนคุยกัน “ผมเชื่อว่าพี่ดนุพูดจริงแต่ที่ยังสงสัยพี่คิดว่าเป็นผีหรือคนครับ”
   ดนุยื่นหน้าเขาไปหาไพโรจน์แล้วตอบ
   “มาให้เห็นแล้วก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาคงไม่ใช้คนแล้วหล่ะไอน้อง” พูดจบเขาล้วงมือเขาไปในกระเป๋าเสื้อหยิบเอาวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาให้สองคนดู
   “นี่และสิ่งที่ว่า”
   วิชัยรับมาพิจารณาดู ส่วนไพโรจน์มองดูแบบหวาดๆ
   “แก่สองคนรู้มั้ยเขาเรียกว่าอะไร” ดนุถาม
   วิชัยแสดงสีหน้าครุ่นคิดก่อนตอบ “ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก”
   “หน้าจะเป็นเครื่องรางนะพี่” ไพโรจน์พูดเสริมพร้อมรับวัตถุชิ้นนั้นมาดูแล้วแสดงสีหน้าหวาดกลัวนิดๆ “พี่รู้สึกเหมือนผมไหมว่ามันเย็นๆอย่างไงชอบกล”
   ทั้งสามคนมองสบตากันไปมาด้วยสายที่ตาสงสัย
   เวลาผ่านไปพอสมควรเมฟังเรื่องที่สามหนุ่มคุยกันอย่างวนใจแต่แสร้งทำเป็นอ่านหนังสือ
   “หมดเรื่องแล้วเดียวฉันขอกลับไปลุยงานต่อ” เสียงของชายหนุ่มชื่อวิชัย
   “ยังเรายังไม่ไม่ได้คุยเรื่องสำคัญกันเลย มันเป็นความลับสำหรับเราสามคนเท่านั้น” ประโยคสุดท้ายเธอจำได้ว่าเป็นเสียงของชายหนุ่มเจ้าของเรื่องที่ชื่อดนุขณะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น
   “ฮัลโหลสวัสดีค่ะ ...ค่า...ค่าไม่เป็นไรค่ะขอบคุณมากค่ะ”
   สุพจน์พูดสวนขึ้นมาทันที “เขาโทรตามเหรอเรียกเก็บเงินเลยดีกว่า”
   “พี่สุพจน์จะไปไหน เลขาคุณจาตุฤกษ์โทรมาขอเลื่อนนัดออกไปอีกครึ่งชั่วโมง ”
   สุพจน์แสดงอาการหงุดหงิดทันทีตะคอกใส่เม “ชิบ..ไม่บอกไปละว่าเราไม่มีเวลา”
   ดนุได้ยินเสียงตะคอกของสุพจน์เขาหันมามองแวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
   เมโน้มตัวไปประจันหน้ากับสุพจน์ “ต่อไปเมจะไห้พี่สุพจน์คุยกับเขาเอง” เธอพูดเน้นเสียงขึ้นอีก “แล้วก็อย่าลืมพูดอย่างเมื่อกี้ละ”
   สุพจน์เห็นท่าทีเธอโกรธจริงจังเขาจึงเบาลง “ใจเย็นๆน่า” แล้วหลบสายตาเธอก้มลงอ่านหนังสือต่อเมจ้องมองเขาชั่วครู่ก่อนจะชำเรืองตามองไปที่โต๊ะของสามหนุ่ม ดนุถือขวดเหล้ามาวางบนโต๊ะ ไพโรจน์รินเหล่าให้สองคนและตัวเอง ทุกคนยกแก้วเหล่าขึ้นดื่มแบบเพรียวๆพร้อมกัน
   “พวกฝรั่งเครื่องมือเครื่องไม้มันดีแถมยังมีทุนหนาอีก” วิชัยพูดกับเพื่อนขณะเอื้อมมือไปหยิบขวดเหล่า
   “ใช่ พวกมันเก่งจริงๆขอให้มันรู้เถอะว่าสมบัติซุกซ่อนอยู่ที่ไหนไม่ว่าจะอยู่ก้นบึ้งมหาสมุทรหรือบนภูเขาสูงเฉียดฟ้า มันตามไปเอามาจนได้” ไพโรจน์เสริม ทั่ง3คนยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มตามกันอีกรอบ ดนุถามต่อ
   “เรื่องพวกนี้แก่ว่าคนไทยเราสู้ฝรั่งได้มั๊ยว่ะ”
   วิชัย ตอบเสียงดัง “มันถนัดกันคนละแนวเว้ยเปรียบกันไม่ได้ไทยเราถนัดทางขุดกรุมุดถ้ำขุดเจดีย์อะไรเทือกนั้น”
   ไพโรจน์พูดสนับสนุนด้วยน้ำสียงจริงจัง “พี่เชื่อไหม สมบัติที่ซุกซ่อนไว้ตามที่เหล่านั้นถูกไอ้พวกบรรพบุรุษโจรมันขุดเอาขึ้นมาหมดก่อนที่พวกเราจะเกิดเสียด้วยซ้ำ”
   ดนุยกมือขึ้นขอออกความคิดเห็นพร้อมโน้มตัวไปข้างหน้า “พี่ขอแย้ง” เขาพูดลากเสียง “ยังมีเหลือ และยังมีเหลืออีกมากให้เราสามคนได้ออกไปตามล่า” สองคนจ้องหน้าดนุอย่างประหลาดใจและรอว่าเขาจะพูดอะไรต่อ ขณะเดียวกันเมก็ได้ยินประโยคคำพูดนี้และได้แอบชำเรืองตามองสามหนุ่มชั่วขณะหนึ่งเธอตั้งใจฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อเช่นกัน
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ บทภาพยนตร์
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่