7 Days in Entebbe (José Padilha, 2018) คะแนน C

By Form Corleone
"นักนักปฏิวัติหนึ่งคนมีค่ามากกว่าประชาชนธรรมดาจริงหรือ?" เรื่องราวอิงประวัติศาสตร์เหตุการณ์จับตัวประกันบนสายการบินแอร์ฟรานซ์ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนครปารีส ทั้งหมดถูกผู้ก่อการร้ายจับเป็นตัวประกันและลงจอดที่ประเทศยูกันดา ตัวประกันต้องอาศัยอยู่ในสนามบิน 'เอนเทบเบ้' เป็นเวลากว่า 7 วัน ชีวิตตัวประกันหลายร้อยคนถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการต่อรองคืนอิสรภาพให้ชาวปาเลสไตน์ที่ถูกจับตัวอยู่ในอิสราเอล จนไปถึงการคืนอิสรภาพให้กลับประชาชนชาวปาเลสไตน์ ภาพยนตร์เต็มไปด้วยปัญหาการเมืองระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ จนไปถึงปัญหาของคนยิว ตัวละครหลักในเรื่องแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งจับตัวประกัน และอีกฝ่ายหาทางช่วยเหลือตัวประกัน แน่นอนว่า มิติของทั้งสองฝ่ายที่หนังนำเสนอนั้นให้น้ำหนักค่อนข้างดี เพียงแต่ตัวภาพยนตร์บรรยายและเล่าเรื่องได้เรียบเฉยขาดจุดพีคของเรื่อง(แม้ช่วงท้ายเรื่องจะมียกระดับมาเล็กน้อยแต่มันก็ยังไม่พีคอยู่ดี) จะมีก็เพียงแต่การตัดสลับฉากเหตุการณ์ในสนามบินกับการแสดงละครเวทีที่แสดงนัยยะบางอย่างต่อเหตุการณ์ดังกล่าวประกอบกับซาว์ดดนตรีที่เร่งเร้าอารมณ์ร่วมได้เข้ากับบรรยากาศที่พอดูมีเสน่ห์และน่าค้นหา แต่ข้อด้อยหรือข้อเสียของหนังคือการดำเนินเรื่องที่ช้าจนเกินไป

สิ่งหนึ่งที่หนังจงใจนำเสนอ นอกจากเรื่องราวอิงเหตุการณ์จริงแล้วนั้น '7 Days in Entebbe' จงใจอย่างชัดเจนที่จะพาเราไปสัมผัสเบื้องลึกและห้วงความคิดของนักปฏิวัติที่ต้องการเห็นสิ่งที่ดีกว่า ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตัวเองด้วยซ้ำ การเปลี่ยนแปลงที่ต้องยอมแลกด้วยชีวิตนั้นคุ้มค่าจริงๆหรือเปล่า? ช่วงเวลาทั้งเจ็ดวันตัวละครฝั่งผู้ก่อการร้าย จึงไม่เพียงแค่ต่อสู้กับเวลาแต่ยังต่อสู้กับห้วงความคิดภายในตัวเองเช่นเดียวกัน ว่าแท้จริงแล้วทั้งหมดที่ทำลงไปนั้นถูกต้องใช่หรือไม่? แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวกลับไปไม่สุดและไม่สามารถรักษาหรือให้ข้อคิดต่อยอดไปจากจุดเริ่มต้นของเรื่องราวได้เด่นชัด สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นเพียงอารมณ์ดราม่าที่ไม่มีน้ำหนักมากพอจนทำให้พล็อตเรื่องที่ถูกแต่งเติมและทิ้งคำถามไว้ให้คนดูอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่สำเร็จผล แม้แต่บทสรุปขมวดปมตอนท้ายเรื่อง ก็ยังไม่สามารถทำให้เราเห็นอกเห็นใจตัวละครที่ต้องเผชิญชะตากรรมอย่างที่เกิดขึ้น ท้ายสุด '7 Days in Entebbe' จึงกลายเป็นภาพยนตร์อิงเรื่องจริงที่เรียบง่าย+เนิบช้า สำหรับเราตัวหนังไม่สามารถส่งประเด็นในสิ่งที่ต้องการนำเสนอหรือต้องการจะเล่าได้ทรงพลังเท่าที่ควร...แน่นอนว่าทั้งหมดนำมาซึ่งความน่าผิดหวัง…

ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง

ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: 7 Days in Entebbe (José Padilha, 2018) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"นักนักปฏิวัติหนึ่งคนมีค่ามากกว่าประชาชนธรรมดาจริงหรือ?" เรื่องราวอิงประวัติศาสตร์เหตุการณ์จับตัวประกันบนสายการบินแอร์ฟรานซ์ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนครปารีส ทั้งหมดถูกผู้ก่อการร้ายจับเป็นตัวประกันและลงจอดที่ประเทศยูกันดา ตัวประกันต้องอาศัยอยู่ในสนามบิน 'เอนเทบเบ้' เป็นเวลากว่า 7 วัน ชีวิตตัวประกันหลายร้อยคนถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการต่อรองคืนอิสรภาพให้ชาวปาเลสไตน์ที่ถูกจับตัวอยู่ในอิสราเอล จนไปถึงการคืนอิสรภาพให้กลับประชาชนชาวปาเลสไตน์ ภาพยนตร์เต็มไปด้วยปัญหาการเมืองระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ จนไปถึงปัญหาของคนยิว ตัวละครหลักในเรื่องแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งจับตัวประกัน และอีกฝ่ายหาทางช่วยเหลือตัวประกัน แน่นอนว่า มิติของทั้งสองฝ่ายที่หนังนำเสนอนั้นให้น้ำหนักค่อนข้างดี เพียงแต่ตัวภาพยนตร์บรรยายและเล่าเรื่องได้เรียบเฉยขาดจุดพีคของเรื่อง(แม้ช่วงท้ายเรื่องจะมียกระดับมาเล็กน้อยแต่มันก็ยังไม่พีคอยู่ดี) จะมีก็เพียงแต่การตัดสลับฉากเหตุการณ์ในสนามบินกับการแสดงละครเวทีที่แสดงนัยยะบางอย่างต่อเหตุการณ์ดังกล่าวประกอบกับซาว์ดดนตรีที่เร่งเร้าอารมณ์ร่วมได้เข้ากับบรรยากาศที่พอดูมีเสน่ห์และน่าค้นหา แต่ข้อด้อยหรือข้อเสียของหนังคือการดำเนินเรื่องที่ช้าจนเกินไป
สิ่งหนึ่งที่หนังจงใจนำเสนอ นอกจากเรื่องราวอิงเหตุการณ์จริงแล้วนั้น '7 Days in Entebbe' จงใจอย่างชัดเจนที่จะพาเราไปสัมผัสเบื้องลึกและห้วงความคิดของนักปฏิวัติที่ต้องการเห็นสิ่งที่ดีกว่า ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตัวเองด้วยซ้ำ การเปลี่ยนแปลงที่ต้องยอมแลกด้วยชีวิตนั้นคุ้มค่าจริงๆหรือเปล่า? ช่วงเวลาทั้งเจ็ดวันตัวละครฝั่งผู้ก่อการร้าย จึงไม่เพียงแค่ต่อสู้กับเวลาแต่ยังต่อสู้กับห้วงความคิดภายในตัวเองเช่นเดียวกัน ว่าแท้จริงแล้วทั้งหมดที่ทำลงไปนั้นถูกต้องใช่หรือไม่? แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวกลับไปไม่สุดและไม่สามารถรักษาหรือให้ข้อคิดต่อยอดไปจากจุดเริ่มต้นของเรื่องราวได้เด่นชัด สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นเพียงอารมณ์ดราม่าที่ไม่มีน้ำหนักมากพอจนทำให้พล็อตเรื่องที่ถูกแต่งเติมและทิ้งคำถามไว้ให้คนดูอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่สำเร็จผล แม้แต่บทสรุปขมวดปมตอนท้ายเรื่อง ก็ยังไม่สามารถทำให้เราเห็นอกเห็นใจตัวละครที่ต้องเผชิญชะตากรรมอย่างที่เกิดขึ้น ท้ายสุด '7 Days in Entebbe' จึงกลายเป็นภาพยนตร์อิงเรื่องจริงที่เรียบง่าย+เนิบช้า สำหรับเราตัวหนังไม่สามารถส่งประเด็นในสิ่งที่ต้องการนำเสนอหรือต้องการจะเล่าได้ทรงพลังเท่าที่ควร...แน่นอนว่าทั้งหมดนำมาซึ่งความน่าผิดหวัง…
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/