ภิกษุเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร ในมรรค ๔

สมถะนำ วิปัสสนาตาม เป็นอย่างไร ตามที่พระอานนท์ได้อธิบายไว้ในมรรค ๔
โดยส่วนมากแล้วก็มักจะทำกันอย่างนี้ มักจะปฏิบัติกันแบบนี้ เพราะอะไรก็ไม่แน่ใจนัก
แต่ที่คิดเองเออเองอ้าอย่าได้ถามเผือนั้น ก็คิดว่า เพราะจิตของคนทั่วไปนั้น มักมีอารมณ์ฟุ้งซ่านอยู่เสมอ
จึงควรจะควบคุมจิต ฝึกฝนจิตให้มีสมาธิที่ดีพอ มีคุณภาพเพียงพอที่จะวิปัสสนาได้
ซึ่งคำว่าสมาธิในพระพุทธศาสนาเราก็จะคุยกันที่ อัปปนาสมาธิเป็นต้นไป แต่อรรถกถาจารย์ท่านก็ให้หย่อนที่อุปจารสมาธิบ้าง
ซึ่งเข้าใจว่าเพราะขยับอีกนิดก็ขึ้นอัปปนาสมาธิ ดังนั้นจึงสามารถใช้อารมณ์อุปจารสมาธิเริ่มต้นก็น่าจะได้

ทีนี้ ส่วนใหญ่ที่เราปฏิบัติกัน เมื่อเราเจริญสมถะแล้วจนเต็มอารมณ์ ก็จะดึงจิตที่เป็นสมาธินั้นมาพิจารณาขันธ์ ๕ เป็นวิปัสสนาต่อ
หรือในสมัยพุทธกาล เช่น เรื่องพระลูกชายนายช่างทอง เมื่อเจริญกสิณแล้วได้ฌาน ๔ เป็นสมถะ
พระพุทธเจ้าก็ให้อุบายให้พิจารณาดอกบัวที่เหี่ยวแห้งลง เป็นวิปัสสนา

แต่ว่าที่พระอานนท์อธิบายนั้น ท่านเล่นจับธรรมในสมาธิมาเป็นเครื่องพิจารณาเลย
ธรรมในสมาธินี้ อรรถว่า เป็น จิตเจตสิกธรรมที่เกิดในสมาธิ บางอาจารย์ท่านว่าเป็นองค์ฌานทั้ง ๕ นั่นเอง
ตรงนี้จะเห็นว่าไม่มีอะไรผิด ทุกอย่างถูกต้องทั้งหมด


http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=31&A=7564&Z=7861
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=534&p=1#%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%81%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B8%96%E0%B8%B2

             [๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร ฯ
             ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะเป็นสมาธิ
วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยประการดังนี้
สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ

             ภาวนา ในคำว่า ภาเวติ มี ๔ คือ
ภาวนาด้วยอรรถว่าธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ๑
ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑
ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ธรรมที่ไม่ล่วงเกินกัน ๑
ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ ๑ ฯ

             คำว่า มรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคเกิดอย่างไร ฯ
             สัมมาทิฐิด้วยอรรถว่าเห็น  เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาสังกัปปะด้วย อรรถว่าดำริ เป็นมรรคย่อมเกิด
สัมมาวาจาด้วยอรรถว่ากำหนด เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมากัมมันตะด้วยอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน เป็นมรรคย่อมเกิด
สัมมาอาชีวะด้วยอรรถว่าผ่องแผ้ว เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาวายามะด้วยอรรถว่าประคองไว้ เป็นมรรคย่อมเกิด
สัมมาสติด้วยอรรถว่าตั้งมั่น เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาสมาธิด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคย่อมเกิด
มรรคย่อมเกิดอย่างนี้ ฯ

             คำว่า ย่อมเสพ ในคำว่า ภิกษุนั้นย่อมเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น ดังนี้ ความว่า ย่อมเสพอย่างไร ฯ
             ภิกษุนั้น นึกถึงอยู่ชื่อว่าเสพ รู้อยู่ชื่อว่าเสพ เห็นอยู่ชื่อว่าเสพ
พิจารณาอยู่ชื่อว่าเสพ อธิษฐานจิตอยู่ชื่อว่าเสพ น้อมจิตไปด้วยศรัทธาชื่อว่าเสพ ประคองความเพียรไว้ชื่อว่าเสพ
ตั้งสติไว้มั่นชื่อว่าเสพ ตั้งจิตไว้อยู่ชื่อว่าเสพ ทราบชัดด้วยปัญญาชื่อว่าเสพ รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งอยู่ชื่อว่าเสพ
กำหนดรู้ซึ่งธรรมที่ควรกำหนดรู้ชื่อว่าเสพ ละธรรมที่ควรละชื่อว่าเสพ เจริญธรรมที่ควรเจริญชื่อว่าเสพ
ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่าเสพ ย่อมเสพอย่างนี้ ฯ

             คำว่า เจริญ ความว่า เจริญอย่างไร ฯ
             ภิกษุนั้นนึกถึงอยู่ชื่อว่าเจริญ ... ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่าเจริญ ย่อมเจริญอย่างนี้ ฯ
             คำว่า ทำให้มาก ความว่า ทำให้มากอย่างไร ฯ
             ภิกษุนั้นนึกถึงอยู่ชื่อว่าทำให้มาก ... ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ชื่อว่าทำให้มาก ทำให้มากอย่างนี้ ฯ
             คำว่า เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป
ความว่า ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป อย่างไร ฯ
             ย่อมละสังโยชน์ ๓ นี้ คือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
อนุสัย ๒ นี้ คือ ทิฐิอนุสัย วิจิกิจฉาอนุสัย ย่อมสิ้นไปด้วยโสดาปัตติมรรค ฯ
             ย่อมละสังโยชน์ ๒ นี้ คือ กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ ส่วนหยาบๆ
อนุสัย ๒ นี้ คือ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบๆย่อมสิ้นไปด้วยสกทาคามิมรรค ฯ
             ย่อมละสังโยชน์ ๒ นี้ คือ กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ส่วนละเอียดๆ
อนุสัย ๒ นี้ คือ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนละเอียดๆ ย่อมสิ้นไปด้วยอนาคามิมรรค ฯ
             ย่อมละสังโยชน์ ๕ นี้ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
อนุสัย ๓ นี้ คือ มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย ย่อมสิ้นไปด้วยอรหัตมรรค ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป อย่างนี้ ฯ

             [๕๓๖] ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความไม่พยาบาท เป็นสมาธิ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่งอาโลกสัญญา เป็นสมาธิ ฯลฯ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก
ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า เป็นสมาธิ
วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้นโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา
ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น ฯ

             ภาวนา ในคำว่า ภาเวติ นี้มี ๔ คือ ภาวนาด้วยอรรถว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ...
ภาวนาด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ ฯ
             คำว่า มรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคย่อมเกิดอย่างไร ฯ
             สัมมาทิฐิด้วยอรรถว่าเห็น เป็นมรรคย่อมเกิด ... มรรคย่อมเกิดอย่างนี้ ฯ
             คำว่า ย่อมเสพ ในคำว่า ภิกษุนั้นย่อมเสพ ฯลฯ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น ความว่า ย่อมเสพอย่างไร ฯ
             ภิกษุนึกถึงอยู่ชื่อว่าเสพ รู้อยู่ชื่อว่าเสพ ฯลฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่าเสพ ย่อมเสพอย่างนี้ ฯ
             คำว่า ย่อมเจริญ ความว่า ย่อมเจริญอย่างไร ฯ ภิกษุนึกถึงอยู่ชื่อว่าเจริญ รู้อยู่ชื่อว่าเจริญ ฯลฯ
             ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่าเจริญ ย่อมเจริญอย่างนี้ ฯ
             คำว่า ทำให้มาก ความว่า ย่อมทำให้มากอย่างไร ฯ ภิกษุนึกถึงอยู่ชื่อว่าทำให้มาก รู้อยู่ชื่อว่าทำให้มาก ฯลฯ
             ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่าทำให้มาก ย่อมทำให้มากอย่างนี้ ฯ
             คำว่า เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่