โรคซึมเศร้า..โลกสีเทาของคนอยู่ในโลกซึมเศร้า

อ่านเถอะ...อยากเล่า...

    แค่อยากบอก อยากเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงวัย62ปี ที่มีชีวิตอิสระ มีรายได้เลี้ยงตัว มีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีความสุขพอเพียง ชอบท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ ชอบสนุกสนาน ชีวิตมีสีสันอยู่เสมออย่างเรา จึงกลายเป็นคนหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เรียกกันว่า"โรคซึมเศร้า"

    "โรคซึมเศร้า" มีสาเหตุจากอะไร..ทำไมใครๆก็เป็น

     คนส่วนใหญ่มักคิดว่าคนที่ป่วยเป็นโรคนี้จะเป็นพวกคิดมาก วิตกกังวล มีปัญหาความเครียดในชีวิตจนเกินจะรับได้.. แต่จริงแล้ว โรคซึมเศร้าคือโรคทางจิตเวชที่เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมองชื่อ เซโรโทนิน (Serotonin) มีปริมาณลดลง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยทั้งร่างกาย จิตใจ และความคิด รู้สึกท้อแท้ หงอยเหงา เบื่อหน่าย ไม่สนุกสนานกับชีวิต นอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นกลางดึก ฝันร้ายบ่อยครั้ง ส่งผลกระทบให้ความสามารถในการทำงานลดลง (กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข)

    ผู้ป่วย"โรคซึมเศร้า" ไม่ใช่พวกเรียกร้องความสนใจจากคนใกล้ชิดหรือคนรอบตัว /ไม่ใช่คนอ่อนแอที่ยอมแพ้ให้แก่อาการที่คนอื่นเห็นว่าเล็กน้อย

    แต่..จริงแล้วอาการต่างๆที่เกิดขึ้น มันยากที่จะเอาชนะได้โดยง่าย โลกรอบตัวเป็นสีเทาในยามกลางวันและเป็นสีดำสนิทในเวลากลางคืน อ่อนเพลีย ไม่มีความกระตือรืนร้นไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรเลย เบื่อทุกอย่างรอบตัว นอนไม่หลับ ในหัวคิดวนเวียนแต่เรื่องเก่าๆแม้แต่ตอนเป็นเด็กเล็กๆก็ผุดขึ้นมาอย่างแจ่มชัดต่อเนื่อง อ่อนไหวใจน้อย รู้สึกผิดกับความผิดพลาดในอดีตจนต้องร้องไห้คนเดียวบ่อยๆ รู้สึกไร้ค่าจนอยากหลับไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องราวใดๆ

   ทีวี ไม่มีความหมาย เคยชอบดูข่าวสารต่างๆวนเวียนเปลี่ยนช่องไปเริ่อยๆ เคยดูหนังชุดซี่รี่ได้ทั้งคืน แต่กลับไม่แตะต้องเลย ได้แต่นอนนิ่งๆในความมืดที่ยาวนานและหลับไปในที่สุดด้วยฤทธิ์ยา

   เคยตื่นเช้าตั้งแต่ตี5เพื่อเปิดดูข่าวอีกทั้งที่ก็เป็นข่าวซ้ำกับเมิ่อคืน แต่กลับหลับเป็นตายถึงเที่ยงวันบ่ายโมงแบบไม่ปลุกไม่ตื่น ฝันร้าย ละเมอร้องไห้เป็นประจำ ตื่นมาก็นั่งซึมไม่รู้สึกหิวข้าวหิวน้ำทั้งที่ลำคอแห้งผากและแทบไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไร ลูกพาออกไปทานข้าวนอกบ้านก็ได้แต่นั่งมองอาหารตรงหน้าแบบเซ็งๆ น้ำหนักลดฮวบฮาบอย่างเห็นได้ชัด

   นาฬิกาชีวิตเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เบื่อทุกอย่างรอบตัว ขี้เกียจซึมเซาไม่อยากอาบน้ำสระผม เคยเป็นคนรักสวยรักงามชอบแต่งหน้าทาปากแบบไม่สวยไม่ยอมเจอใคร กลับกลายเป็นซอมบี้ปากไม่ทาหน้าไม่แต่ง เสื้อผ้าไม่รีด ไม่ออกไปไหน เคยชอบเดินห้างหาหนังดูได้ทุกวันหยุดกลับไม่อยากไป ชอบที่จะนอนเงียบๆอยู่คนเดียวและหลับไปอีกในที่สุด

    ที่แย่และน่ากลัวที่สุดคือ เมื่อใดที่ได้จับมีดคมๆอดจะคิดไม่ได้ว่าถ้าเอามาลองกรีดข้อมือดูคงเลือดกระฉูดแน่ ตอนป่วยเดือนแรกๆไม่กล้าขับรถไปไหนเองเพราะมักจะคิดแว๊บๆว่าถ้าเราหักพวงมาลัยเข้าหารถที่กำลังแล่นสวนมาก็คงเกิดการชนกันแน่ๆ ไม่กล้ามองลงมาจากที่สูงเพราะมักจะคิดเล่นๆว่าถ้าลองกระโดดลงไปไม่ตายก็คงพิการชัวร์..!! โชคดีที่แค่คิด แต่ไม่ได้อยากทำร้ายตัวเองจริงๆ ไม่ได้อยากหนีปัญหาด้วยการหายไปจากโลกนี้แต่อย่างใด

      เราหันหน้ามาสู้กับมันอย่างไม่หวั่น เริ่มศึกษาโรคนี้อย่างจริงจัง หาแบบสอบถามด้านสุขภาพจิตมาทดลองทำดูด้วยตัวเอง จนแน่ใจว่านี่เข้าข่ายโรคซึมเศร้าแน่นอนแล้ว จึงพาตัวเองเดินไปหาหมออย่างกล้าหาญ

     วันแรกที่ไปรับการตรวจที่แผนกจิตเวช รพ.ของรัฐแห่งหนึ่ง ผ่านการตรวจคัดกรองจากพยาบาลเพื่อประเมินอาการเบื้องต้นก่อนส่งเข้าตรวจจริงจัง แค่พยาบาลถามว่ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง แค่นี้ก็น้ำตาไหลพราก พยาบาลก็แสนดียื่นทิชชูให้ทั้งกล่องแล้วให้ทำแบบสอบถาม9ข้อ คะแนนออกมาได้ที่ 16 คะแนน ถือว่ามีอาการซึมเศร้าระยะกลาง

     ต่อจากนั้นจึงรอพบจิตแพทย์ โชคดีได้พบคุณหมอหนุ่มรุ่นลูกซึ่งนั่งฟังเราเล่าถึงอาการที่เป็นอย่างตั้งใจ เราก็เล่าไปร้องไห้ไปเหมือนได้ระบายความเครียดออกมา จนสงบหมอจึงบอกว่าคุณป้าเป็นโรคซึมเศร้าแน่นอนแต่ยังไม่ใช่ขั้นรุนแรง  พร้อมให้คำแนะนำในการใช้ชีวิตประจำวันควบคู่ไปกับการใช้ยาบำบัด เราได้ยา Lexapro 10mg.มาทานตอนเช้าครั้งละ 1เม็ด หลังจากนั้นแพทย์นัดทุกๆ2เดือน เพื่อประเมินอาการ

  การรักษาด้วยยาผ่านไป 8เดือน พบแพทย์ตามนัดเป็นครั้งที่4 คราวนี้ได้พบกับจิตแพทย์ระดับอาจารย์แพทย์ซึ่งประเมินการรักษาที่ผ่านมาและอาการที่ยังคงเป็นอยู่แล้วเห็นว่าต้องให้เพิ่มยาอีกครึ่งเม็ด เป็นวันละ 15 mg.ต่อไปอีก2เดือน และเปลี่ยนเวลาทานยาจากตอนเช้าเป็นก่อนนอนเพื่อช่วยให้หลับได้เร็วขึ้นและให้ฝึกตื่นให้เป็นเวลาด้วยการตั้งนาฬิกาปลุกทุกวัน ให้พยายามฝืนตัวฝืนใจออกไปเจอโลกนอกบ้านบ้าง รวมถึงให้หาเวลาออกไปรับแสงแดดวันละ10-15นาที วิตามินดีจากแสงแดดจะช่วยให้สดชื่นมากขึ้น

  หลังจากเพิ่มยาและปฏิบัติตัวตามแพทย์สั่งมาได้ระยะหนึ่ง อาการโดยรวมดีขึ้นมาก เริ่มทานได้ นอนหลับง่ายขึ้น ฝันร้ายน้อยลง ซึมน้อยลง เริ่มเปิดทีวีดูบ้างแม้ไม่มากแต่ก็ช่วยให้เบี่ยงเบนความสนใจได้ดี

  ประสบการณ์สุดท้ายที่อยากบอกเล่าคือวิธีการอยู่กับโรคซึมเศร้าให้สงบมากที่สุด คือผู้ป่วยต้องยอมรับว่าตัวเองป่วยจริงๆ อย่ากลัวว่าใครจะคิดว่าบ้าหรือเป็นโรคจิต สภาพที่เราเป็นอยู่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับภาพคนวิกลจริตที่เห็นในสื่อต่างๆ

    ให้บอกตัวเองว่าเราแค่ป่วย เราควบคุมมันไม่ได้ก็จริง แต่เราต้องอยู่กับมันให้ได้ เรายังมีสติครบถ้วนรู้สึกตัวตลอดเวลา ดังนั้นเราต้องกล้าที่จะเผชิญกับมัน ปลดปล่อยมันออกจากร่างกายเราให้ได้ด้วยการไปพบแพทย์และรับการรักษาอย่างจริงจังเคร่งครัด อย่ายอมแพ้กับอาการแทรกซ้อนจากยาที่มักทำให้เรารู้สึกผะอืดผะอม หน้ามืดตาลายบ่อยๆ หรือกินมากนอนมากขึ้น พยายามให้กำลังใจตัวเอง ฝืนทำสิ่งที่เคยทำแม้ว่ายากที่จะเริ่ม แต่เมื่อผ่านไปสักระยะแล้วเราจะเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องที่เคยชอบ เคยทำ เคยไป เรื่องหนักจะเบาลง ชีวิตเริ่มมีสีสันมากขึ้น สุดท้ายเราหายก็เร็วขึ้น

      กำลังใจที่บอกตัวเองทุกวันรวมถึงการเอาใจใส่จากคนใกล้ชิดจะทำให้เกิดแรงผลักดันให้กินยาอย่างต่อเนื่อง การไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอจะส่งผลให้รู้สึกมีความหวังที่จะขึ้นจากหลุมนั้นได้สำเร็จในสักวัน

    หวังว่าประสบการณ์ที่แชร์ครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจ อย่ากลัวที่จะต่อสู้กับมัน อย่ากลัวที่จะเดินไปพบแพทย์ อย่าท้อที่จะรักษาแม้จะใช้เวลานานเป็นปี.

                
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่