“ข้ามันให้หมด” ทหารพม่าตัวนายนั่งอยู่บนหลังม้าตะโกนเสียงกร้าวให้เหล่าสมุนโหมบุกตะลุยไล่ฆ่า ขณะที่ทหารฝ่ายกรุงศรีอยุธยาสู้พลางถ่อยพลางถูกฆ่าฟันล้มตายลงคนแล้วคนเล่า
เลือดรักชาติทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นพรุกพร่านอยากจะกระโจนเข้าไปช่วยเหลือบรรพบุรุษนักรบไทยเสียเหลือเกิน แต่อนิจจาแค่กระพริบตาเขายังไม่สามารถทำเลย
ฉับพลันทันใดนั้นมีบุรุษลึกลับควบม้าสุดฝีเท้าบุกตะลุยเข้ามาร่วมสัปยุทธด้วย ชั่วอึดใจเขาได้ใช้มีดดาบฆ่าทหารพม่าตายลงประมาณ4-5คน พิจารณาจากเพลงดาบและความชำนาญการรบบนหลังม้าบุรุษผู้นี้ฝีมือไม่ธรรมดาทหารพม่าตัวนายชักม้าหันรีหันขวางด้วยอาการตื่นตระหนก ชายหนุ่มลุ้นเอาใจช่วยสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปทางดี หากแต่ว่าเขาคาดผิด
“พลธนูขึ้นสาย” นายพม่าตะโกนสั่งการฉับพลันพลธนูสองคนที่ยืนเตรียมพร้อมอยู่ข้างม้าขึ้นสายธนูจนสุดแขนอย่างรวดเร็ว
ชั่วหยุดหายใจ นายทหารพม่าสั่ง “ฆ่ามัน”
ลูกธนูถูกปล่อยพุ่งแหวกอาการออกไปสู่เป้าหมายบุรุษลึกลับเบี่ยงตัวหลบ คมหัวลูกธนูดอกแรกกรีดเลือดที่แก้มเป็นทางยาว ดุจสายฟ้าลูกธนูดอกที่สองพุ่งปักที่อกบุรุษลึกลับ อึดใจต่อมาเขาฟุบลงบนหลังม้า
นายทหารพม่าควบม้าเข้าไปหาทันทีขณะที่บุรุษลึกลับทนความเจ็บปวดไม่ไหวร่วงตกจากหลังม้าฟุบหน้าลงกับพื้นดินเขาพยายามใช้ดาบที่กำแน่นอยู่ในมือยันกายขึ้นเตรียมต่อสู้พร้อมมองไปรอบกายก็พบทหารกรุงศรีอยุธยาคนสุดท้ายกำลังถูกฟันล้มลงพอดีแววตาที่แข็งก้าวสลดลงทันที ซึ่งก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสลดใจขึ้นมาทันทีเช่นเดียวกันเมื่อรู้ว่าขุนศึกผู้นี้จะต้องประสบกับชะตากรรมเช่นใด
บัดนี้นายของทหารพม่าได้มาหยุดม้าอยู่เบื้องหน้าขุนศึกกรุงศรีอยุธยามันตะคอกถาม
“เจ้าคงจะเป็นหัวหน้าผู้รักษาทรัพย์สมบัติของสถานที่แห่งนี้ใช่หรือไม่” สิ้นเสียงมันกระโดดลงจากหลังม้าพร้อมย่างก้าวเข้าไปหา ขุนศึกกรุงศรีฯไม่มีทีท่าจะครั่นคร้ามแม้แต่น้อยพยุงกายลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งคุกเข่าจ้องมองหน้าศัตรูอย่างโกรธแค้นอยู่ชั่วครู่
“พวกทำการเยี่ยงโจรชั่วหามีเกียรติเยี่ยงชายชาตินักรบไม่ สมบัติแม้แต่ชิ้นเดียวพวกก็อย่าหวังได้ไป”
นายทหารของพม่าคำรามสุดเสียง “โอหัง หมดหน้าที่ของแล้ว” ฉับพลันมันเงื้อมีดดาบขึ้นสุดแขนแล้วฝาดฟันสุดแรงไปยังล่างของขุนศึกกรุงศรีอย่างโหดเหี้ยม เสียงคมมีดที่ชำแลกผ่านร่างกายคนเสียดแทงเข้าไปในความรู้สึกของชายหนุ่มสร้างความเจ็บปวดให้อย่างสุดพรรณนาชั่วครู่ต่อมาขุนศึกกรุงศรีอยุธยาค่อยๆฟุบคว่ำหน้าลงกับพื้นดิน ไอ้พม่าตัวนายสะบัดมีดดาบสลัดคราบโลหิตแล้วชูมีดดาบขึ้นสุดแขนอย่างลำพองพร้อมตะโกนสั่งไพร่พล
“สืบค้นเอาไปให้หมดสิ้น อย่าให้หลงหรือแม้แต่ชิ้นเดียว” พูดจบมันก้าวข้ามร่างขุนศึกกรุงศรีมุ่งตรงไปทางพระเจดีย์ใหญ่
ชายหนุ่มรู้สึกคับแค้นใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ที่เห็นนักรบไทยถูกย่ำยีศักดิ์ศรีถึงปานนี้แต่เขาก็ต้องปละหราดใจเมื่อเห็นร่างที่สงบแน่นิ่งสั่นสะเทิ้มขึ้นมาอีกพยายามเงยหน้าและจ้องมองมาที่เขา ชายหนุ่มตัดสินใจในวินาทีนั้นจะเข้าไปช่วยเหลือขุนศึกผู้นั้น แต่เขาก็ยังคงไม่สามารถขยับเขยื้อนส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายได้เหมือนเดิมขณะที่ขุนศึกผู้นั้นพยายามยื่นวัตถุสิ่งหนึ่งในมือที่มีลักษณะคล้ายพระเครื่องหรืออาจจะเป็นเครื่องรางก็ได้รูปร่างเหมือนหัวลูกศรธนูมาให้และจ้องมองเขาไม่กระพริบตา ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะวิงวอนและต้องการบอกความในบางประการ ซึ่งก็ทำได้เพียงเท่านั้นขุนศึกฟุบลงกับพื้นอีกครั้งลมหายใจเฮือกสุดท้ายของขุนศึกผู้นี้ได้หมดสิ้นไปเมื่อวินาทีก่อนหน้านี้แล้ว
ชั่วอึดใจต่อมาร่างของขุนศึกกรุงศรีค่อยๆเลื่อนหายไปพร้อมกลับทุกสรรพสิ่งที่ปรากฏอยู่ในที่นั้น ท้องฟ้าเวลากลางคืน
กับมาสว่างเป็นท้องฟ้ายามเย็นอีกครั้ง ชายหนุ่มหายจากอาการมึนงงกลับมาเป็นปกติ แต่ก็ยังรู้สึกตื่นตกใจกับเหตุการณ์
ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วครู่ เขาตัดสินใจออกจากที่นั้นทันที แต่ก่อนที่จะก้าวเท้าออกเดิน สายตาของเขาได้กระทบกับแสง
สะท้อนจากวัตถุบางสิ่งที่พื้นดินตรงบริเวณที่ขุนศึกนอนเสียชีวิต ด้วยความสงสัยเขาจึงหยิบขึ้นมาดูรู้สึกหนาวสะท้านและ
ขนลุกซู่ไปทั้งตัว เพราะวัตถุชิ้นนี้ช่างดูเหมือนกับสิ่งที่ขุนศึกกรุงศรีพยายามหยิบยื่นให้กับเขาก่อนหน้านี้ ซึ่งเขา ยังคงจำได้ติดตา
ตลอดระยะเวลาเดินทางกลับกรุงเทพฯเขาครุ่นคิดว่าวิณญาณขุนศึกกรุงศรีผู้นั้นต้องการจะบอกกล่าวอะไรและวัตถุลึก
ลับที่เก็บมาจะมีคุณหรือโทษกับเขาอย่างไร แต่เรื่องที่ชายหนุ่มอยากรู้มากที่สุดในขณะนี้คือเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น
จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญที่เขาคิดจะกระทำอยู่ในขณะนี้หรือไม่
ภายในสำนักงานนิตยสารท่องโลกศิลปะ วัฒนธรรม
เวลาบ่าย วิชัยกำลังหมกมุ่นอยู่กับกองต้นฉบับบนโต๊ะทำงานเพราะเป็นวันสุดท้ายของการปิดต้นฉบับ เดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่ง
วุ่นอยู่กับการสั่งงานและพูดคุยทางโทรศัพท์
“ผมค้างพี่ศรีอยู่อีกเท่าไรครับ ”น้าเสียงฟังดูจริงใจและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
“อือฮือ เยอะจังผมจะโอนไปให้เดี๋ยวนี้เลย สวัสดีครับพี่” พูดขาดคำเขาเอื้อมมือไปกดแคร่โทรศัพท์เบาๆเขาจำเป็นต้องตัดบทสนทนาเพราะรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้ยาวแน่ เสียงกริ่งโทรศัพท์อีกเครื่องดังสวนขึ้นมา เขารับสายแล้วฟังทางโน้นพูดอยู่ชั่วครู่
แล้วแอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ
“เย็นนี้ไม่ทันพี่พี่ต้องส่งต้นฉบับภายใน1ชั่วโมงนี้” เขาหยุดฟังชั่วครู่
“2ชั่วโมงก็2ชั่วโมงขอบคุณครับพี่ สวัสดีครับ” เขาถือสายรอจนมั่นใจว่าผู้สนทนาว่าวางสายแล้วฉับพลันเขาวางหูโทรศัพท์กระแทกเสียงดังโครมแล้วถอนหายใจลุกขึ้นไปที่โต๊ะเลขา
“โม ให้การเงินโอนเงินค่าเรื่องที่ค้างอยู่ ไปให้พี่ไกรศรีด่วนด้วยไม่งั้นเราจะส่งต้นฉบับไปพิมพ์ไม่ทัน” พร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ เลขารับมาไม่ทันได้อ่านเธอถาม
“ให้ทั้งหมดเลยหรือเปล่าคะ พี่วิชัย”
“ให้ทั้งหมด เงินเดือนเดือนนี้เธอก็รับแค่ครึ่งเดียวอ่านดูก่อนสิแล้วค่อยถาม ” วิชัยพูดเสียงตำหนิ
เลขาก้มอ่านข้อความในกระดาษแล้วเดินออกจากห้องไปแอบค้อนให้เขานิดหนึ่ง
เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะเลขาดังขึ้น วิชัยเหลียวมองซ้ายขวาไม่เห็นใคร จึงเดินไปรับสาย
“สวัสดีครับ อ้าวเฮ้ย นุมีอะไรวะ”
คนที่โทรเข้ามาคือ ดนุ เพื่อนเก่าครั้งเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันหลังเรียนจบทั้งคู่ยังคบหากันเรื่อยมา
“แกว่างอยู่หรือเปล่า”
“โคตรยุ่งเลย ตั้งแต่เช้ามีแต่เรื่องปวดหัว” วิชัยบ่นให้ฟัง
“กินข้าวกลางวันหรือยัง มาที่ร้านสิเดี๋ยวฉันเลี้ยงมีเรื่องสำคัญจะปรึกษา”
“ข้าวเช้ายังไม่ได้กินเลย งานก็ยังเคลียไม่เสร็จเสียดายของฟรีจริงๆวะ
ขณะที่คุยโทรศัพท์วิชัยก็อ่านตรวจต้นฉบับไปพร้อมๆกับเดินไปมาระหว่างโต๊ะตัวเองกับโต๊ะเลขา
“ฉันรู้หรอกน่าช่วงปิดต้นฉบับหัวหน้ากองบกออย่างแกมันยุ่ง แต่ข้ามีเรื่องสำคัญจริงๆอยากคุยกับพวกเรา โทรบอกไพโรจน์แล้วเดี๋ยวน้องมันคงจะมาถึง”
ขณะที่วิชัยฟังดนุพูดเขาเดินย่ำไปมาบนกองเศษกระดาษและเทปกาวใช้แล้วที่เลขาสาวทิ้งไว้ระหว่างโต๊ะ
จนเทปกาวติดรองเท้าของเขาอีรุงตุงนังไปหมด “เออๆเดี๋ยวนะโว้ย”วิชัยพูดขณะยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาดึงเทปกาวที่ติดรองเท้าออกพร้อมชำเลื่องมองเลขาสาวที่ยืนอยู่หน้าห้องแล้วบ่นกับตัวเอง
“หน้าเอาตะกร้าขยะผูกติดเอวให้จริงๆ” วิชัยคุยกับดนุต่อ “เรื่องสำคัญของแกมันเรื่องอะไรวะ”
“แกสนใจเรื่องจิตวิญญาณบ้างมั๊ย”
วิชัยตอบกลับด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เฮ้ย ฉันทำหนังสือเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมและยังคงยึดมั่นแนวทางนี้อยู่เหมือนเดิม”
“ฉันเห็นมากับตาจริงๆและมีหลักฐานมายืนยันให้ดูด้วย” เสียงดนุแว้วดังออกมาจากหูโทรศัพท์
“วิชัยหยุดดึงเทปกาวออกจากร้องเท้า” ดวงตาฉายแววอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที “ไม่เกินชั่วโมงฉันจะไปพบแก่ที่ร้านโอเคนะ” เขาวางหูโทรศัพท์ลงอย่างช้าๆสีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลาที่คบเป็นเพื่อนกันมาเกือบ20ปี เขารู้จักเพื่อนคนนี้ดี ว่ามีความมุ่งมั่นจริงใจและที่สำคัญไม่เคยพูดเหลวไหลกับเพื่อนคนใดและสำหรับเรื่องนี้หากดนุพูดจริงมันอาจเป็นเหตุผลที่จะทำให้เขาตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดเสียทีว่าวิญญาณมีจริงหรือไม่
ล่าขุมทรัพย์อสูร EP 3
เลือดรักชาติทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นพรุกพร่านอยากจะกระโจนเข้าไปช่วยเหลือบรรพบุรุษนักรบไทยเสียเหลือเกิน แต่อนิจจาแค่กระพริบตาเขายังไม่สามารถทำเลย
ฉับพลันทันใดนั้นมีบุรุษลึกลับควบม้าสุดฝีเท้าบุกตะลุยเข้ามาร่วมสัปยุทธด้วย ชั่วอึดใจเขาได้ใช้มีดดาบฆ่าทหารพม่าตายลงประมาณ4-5คน พิจารณาจากเพลงดาบและความชำนาญการรบบนหลังม้าบุรุษผู้นี้ฝีมือไม่ธรรมดาทหารพม่าตัวนายชักม้าหันรีหันขวางด้วยอาการตื่นตระหนก ชายหนุ่มลุ้นเอาใจช่วยสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปทางดี หากแต่ว่าเขาคาดผิด
“พลธนูขึ้นสาย” นายพม่าตะโกนสั่งการฉับพลันพลธนูสองคนที่ยืนเตรียมพร้อมอยู่ข้างม้าขึ้นสายธนูจนสุดแขนอย่างรวดเร็ว
ชั่วหยุดหายใจ นายทหารพม่าสั่ง “ฆ่ามัน”
ลูกธนูถูกปล่อยพุ่งแหวกอาการออกไปสู่เป้าหมายบุรุษลึกลับเบี่ยงตัวหลบ คมหัวลูกธนูดอกแรกกรีดเลือดที่แก้มเป็นทางยาว ดุจสายฟ้าลูกธนูดอกที่สองพุ่งปักที่อกบุรุษลึกลับ อึดใจต่อมาเขาฟุบลงบนหลังม้า
นายทหารพม่าควบม้าเข้าไปหาทันทีขณะที่บุรุษลึกลับทนความเจ็บปวดไม่ไหวร่วงตกจากหลังม้าฟุบหน้าลงกับพื้นดินเขาพยายามใช้ดาบที่กำแน่นอยู่ในมือยันกายขึ้นเตรียมต่อสู้พร้อมมองไปรอบกายก็พบทหารกรุงศรีอยุธยาคนสุดท้ายกำลังถูกฟันล้มลงพอดีแววตาที่แข็งก้าวสลดลงทันที ซึ่งก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสลดใจขึ้นมาทันทีเช่นเดียวกันเมื่อรู้ว่าขุนศึกผู้นี้จะต้องประสบกับชะตากรรมเช่นใด
บัดนี้นายของทหารพม่าได้มาหยุดม้าอยู่เบื้องหน้าขุนศึกกรุงศรีอยุธยามันตะคอกถาม
“เจ้าคงจะเป็นหัวหน้าผู้รักษาทรัพย์สมบัติของสถานที่แห่งนี้ใช่หรือไม่” สิ้นเสียงมันกระโดดลงจากหลังม้าพร้อมย่างก้าวเข้าไปหา ขุนศึกกรุงศรีฯไม่มีทีท่าจะครั่นคร้ามแม้แต่น้อยพยุงกายลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งคุกเข่าจ้องมองหน้าศัตรูอย่างโกรธแค้นอยู่ชั่วครู่
“พวกทำการเยี่ยงโจรชั่วหามีเกียรติเยี่ยงชายชาตินักรบไม่ สมบัติแม้แต่ชิ้นเดียวพวกก็อย่าหวังได้ไป”
นายทหารของพม่าคำรามสุดเสียง “โอหัง หมดหน้าที่ของแล้ว” ฉับพลันมันเงื้อมีดดาบขึ้นสุดแขนแล้วฝาดฟันสุดแรงไปยังล่างของขุนศึกกรุงศรีอย่างโหดเหี้ยม เสียงคมมีดที่ชำแลกผ่านร่างกายคนเสียดแทงเข้าไปในความรู้สึกของชายหนุ่มสร้างความเจ็บปวดให้อย่างสุดพรรณนาชั่วครู่ต่อมาขุนศึกกรุงศรีอยุธยาค่อยๆฟุบคว่ำหน้าลงกับพื้นดิน ไอ้พม่าตัวนายสะบัดมีดดาบสลัดคราบโลหิตแล้วชูมีดดาบขึ้นสุดแขนอย่างลำพองพร้อมตะโกนสั่งไพร่พล
“สืบค้นเอาไปให้หมดสิ้น อย่าให้หลงหรือแม้แต่ชิ้นเดียว” พูดจบมันก้าวข้ามร่างขุนศึกกรุงศรีมุ่งตรงไปทางพระเจดีย์ใหญ่
ชายหนุ่มรู้สึกคับแค้นใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ที่เห็นนักรบไทยถูกย่ำยีศักดิ์ศรีถึงปานนี้แต่เขาก็ต้องปละหราดใจเมื่อเห็นร่างที่สงบแน่นิ่งสั่นสะเทิ้มขึ้นมาอีกพยายามเงยหน้าและจ้องมองมาที่เขา ชายหนุ่มตัดสินใจในวินาทีนั้นจะเข้าไปช่วยเหลือขุนศึกผู้นั้น แต่เขาก็ยังคงไม่สามารถขยับเขยื้อนส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายได้เหมือนเดิมขณะที่ขุนศึกผู้นั้นพยายามยื่นวัตถุสิ่งหนึ่งในมือที่มีลักษณะคล้ายพระเครื่องหรืออาจจะเป็นเครื่องรางก็ได้รูปร่างเหมือนหัวลูกศรธนูมาให้และจ้องมองเขาไม่กระพริบตา ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะวิงวอนและต้องการบอกความในบางประการ ซึ่งก็ทำได้เพียงเท่านั้นขุนศึกฟุบลงกับพื้นอีกครั้งลมหายใจเฮือกสุดท้ายของขุนศึกผู้นี้ได้หมดสิ้นไปเมื่อวินาทีก่อนหน้านี้แล้ว
ชั่วอึดใจต่อมาร่างของขุนศึกกรุงศรีค่อยๆเลื่อนหายไปพร้อมกลับทุกสรรพสิ่งที่ปรากฏอยู่ในที่นั้น ท้องฟ้าเวลากลางคืน
กับมาสว่างเป็นท้องฟ้ายามเย็นอีกครั้ง ชายหนุ่มหายจากอาการมึนงงกลับมาเป็นปกติ แต่ก็ยังรู้สึกตื่นตกใจกับเหตุการณ์
ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วครู่ เขาตัดสินใจออกจากที่นั้นทันที แต่ก่อนที่จะก้าวเท้าออกเดิน สายตาของเขาได้กระทบกับแสง
สะท้อนจากวัตถุบางสิ่งที่พื้นดินตรงบริเวณที่ขุนศึกนอนเสียชีวิต ด้วยความสงสัยเขาจึงหยิบขึ้นมาดูรู้สึกหนาวสะท้านและ
ขนลุกซู่ไปทั้งตัว เพราะวัตถุชิ้นนี้ช่างดูเหมือนกับสิ่งที่ขุนศึกกรุงศรีพยายามหยิบยื่นให้กับเขาก่อนหน้านี้ ซึ่งเขา ยังคงจำได้ติดตา
ตลอดระยะเวลาเดินทางกลับกรุงเทพฯเขาครุ่นคิดว่าวิณญาณขุนศึกกรุงศรีผู้นั้นต้องการจะบอกกล่าวอะไรและวัตถุลึก
ลับที่เก็บมาจะมีคุณหรือโทษกับเขาอย่างไร แต่เรื่องที่ชายหนุ่มอยากรู้มากที่สุดในขณะนี้คือเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น
จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญที่เขาคิดจะกระทำอยู่ในขณะนี้หรือไม่
ภายในสำนักงานนิตยสารท่องโลกศิลปะ วัฒนธรรม
เวลาบ่าย วิชัยกำลังหมกมุ่นอยู่กับกองต้นฉบับบนโต๊ะทำงานเพราะเป็นวันสุดท้ายของการปิดต้นฉบับ เดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่ง
วุ่นอยู่กับการสั่งงานและพูดคุยทางโทรศัพท์
“ผมค้างพี่ศรีอยู่อีกเท่าไรครับ ”น้าเสียงฟังดูจริงใจและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
“อือฮือ เยอะจังผมจะโอนไปให้เดี๋ยวนี้เลย สวัสดีครับพี่” พูดขาดคำเขาเอื้อมมือไปกดแคร่โทรศัพท์เบาๆเขาจำเป็นต้องตัดบทสนทนาเพราะรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้ยาวแน่ เสียงกริ่งโทรศัพท์อีกเครื่องดังสวนขึ้นมา เขารับสายแล้วฟังทางโน้นพูดอยู่ชั่วครู่
แล้วแอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ
“เย็นนี้ไม่ทันพี่พี่ต้องส่งต้นฉบับภายใน1ชั่วโมงนี้” เขาหยุดฟังชั่วครู่
“2ชั่วโมงก็2ชั่วโมงขอบคุณครับพี่ สวัสดีครับ” เขาถือสายรอจนมั่นใจว่าผู้สนทนาว่าวางสายแล้วฉับพลันเขาวางหูโทรศัพท์กระแทกเสียงดังโครมแล้วถอนหายใจลุกขึ้นไปที่โต๊ะเลขา
“โม ให้การเงินโอนเงินค่าเรื่องที่ค้างอยู่ ไปให้พี่ไกรศรีด่วนด้วยไม่งั้นเราจะส่งต้นฉบับไปพิมพ์ไม่ทัน” พร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ เลขารับมาไม่ทันได้อ่านเธอถาม
“ให้ทั้งหมดเลยหรือเปล่าคะ พี่วิชัย”
“ให้ทั้งหมด เงินเดือนเดือนนี้เธอก็รับแค่ครึ่งเดียวอ่านดูก่อนสิแล้วค่อยถาม ” วิชัยพูดเสียงตำหนิ
เลขาก้มอ่านข้อความในกระดาษแล้วเดินออกจากห้องไปแอบค้อนให้เขานิดหนึ่ง
เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะเลขาดังขึ้น วิชัยเหลียวมองซ้ายขวาไม่เห็นใคร จึงเดินไปรับสาย
“สวัสดีครับ อ้าวเฮ้ย นุมีอะไรวะ”
คนที่โทรเข้ามาคือ ดนุ เพื่อนเก่าครั้งเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันหลังเรียนจบทั้งคู่ยังคบหากันเรื่อยมา
“แกว่างอยู่หรือเปล่า”
“โคตรยุ่งเลย ตั้งแต่เช้ามีแต่เรื่องปวดหัว” วิชัยบ่นให้ฟัง
“กินข้าวกลางวันหรือยัง มาที่ร้านสิเดี๋ยวฉันเลี้ยงมีเรื่องสำคัญจะปรึกษา”
“ข้าวเช้ายังไม่ได้กินเลย งานก็ยังเคลียไม่เสร็จเสียดายของฟรีจริงๆวะ
ขณะที่คุยโทรศัพท์วิชัยก็อ่านตรวจต้นฉบับไปพร้อมๆกับเดินไปมาระหว่างโต๊ะตัวเองกับโต๊ะเลขา
“ฉันรู้หรอกน่าช่วงปิดต้นฉบับหัวหน้ากองบกออย่างแกมันยุ่ง แต่ข้ามีเรื่องสำคัญจริงๆอยากคุยกับพวกเรา โทรบอกไพโรจน์แล้วเดี๋ยวน้องมันคงจะมาถึง”
ขณะที่วิชัยฟังดนุพูดเขาเดินย่ำไปมาบนกองเศษกระดาษและเทปกาวใช้แล้วที่เลขาสาวทิ้งไว้ระหว่างโต๊ะ
จนเทปกาวติดรองเท้าของเขาอีรุงตุงนังไปหมด “เออๆเดี๋ยวนะโว้ย”วิชัยพูดขณะยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาดึงเทปกาวที่ติดรองเท้าออกพร้อมชำเลื่องมองเลขาสาวที่ยืนอยู่หน้าห้องแล้วบ่นกับตัวเอง
“หน้าเอาตะกร้าขยะผูกติดเอวให้จริงๆ” วิชัยคุยกับดนุต่อ “เรื่องสำคัญของแกมันเรื่องอะไรวะ”
“แกสนใจเรื่องจิตวิญญาณบ้างมั๊ย”
วิชัยตอบกลับด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เฮ้ย ฉันทำหนังสือเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมและยังคงยึดมั่นแนวทางนี้อยู่เหมือนเดิม”
“ฉันเห็นมากับตาจริงๆและมีหลักฐานมายืนยันให้ดูด้วย” เสียงดนุแว้วดังออกมาจากหูโทรศัพท์
“วิชัยหยุดดึงเทปกาวออกจากร้องเท้า” ดวงตาฉายแววอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที “ไม่เกินชั่วโมงฉันจะไปพบแก่ที่ร้านโอเคนะ” เขาวางหูโทรศัพท์ลงอย่างช้าๆสีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลาที่คบเป็นเพื่อนกันมาเกือบ20ปี เขารู้จักเพื่อนคนนี้ดี ว่ามีความมุ่งมั่นจริงใจและที่สำคัญไม่เคยพูดเหลวไหลกับเพื่อนคนใดและสำหรับเรื่องนี้หากดนุพูดจริงมันอาจเป็นเหตุผลที่จะทำให้เขาตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดเสียทีว่าวิญญาณมีจริงหรือไม่