ร้อยวันที่ฉันเปลี่ยน วันที่สิบเจ็ด

หก เดือนสี่ ปีสองพันห้าร้อยหกสิบเอ็ด

เมื่อคืนนอนซะดึกเลย ไม่ใช่อะไร มัวแต่คุยกับหน้าจอทีวี  
ซื้อมาไม่กี่พัน แต่ดูยังไงก็ยังไม่หมดสักที นี่ก็หลายปีมาแล้วนะ เปิดก็ยังเป็นเรื่องใหม่ตลอด โคตรคุ้มเลย

เช้านี้ก็ตามกรรมเก่า ตื่นสาย คือไม่นับที่ตื่นมาช่วยคุณแม่นะ อันนั้นทำปรกติอยู่แล้ว
แต่วันอื่นๆ หลังช่วงคุณแม่เสร็จ ประมาณตีห้า ฉันก็สวดมนต์นั่งสมาธิ แล้วนอนต่อจนถึงประมาณเจ็ดโมงเช้า
แต่เช้านี้ตาไม่เปิดเลยให้ตายเถอะ ระหว่างหลับสบายๆอยู่นั้น

...เสียงนี้เป็นเสียงจากผู้ใหญ่บ้าน..  เพลงอินโทรก่อนที่จะมีการประกาศข่าวสารจากผู้ใหญ่บ้านก็ดังขึ้น ปลุกฉันจากการหลับไหล โอ้ยยย หงุดหงิดซะมัดคนจะนอน แล้วเพลงก็ไม่ใช่สั้นๆ เกือบ สี่ถึงห้านาทีเลยกว่าท่านจะประกาศได้

ใครอยากได้บรรยากาศบ้านนอกแบบนี้ต้องมาลองอยู่เอง ว่ามันดีงามเพียงไร
ฉันลุกขึ้นเดินงัวเงียไปหาน้ำดื่ม ระหว่างนั้นก็ไปนั่งฟังประกาศที่ระเบียงบ้าน เพราะในบ้านไม่ค่อยชัดเท่าไหร่

ได้ความว่า วันนี้เวลาแปดโมงจะมีการประชุมหมู่บ้านประจำเดือน และจะมีวิทยากรพิเศษจากหลายหน่วยงาน
มาพบปะชาวบ้าน เพื่อแจ้งโครงการใหม่ล่าสุดของรัฐบาล เช่นเรื่องฝึกอบรมเกษตรกร

ตาสว่างเลยคราวนี้ อบรมฟรีงั้นรึ ไปสิรออะไร วันนี้ก็ไม่ได้มีแผนอะไรเร่งด่วน
ระหว่างที่หาข้าวกินและรีบล้างหน้าแปรงฟัน มันมาอีกแล้ว โรคเดิม
โรคลังเล โรคยกเลิก โรคขี้เกียจ และโรคไม่อยากไปเจอสังคม

ฉันยังไม่ได้เล่าว่าตัวเองสังคมอักเสบขั้นสุด เวลาไปเจอใครที่ไม่รู้จัก ฉันไม่ชอบคุยไม่ชอบยุ่งกับใคร
ตอนเด็กฉันอยู่กับยายซะเป็นส่วนใหญ่ ยายจะเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมมาก
งานไหนงานนั้น ยายไปหมด แล้วจะรู้จักทุกคน ทักทายราวกับสนิทกันไปหมด
แม้แต่ตอนไปวัด ไปโรงพยาบาลใครที่นั่งใกล้เราระหว่างรอคิวคุณหมอ
เราจะรู้จักหมดตั้งแต่เขาชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน ป่วยเป็นอะไร ลูกผัว เป็นใครยังไง บางทีลามไปถึงญาติพี่น้องเขาเลย

ซึ่งฉันไม่ค่อยชอบเลยที่ยายเป็นคนเข้ากับใครก็ได้ทุกคน
เปล่าฉันไม่ได้ขี้อาย หรือเรียบร้อยอะไรหรอก

ก็แค่
ฉันไม่ชอบยิ้มมาก ไม่ชอบพูดมาก ไม่ชอบพูดถึงเรื่องคนอื่น มันเมื่อยปาก

บ่อยครั้งที่ฉันผิดนัดกลุ่มเพื่อน หรือคนรู้จักเพียงเพราะ ไม่อยากเจอคนที่ฉันไม่รู้จัก

เอาล่ะคงพอเห็นภาพแล้วว่าสำหรับฉันมันยากลำบากแค่ไหน ที่จะต้องไปอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้จัก
ฉันเลยคิดว่าอย่าคิด ไปเลย ไม่งั้นก็ไม่ได้ไปกันพอดี

แล้วฉันก็พาตัวเองไปอยู่หน้าอาคารเอกประสงค์ของหมู่บ้านด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
มีรถจอดทางเข้าอาคารไม่กี่คัน ผู้คนบางส่วนยืนออคุยกันอยู่ด้านหน้า ยังไม่เข้าไปนั่ง
และเมื่อฉันจอดรถเสร็จ สายตาเกือบทุกคู่ก็เพ่งมาที่ฉันราวกับฉันเป็นดารามาโชว์ตัวในงาน
ขาดก็แต่เสียงกรี๊ดเท่านั้นแหละ

ฉันยิ้มให้คุณป้าคุณลุงที่ยืนอยู่ตรงประตู พวกท่านก็ส่งยิ้มกลับ
บรรยากาศเริ่มดีขึ้นมา ไม่อึดอัดมากอย่างที่คิดแฮะ

ข้างในมีโต๊ะให้ลงชื่อ และอีกฝั่ง แม่เจ้าโต๊ะวางของว่าง  ยูโร่ คัสตาร์ดเค้ก ของโปรดฉันเลย
วางคู่กับกาแฟแบบซองให้ชงกินเอง  เห้ยยย หมู่บ้านฉันก็ไม่ใช่เล่นๆนะ มีเบรกมีอะไรเหมือนกันนา

แต่ยังไม่ถึงเวลากิน ต้องไปหาที่นั่งก่อน มีที่นั่งสองฝั่ง คล้ายๆ เวลาเราไปโบถ์ เป็นเก้าอี้พลาสติกสีฟ้ามีพนักพิง
ฉันเลือกนั่งโซนติดเวที แต่ไม่ถึงกับแถวแรกนะ กับกลุ่มคุณป้าคุณยาย ที่มาก่อนหน้าแล้ว เดชะบุญที่ฉันเลือกนั่งฝั่งนี้
เพราะอีกฝั่งไม่ค่อยมีคนนั่งเลย ทำไมนะหรือ ฉันเดาว่าคนไม่ชอบเป็นที่สนใจ ไม่ชอบเด่น เลยเลือกนั่งฝั่งที่คนเยอะมั้ง

เมื่อถึงเวลาประชุม ซึ่งปาเข้าไปเกือบ เก้าโมงเช้า ฉันจำได้ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าเราจะเริ่มประชุม แปดโมงเช้า
ในขณะที่เก้าโมงวิทยากรที่เป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐก็ยังมาไม่ครบ และชาวบ้านก็ยังทยอยมาไม่หมดสักที
บางทีวิทยากรอาจรู้ว่าชาวบ้านจะสายเลยมาช้า หรือไม่ก็ชาวบ้านจะรู้ว่าวิทยากรจะช้าเลยมาสาย
ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ช่างมันเถอะ

หลังนั่งรอจนเบื่อ คุณยายกลุ่มข้างหน้าก็คงจะเริ่มหมดเรื่องเม้าท์กันแล้ว
บางคนเดินออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกรอ
ความจริงก็ตั้งแถวเต้นแอโรบิครอกันเลยดีกว่าเนอะ ดูจะได้ประโยชน์มากกว่า

แล้วในที่สุดวิทยากรก็มาครบ ปรบมือสิทุกคน เข้ามาและเริ่มประชุมกันเล้ยย
เรื่องหลักใหญ่วันนี้ก็เป็นเรื่อง แจ้งความคืบหน้าโครงการ ไทยนิยมยั่งยืน ของรัฐบาล
ที่วิทยากรจากหลายหน่วยงานมานั่นแหละ ทั้งตำรวจ ครู กศน. ปลัดอำเภอ เกษตรตำบล กำนัน  เป็นต้น

เริ่มจากแจ้งเรื่องว่าประชุมครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ในโครงการนี้ ครั้งแรกนั้นเราได้ บลาๆ หมดไปเกือบชั่วโมง
นี่คือท้าวความแล้วใช่ไหม ต่อด้วยการแจ้งเรื่องอีกหลายสิบเรื่อง เดี๋ยวนะ ชาวบ้านเขาฟังทันและจำได้จริงใช่มะ
ฉันนั่งฟังแบบหาวไป เบื่อไป มีตอนให้ยกมือแสดงความเห็นนั่นแหละที่ไม่น่าเบื่อ

เรื่องของเรื่องคือรัฐให้ทุกหมู่บ้านทำสัญญาประชาคม หรือเรียกง่ายๆว่ากฎของหมู่บ้าน
ใครจะเสนออะไรมาก็ได้ แล้วมาโหวตกันว่าถ้าเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกฏนั้นก็คือบังคับใช้ มีการปรับด้วยนะถ้าไม่ทำตาม
ก็มีคนเสนอหลายข้อ เช่น ห้ามเปิดเครื่องเสียงดังในเวลากลางคืน ข้อนี้ฉันอยากมีสักสิบมือ แถวบ้านเลยตัวดี
จะเปิดให้ได้ยินไปถึงหน้าหมู่บ้านเลยรึป่าวก็ไม่รู้ และข้อนี้ก็ผ่านได้เป็นกฏหมู่บ้าน สะใจจริงๆ

อีกหลายข้อไม่ขอพูถึง บางข้อฉันก็ยกไม่เห็นด้วยอยู่คนเดียว
ก็แพ้มติไป ไม่เป็นไรหมู่บ้านเราเป็นประชาธิปไตยนี้นะ ต้องยอมรับ

เวลาเดินไปช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ในความคิดของฉัน
ป้าข้างหน้าหันมาบ่นว่า พูดแต่น้ำน่ารำคาญจะรีบไปหาหมอ เข้าเรื่องเถอะเสียเวลาทำมาหากิน ฉันยิ้มให้แกพยักหน้าเห็นด้วยเป็นที่สุด  
จะเกริ่นจะยกตัวอย่างอะไรนักหนา ไม่ได้ว่างฟังทั้งวันนะ

เมื่อฉันก็กำลังเบื่อถึงที่สุด ในที่สุดก็เวียนมาถึงคิวท่านเกษตรตำบล
ท่านพูดถึงโครงการอบรม ที่รัฐให้เงินอุดหนุนมาเจ็ดหมื่นต่อตำบล กับเป้าเกษตรกรสองร้อยคน  เยอะนะนั่นฉันตาสว่างอีกครั้งตั้งใจฟังสุด
เรื่องที่รอคอยมาแล้ว หลังกล่าวรายละเอียดโครงการเสร็จท่านหันไปถามความเห็นผู้ใหญ่บ้าน
ผู้ใหญ่บ้านก็จับไมค์แล้วกล่าวแบบไม่ต้องปรึกษาใครว่า

ก็คงเป็นกลุ่มเดิมที่เราเคยทำ เลี้ยงปลา และเลี้ยงไก่

กลุ่มเดิม แปลว่าไม่ได้รับสมัครคนใหม่ ที่เคยทำแปลว่ามีที่ทางแล้ว?  
ห๊ะ...ฉันอุทานจนคนข้างๆหันมาดู  
ทำไมไม่ทำเพราะเห็ดละ อยากให้ทำนะ (ได้แค่คิด) ถ้าฉันกล้าหน่อยคงจะยกมือแล้วบอกท่านไปอย่าที่คิด
แต่ดูในที่ประชุมก็มีแต่คนเห็นด้วย ฉันเลยไม่กล้า  ไม่กล้า ไม่กล้าอีกแล้ว แย่เนอะ

คิดอีกทีก็ไม่แปลกที่จะไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่ละปี แต่ละเดือน รัฐบาลยัดโครงการร้อยแปดโครงการให้ภาครัฐ เพื่อส่งต่อมาส่วนท้องถิ่น โดยลืมคิดไปว่าแค่มีงบก็ใช่ว่าทุกโครงการจะดี บุคลากรเดิมๆ ต้องคิดโครงการตั้งมากมาย ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดได้อย่างไร
ผู้ใหญ่บ้านก็คงเหนื่อยอยู่ดูแลทุกอย่าง แม้จะเป็นหน้าที่เขา แต่ถ้าชาวบ้านไม่ช่วยคิดและตัดสินใจ ผู้นำเก่งแค่ไหน ก็ได้แค่โครงการเดิมๆ

เวลาบอกว่าอีกยี่สิบนาทีจะเที่ยง โหประชุมไปครึ่งวันเลยนะนี้
ฉันออกมาโดยไม่ได้กินขนมเบรกอย่างที่คิดไว้ เพราะยังมึนๆ กับการประชุม

บอกตัวเองว่าถ้าอยากเปลี่ยนอะไร ต้องเริ่มที่เราก่อน ฉันจะทำตัวเองเป็นตัวอย่างให้คนในหมู่บ้านได้เห็นความสำคัญขององค์ความรู้ให้ได้บอกตัวเองขณะเลี้ยวรถเข้าบ้าน

เมื่อผิดหวังกับโครงการอบรม ก็กลับมาซบครูบาอาจารย์ในยูทูปต่อ ไม่ต้องไปไหน อยากรู้อะไรมีหมด จะปลูกอะไรมีหมด
ส่วนจะได้ผลจริงไหม คนลองทำเท่านั้นที่จะรู้

"อัตตา หิ อัตตโน นาโถ" แปลว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่