Wakayama (1) - Nachi-Katsuura(2) - Koyasan(1) - Osaka(2)
.
ที่มาของกระทู้รีวิวนี้
แรกเริ่มเดิมที พ่อกับแม่ผมอยู่เชียงใหม่ และตัวผมทำงานอยู่กรุงเทพฯครับ ทำให้ตั้งแต่เรียนจบไม่ค่อยได้มีเวลาได้เจอได้ใช้เวลาร่วมกับท่าน จึงคิดว่าคงดีถ้าเราได้พาท่านไปเที่ยวต่างประเทศซักครั้งหนึ่ง ซึ่งผมก็เล็งประเทศญี่ปุ่นไว้ เพราะผมเคยมีประสบการณ์ไปเที่ยวญี่ปุ่นมาแล้ว 3 ครั้งด้วยกันกับภรรยา ไปกันสองคนและใช้การเดินทางด้วยรถไฟเป็นหลัก แถบที่เที่ยวก็ตามที่นิยม คือโตเกียว คาวากุจิโกะ นิกโกะ และโอซาก้า เกียวโต โกเบ
.
การเที่ยวทุกครั้ง สิ่งหนึ่งที่รู้สึกเลยคือ “คนญี่ปุ่นเดินเก่งมากๆ” ขนาดผมว่าผมก็ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และร่างกายก็แข็งแรงพอสมควร ยังรู้สึกเลยว่า การเที่ยวที่ญี่ปุ่นนี่แม้การเดินทางจะทั่วถึงและสะดวกสบาย แต่ในการเดินทางนั้นต้องอาศัยการเดินจากที่หนึ่งไปที่หนึ่งๆ มากพอสมควร เรียกว่าเดินกันวันหนึ่งๆ เป็นกิโลๆ ซึ่งมันต่างจากชีวิตประจำวันของคนไทยมาก ที่เดินอยู่แต่ในบ้านและในห้าง
---------------------------------------
คุณแม่ผมท่านได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อปีก่อนที่โตเกียวกับญาติๆสนิทฝั่งท่าน ซึ่งก็ใช้วิธีขึ้นรถไฟเป็นพาหนะหลัก และท่านก็บ่น และแลดูเป็นทริบที่ท่านไม่ค่อยจะประทับใจเท่าไหร่ ผมจึงลังเลพอสมควรว่าจะโน้มน้าวท่านยังไงดี เพราะใจอยากพาท่านไปเที่ยว ได้ใช้เวลาด้วยกัน แต่ถ้าท่านไม่ได้อยากไปเหนื่อยแบบนั้น เราก็ไม่อยากจะฝืนใจท่าน และก็ไม่มีประสบการณ์ขับรถในญี่ปุ่น ที่ใครต่อใครว่ากันว่าเข้มงวดมากเรื่องกฎจราจร และมีแต่คนเตือนและปรามว่าอย่าเลย
.
จนเดือนตุลาคม 2017 ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเช่ารถขับโดยผู้จัดคือเพื่อนผม เรานั่งเครื่องบินไปลงที่นาริตะ แล้วขึ้นชินกังเซนโดยใช้ Jr East ไป Sendai แล้วเช่ารถขับขึ้นไป Aomori คืนรถแล้วนั่งชินคังเซนกลับโตเกียว

เป็นประสบการณ์การขับรถครั้งแรกที่ทำให้ผมเจอว่า การขับรถในญี่ปุ่นไม่ได้มีอะไรยากเลย พื้นฐานก็เหมือนๆบ้านเรา ขับชิดซ้าย พวงมาลัยขวา และด้วยความที่ผมเป็นคนขับรถค่อนข้างช้าอยู่แล้วจึงไม่เกิดปัญหาใดๆในการขับครั้งนั้น
นอกจากนี้ จากความรู้สึกส่วนตัวผม ยังพบอีกด้วยว่า การเดินทางด้วยรถเช่าสามารถย่นระยะการเดินทางด้วยเท้าไปได้ 70-80% ทำให้ผมรู้เลยว่า อืม นี่แหละที่เหมาะสำหรับพ่อกับแม่ผม ที่วัย 64 ย่าง 65 สว.ที่แทบไม่เคยออกกำลังกายมาเลยตลอดชีวิต

พอมาปีนี้ ผมจึงชวนพ่อกับแม่ไปเที่ยวหน้าซากุระ แรกๆตอนผมชวน ท่านก็อิดออด คงติดภาพการเดินขาลากเมื่อครั้งก่อน แต่พอผมเล่าว่าแผนผมคือยังไง จะเช่ารถขับ และให้ความมั่นใจว่าจะไม่ต้องเดินเยอะ ท่านก็โอเค(ก็ได้วะ 555+)
.
ทริบที่ผมวางไว้แบบหลวมๆ
- วันแรก บินไปถึงเวลาประมาณ 4 ทุ่ม รับรถแล้วขับเข้าเมืองวาคายาม่านอน 1 คืน
- วันที่สอง พาพ่อแม่ไปเดินเล่นปราสาทวาคายาม่า เดินเล่นเทศกาลชมหิมะ หาราเม็งสูตรเฉพาะเมืองวา- คายาม่าแล้วขับรถลงใต้ แวะไร่ Strawberry buffet แล้วไปนอนพักที่เมือง Nachi-Katsuura 2 คืน
- วันที่สาม พาตระเวณเที่ยวเส้นทางแสวงบุญ และนำตก Nachi น้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
- วันที่สี่ ขับรถขึ้นเขา Koya-san แล้วนอนพักในวัดที่เค้าเรียกว่า Temple Lodging
- วันที่ห้า พาเที่ยวสุสานท่าน Kobo daichi ผู้ก่อตั้งพุทธลัทธิชินง่อน และวัดสำคัญๆ บ่ายขับรถเข้าโอซาก้า เช่าที่พักติดโดทงโบริ พาพ่อแม่เดินเล่นโดทงโบริ และพากินโอโคโนมิยากิ
- วันที่หก พาคุณพ่อคุณแม่เยี่ยมเพื่อนที่เมืองเกียวโต ไปเช้าเย็นกลับมาโอซาก้า พ่อเดินผ่าน supermarket แล้วเจอเนื้อ เลยซื้อกลับมาทำปาร์ตี้กินกันเองที่ห้อง
- วันที่เจ็ด Free day พาแม่ตระเวณ shopping ร้าน 100 yen แล้วขับรถกลับมาคืนรถตอนหัวค่ำเพื่อรอขึ้นเครื่องกลับไฟลท์ดึก
.
นี่คือภาพ google map ที่ผมทำเส้นทางไว้ โดยมีภาพถัดไปเป็นต้นแบบ


ก็ถึงเวลาเลือกว่าจะเช่ารถกับเจ้าไหน ผมเอาง่ายเข้าว่า ก็ใช้ Toyota เหมือนที่เพื่อนเคยเช่าให้ขับเมื่อปีก่อน ผมก็เข้าไปที่เวบ toyota rent a car หน้าแรกก็จะเจอแบบนี้ครับ

ในรูปผมสมมติวันเวลา ให้ใกล้เคียงกับที่ผมเคยเช่า โดยก็กะเวลารับรถให้เป็นหลังเราลงเครื่องซัก 1-2 ชม. คิดว่าน่าจะกำลังดี เพราะปกติกว่าจะผ่านตม. ผ่านด่านกงศุล ก็น่าจะใช้เวลาราวๆ 1 ชม.
.
เนื่องจากเวลา Landing ของผมคือเวลา 21.55 คือเกือบ 4 ทุ่ม ขณะที่ shop เค้าปิด 23.00 น. ทำให้ผมจะมีเวลาไม่เกิน 1 ชม. ก่อน shop จะปิด ผมจึงอีเมลไปสอบถามเค้าว่าถ้าเราจองรถไว้แล้วไปไม่ทันเค้าจะรอเรามั้ย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่ admin@rentacar-jp.com
ก็ได้คำตอบกลับมา ว่าเวลาที่เราไปถึง หนึ่งชั่วโมงไม่น่ามีปัญหา แถมเค้ายังส่งลิงค์การจองรถโดยได้ส่วนลด 7% มาด้วย โดยสิ้นสุดโปรเดือน 6
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ใครอยากสนใจ ตามไปโหลดได้จากลิงค์นี้นะครับ จะเป็นไฟล์ pdf ที่มีลิงค์พาไปยังหน้าเช่ารถแบบได้ส่วนลด https://drive.google.com/file/d/1Lm7_An5AeEdO68G475PqeyaPKmSCoJz4/view?usp=sharing
ผมจึงได้มำการจองรถจากลิงค์ใหม่นี้แทน

พอเลือกทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หน้าถัดไปก็จะมีรถรุ่นต่างๆ ให้เราเลือก พร้อมทั้งมี recommendation ให้ด้วย ว่ารถรุ่นไหนเหมาะสำหรับผู้โดยสารกี่ท่าน (ถ้าจองบนหน้าเวบหลัก Toyota rent a car จะไม่มี recommendation ให้) แม้หน้าที่แล้วจะเลือกอะไรไว้ เราก็มาดูเปลี่ยนใจที่ตรงนี้อีกทีหนึ่งได้ ซึ่งผมก็คิดแล้วคิดอีก ว่าสามคน จะมีกระเป๋าสักกี่ใบ ถ้าอยากประหยัดใช้ eco car ก็คงไหวแหละมั้ง แต่เราพาผู้ใหญ่ไป เลยตัดสินใจเลือกรถขนาดไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่ไปดีกว่า เลยเลือกรุ่น SIENTA มา ซึ่ง recommend สำหรับนั่งสามคน แต่สามารถปรับเบาะให้นั่งได้ถึง 7 คนถ้าไม่มีสัมภาระ
.

พอเลือกรุ่นรถเสร็จ หน้าถัดไปจะเป็นรายการเพิ่มเติม เช่น ล้อสำหรับวิ่งบนหิมะ, ประกันอุบัติเหตุ, บัตรทางด่วน ETC (มีคนอธิบายไว้เยอะแล้ว ขอไม่อธิบายตรงนี้ แต่บอกเลยว่า ต้องเอาครับ), แล้วก็อย่าลืมใส่ discount ที่อยู่ใน spoil นะครับ กรณีที่เช่ารถตรงตามเงื่อนไขระยะเวลาของเค้า
.
ซึ่งทีแรก ผมไม่ได้เลือก special tire คือล้อสำหรับวิ่งบนหิมะ มีให้เลือกกรณีที่เราอาจจะไปเจอหิมะ พอทำเรื่องจองไป ก็มีอีเมลมาสอบถามเพื่อ double check ว่าเราไม่ต้องการ special tire แน่นะ เพราะมันมีจำกัด ถ้าต้องการต้องแจ้งล่วงหน้า มาบอกหน้า counter ตอนรับรถไม่ได้ ผมเลยเมลถามเค้ากลับไปว่าผมขึ้น Koya-san มันจะเจอหิมะมั้ย ? เค้าก็ตอบมาว่ามีความเป็นไปได้ ผมเลยเอาก็ได้ แล้วก็ได้เมลสรุปค่าเช่ารถ และต้องชำระล่วงหน้าเลยภายใน 7 วัน ก็หักบัตรเครดิตเราไป

วันนี้จะขอจบการรีวิวส่วนของการจองรถและรับรถแต่เพียงเท่านี้ ส่วนรีวิวการเที่ยวตามเส้นทางจะทยอยตามมานะครับ
.
แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากบอกเล่าสำหรับทุกท่านที่คิดว่าการเช่ารถขับนั้นน่าสนใจคือ "ท่านเหมาะที่จะเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นหรือไม่ ?" เพราะกฎหมายที่เข้มงวดกวดขันของญี่ปุ่น บวกกับวินัยการขับรถของคนไทย มันดูเป็นส่วนผสมที่ไม่ควรเอามาไว้ด้วยกันเลย ผมจึงมีหลักให้ท่านพิจารณาดังนี้ครับ
1. เราเป็นคนยินดีขับรถตามกฎจราจรได้ดีแค่ไหน ? ตัวอย่างหนึ่งที่ผมได้ยินบ่อยมากๆ คือการถูกปรับเพราะไม่ยอมหยุดเวลาเจอป้าย "หยุด" (ป้ายสามเหลี่ยมสีแดง) ซึ่งกฎจราจรทั้งบ้านเค้าและบ้านเรา ก็ระบุตรงกันว่า ต้องหยุด หยุดคือหยุดจริงๆ ล้อหยุดหมุนแล้วค่อยไป จึงจะถือว่าไม่ได้ฝ่าฝืนกฎจราจร แม้ว่าถนนจะโล่งแค่ไหน จะไม่มีรถหรือคนเลยในระยะ 100 เมตร คุณก็ต้องหยุด
2. เราใจเย็นแค่ไหน บ้านเค้าไม่มีนะครับ รถรอขึ้นสะพาน แล้วตีขวาไปเบียดเข้าที่คอสะพาน รถเค้าเข้าคิวกันยาวเป็นกิโล ทุกคนรอได้ ถ้าเอานิสัยคนไทยที่ชอบไปแทรกด้านหน้าไปใช้ ก็เตรียมเสียค่าปรับ เพราะตามคอสะพานจะเป็นเส้นทึบ คือเส้นห้ามเปลี่ยนเลนเสมอ ถ้าเอานิสัยนี้ไปใช้อย่าเช่า หรืออีกกรณี คือการแซงซ้ายบนไหล่ทาง
3. เรามีน้ำใจแค่ไหน คนญี่ปุ่น เวลามีคนจะเข้าเลน เค้าชะลอให้กันนะครับ กระพริบไฟให้ทางด้วยอีกต่างหาก ถามว่าคนญี่ปุ่นเค้าแสนดีมีน้ำใจกว่าเรา ? ไม่ใช่หรอก แต่กฎหมายบ้านเค้ามันแรง ถ้าเกิดเหตุเกิดอะไรขึ้นมา มันไม่คุ้ม เสียทั้งเวลาทั้งค่าปรับ การมีน้ำใจให้กันจึงทั้งไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ และยังทำให้บรรยากาศการจราจรดีด้วย
**ทำความเข้าใจกันนิดนะครับ การกระพริบไฟสูง 1-2 ทีสั้นๆ คือการบอกให้ทางแก่รถที่กำลังจะเปลี่ยนมาเลนเราว่าเราให้เค้ามาได้อย่างปลอดภัย สากลโลกเป็นแบบนี้ แต่บ้านเราใช้ด่ากันบ้าง ให้ทางกันบ้างจนมันมั่วไปหมด และที่ญี่ปุ่นเวลามีการให้สัญญาณปลอดภัยด้วยการเปิดไฟเลี้ยวซ้ายให้เราแซงขึ้นไปได้อย่างปลอดภัย เราก็ควรแสดงความขอบคุณด้วยการเปิด "ไฟฉุกเฉิน 1-2 ครั้ง" เป็นการขอบคุณ แสดงมารยาทที่ดีบนท้องถนนที่ญี่ปุ่นเค้าทำกัน
.
วันนี้ขอจบกระทู้เพียงเท่านี้ก่อน episode ต่อไปจะเริ่มเล่าเรื่องเที่ยวละครับ
[CR] Trip แทนคุณ : เช่ารถขับพาพ่อแม่เส้นทางแสวงบุญ Kansai (มีลิงค์ส่วนลดค่าเช่ารถ)
.
ที่มาของกระทู้รีวิวนี้
แรกเริ่มเดิมที พ่อกับแม่ผมอยู่เชียงใหม่ และตัวผมทำงานอยู่กรุงเทพฯครับ ทำให้ตั้งแต่เรียนจบไม่ค่อยได้มีเวลาได้เจอได้ใช้เวลาร่วมกับท่าน จึงคิดว่าคงดีถ้าเราได้พาท่านไปเที่ยวต่างประเทศซักครั้งหนึ่ง ซึ่งผมก็เล็งประเทศญี่ปุ่นไว้ เพราะผมเคยมีประสบการณ์ไปเที่ยวญี่ปุ่นมาแล้ว 3 ครั้งด้วยกันกับภรรยา ไปกันสองคนและใช้การเดินทางด้วยรถไฟเป็นหลัก แถบที่เที่ยวก็ตามที่นิยม คือโตเกียว คาวากุจิโกะ นิกโกะ และโอซาก้า เกียวโต โกเบ
.
การเที่ยวทุกครั้ง สิ่งหนึ่งที่รู้สึกเลยคือ “คนญี่ปุ่นเดินเก่งมากๆ” ขนาดผมว่าผมก็ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และร่างกายก็แข็งแรงพอสมควร ยังรู้สึกเลยว่า การเที่ยวที่ญี่ปุ่นนี่แม้การเดินทางจะทั่วถึงและสะดวกสบาย แต่ในการเดินทางนั้นต้องอาศัยการเดินจากที่หนึ่งไปที่หนึ่งๆ มากพอสมควร เรียกว่าเดินกันวันหนึ่งๆ เป็นกิโลๆ ซึ่งมันต่างจากชีวิตประจำวันของคนไทยมาก ที่เดินอยู่แต่ในบ้านและในห้าง
---------------------------------------
คุณแม่ผมท่านได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อปีก่อนที่โตเกียวกับญาติๆสนิทฝั่งท่าน ซึ่งก็ใช้วิธีขึ้นรถไฟเป็นพาหนะหลัก และท่านก็บ่น และแลดูเป็นทริบที่ท่านไม่ค่อยจะประทับใจเท่าไหร่ ผมจึงลังเลพอสมควรว่าจะโน้มน้าวท่านยังไงดี เพราะใจอยากพาท่านไปเที่ยว ได้ใช้เวลาด้วยกัน แต่ถ้าท่านไม่ได้อยากไปเหนื่อยแบบนั้น เราก็ไม่อยากจะฝืนใจท่าน และก็ไม่มีประสบการณ์ขับรถในญี่ปุ่น ที่ใครต่อใครว่ากันว่าเข้มงวดมากเรื่องกฎจราจร และมีแต่คนเตือนและปรามว่าอย่าเลย
.
จนเดือนตุลาคม 2017 ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเช่ารถขับโดยผู้จัดคือเพื่อนผม เรานั่งเครื่องบินไปลงที่นาริตะ แล้วขึ้นชินกังเซนโดยใช้ Jr East ไป Sendai แล้วเช่ารถขับขึ้นไป Aomori คืนรถแล้วนั่งชินคังเซนกลับโตเกียว
นอกจากนี้ จากความรู้สึกส่วนตัวผม ยังพบอีกด้วยว่า การเดินทางด้วยรถเช่าสามารถย่นระยะการเดินทางด้วยเท้าไปได้ 70-80% ทำให้ผมรู้เลยว่า อืม นี่แหละที่เหมาะสำหรับพ่อกับแม่ผม ที่วัย 64 ย่าง 65 สว.ที่แทบไม่เคยออกกำลังกายมาเลยตลอดชีวิต
.
ทริบที่ผมวางไว้แบบหลวมๆ
- วันแรก บินไปถึงเวลาประมาณ 4 ทุ่ม รับรถแล้วขับเข้าเมืองวาคายาม่านอน 1 คืน
- วันที่สอง พาพ่อแม่ไปเดินเล่นปราสาทวาคายาม่า เดินเล่นเทศกาลชมหิมะ หาราเม็งสูตรเฉพาะเมืองวา- คายาม่าแล้วขับรถลงใต้ แวะไร่ Strawberry buffet แล้วไปนอนพักที่เมือง Nachi-Katsuura 2 คืน
- วันที่สาม พาตระเวณเที่ยวเส้นทางแสวงบุญ และนำตก Nachi น้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
- วันที่สี่ ขับรถขึ้นเขา Koya-san แล้วนอนพักในวัดที่เค้าเรียกว่า Temple Lodging
- วันที่ห้า พาเที่ยวสุสานท่าน Kobo daichi ผู้ก่อตั้งพุทธลัทธิชินง่อน และวัดสำคัญๆ บ่ายขับรถเข้าโอซาก้า เช่าที่พักติดโดทงโบริ พาพ่อแม่เดินเล่นโดทงโบริ และพากินโอโคโนมิยากิ
- วันที่หก พาคุณพ่อคุณแม่เยี่ยมเพื่อนที่เมืองเกียวโต ไปเช้าเย็นกลับมาโอซาก้า พ่อเดินผ่าน supermarket แล้วเจอเนื้อ เลยซื้อกลับมาทำปาร์ตี้กินกันเองที่ห้อง
- วันที่เจ็ด Free day พาแม่ตระเวณ shopping ร้าน 100 yen แล้วขับรถกลับมาคืนรถตอนหัวค่ำเพื่อรอขึ้นเครื่องกลับไฟลท์ดึก
.
นี่คือภาพ google map ที่ผมทำเส้นทางไว้ โดยมีภาพถัดไปเป็นต้นแบบ
ก็ถึงเวลาเลือกว่าจะเช่ารถกับเจ้าไหน ผมเอาง่ายเข้าว่า ก็ใช้ Toyota เหมือนที่เพื่อนเคยเช่าให้ขับเมื่อปีก่อน ผมก็เข้าไปที่เวบ toyota rent a car หน้าแรกก็จะเจอแบบนี้ครับ
.
เนื่องจากเวลา Landing ของผมคือเวลา 21.55 คือเกือบ 4 ทุ่ม ขณะที่ shop เค้าปิด 23.00 น. ทำให้ผมจะมีเวลาไม่เกิน 1 ชม. ก่อน shop จะปิด ผมจึงอีเมลไปสอบถามเค้าว่าถ้าเราจองรถไว้แล้วไปไม่ทันเค้าจะรอเรามั้ย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ก็ได้คำตอบกลับมา ว่าเวลาที่เราไปถึง หนึ่งชั่วโมงไม่น่ามีปัญหา แถมเค้ายังส่งลิงค์การจองรถโดยได้ส่วนลด 7% มาด้วย โดยสิ้นสุดโปรเดือน 6
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมจึงได้มำการจองรถจากลิงค์ใหม่นี้แทน
.
.
ซึ่งทีแรก ผมไม่ได้เลือก special tire คือล้อสำหรับวิ่งบนหิมะ มีให้เลือกกรณีที่เราอาจจะไปเจอหิมะ พอทำเรื่องจองไป ก็มีอีเมลมาสอบถามเพื่อ double check ว่าเราไม่ต้องการ special tire แน่นะ เพราะมันมีจำกัด ถ้าต้องการต้องแจ้งล่วงหน้า มาบอกหน้า counter ตอนรับรถไม่ได้ ผมเลยเมลถามเค้ากลับไปว่าผมขึ้น Koya-san มันจะเจอหิมะมั้ย ? เค้าก็ตอบมาว่ามีความเป็นไปได้ ผมเลยเอาก็ได้ แล้วก็ได้เมลสรุปค่าเช่ารถ และต้องชำระล่วงหน้าเลยภายใน 7 วัน ก็หักบัตรเครดิตเราไป
.
แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากบอกเล่าสำหรับทุกท่านที่คิดว่าการเช่ารถขับนั้นน่าสนใจคือ "ท่านเหมาะที่จะเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นหรือไม่ ?" เพราะกฎหมายที่เข้มงวดกวดขันของญี่ปุ่น บวกกับวินัยการขับรถของคนไทย มันดูเป็นส่วนผสมที่ไม่ควรเอามาไว้ด้วยกันเลย ผมจึงมีหลักให้ท่านพิจารณาดังนี้ครับ
1. เราเป็นคนยินดีขับรถตามกฎจราจรได้ดีแค่ไหน ? ตัวอย่างหนึ่งที่ผมได้ยินบ่อยมากๆ คือการถูกปรับเพราะไม่ยอมหยุดเวลาเจอป้าย "หยุด" (ป้ายสามเหลี่ยมสีแดง) ซึ่งกฎจราจรทั้งบ้านเค้าและบ้านเรา ก็ระบุตรงกันว่า ต้องหยุด หยุดคือหยุดจริงๆ ล้อหยุดหมุนแล้วค่อยไป จึงจะถือว่าไม่ได้ฝ่าฝืนกฎจราจร แม้ว่าถนนจะโล่งแค่ไหน จะไม่มีรถหรือคนเลยในระยะ 100 เมตร คุณก็ต้องหยุด
2. เราใจเย็นแค่ไหน บ้านเค้าไม่มีนะครับ รถรอขึ้นสะพาน แล้วตีขวาไปเบียดเข้าที่คอสะพาน รถเค้าเข้าคิวกันยาวเป็นกิโล ทุกคนรอได้ ถ้าเอานิสัยคนไทยที่ชอบไปแทรกด้านหน้าไปใช้ ก็เตรียมเสียค่าปรับ เพราะตามคอสะพานจะเป็นเส้นทึบ คือเส้นห้ามเปลี่ยนเลนเสมอ ถ้าเอานิสัยนี้ไปใช้อย่าเช่า หรืออีกกรณี คือการแซงซ้ายบนไหล่ทาง
3. เรามีน้ำใจแค่ไหน คนญี่ปุ่น เวลามีคนจะเข้าเลน เค้าชะลอให้กันนะครับ กระพริบไฟให้ทางด้วยอีกต่างหาก ถามว่าคนญี่ปุ่นเค้าแสนดีมีน้ำใจกว่าเรา ? ไม่ใช่หรอก แต่กฎหมายบ้านเค้ามันแรง ถ้าเกิดเหตุเกิดอะไรขึ้นมา มันไม่คุ้ม เสียทั้งเวลาทั้งค่าปรับ การมีน้ำใจให้กันจึงทั้งไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ และยังทำให้บรรยากาศการจราจรดีด้วย
**ทำความเข้าใจกันนิดนะครับ การกระพริบไฟสูง 1-2 ทีสั้นๆ คือการบอกให้ทางแก่รถที่กำลังจะเปลี่ยนมาเลนเราว่าเราให้เค้ามาได้อย่างปลอดภัย สากลโลกเป็นแบบนี้ แต่บ้านเราใช้ด่ากันบ้าง ให้ทางกันบ้างจนมันมั่วไปหมด และที่ญี่ปุ่นเวลามีการให้สัญญาณปลอดภัยด้วยการเปิดไฟเลี้ยวซ้ายให้เราแซงขึ้นไปได้อย่างปลอดภัย เราก็ควรแสดงความขอบคุณด้วยการเปิด "ไฟฉุกเฉิน 1-2 ครั้ง" เป็นการขอบคุณ แสดงมารยาทที่ดีบนท้องถนนที่ญี่ปุ่นเค้าทำกัน
.
วันนี้ขอจบกระทู้เพียงเท่านี้ก่อน episode ต่อไปจะเริ่มเล่าเรื่องเที่ยวละครับ