เราหลงใหลการเดินทางด้วยรถไฟเอามากๆเลยล่ะ
ถามว่าเหนื่อย ร้อนมั้ย???
ตอบเลย ว่า .... “” เ ห นื่ อ ย และ ร้ อ น!!! ””

ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นทุกๆครั้งที่ได้ขึ้น และ ชวนตื่นตากับทิวทัศน์ทั้งสองข้างรางที่แล่นผ่านมั้ง
เลยสนุกและตื่นตากับสิ่งใหม่ๆ รวมถึงมิตรภาพที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทาง
เราซื้อตั๋วรถไฟที่สถานีรถไฟดอนเมือง ได้รอบ 8.30 ขบวนรถไฟเร็วRap ลงสถานีรถไฟเด่นชัย จ.แพร่
ทีแรกตั้งใจจะซื้อตั๋ว ขบวนรถไฟด่วนพิเศษ แต่ดันเต็มซะก่อน (แอบเสียดาย)
ใช้เวลา 8 ชม. ถึงแพร่ราว 17.00 ค่ะ ค่าตั๋วรถไฟ 173 บาท (ถูกเนาะ 555)
ระหว่างที่นั่งรถไฟ ได้เพื่อนร่วมทางมาหลายคนทีเดียว แม้ว่าจะต่างจุดหมายก็ตาม
เรานั่งพูดคุย แลกเปลี่ยน กันในหลายๆ เรื่อง ซาบซึ้งในน้ำใจที่คอยช่วยเหลือในการสอบถามเส้นทาง
ทุกความทรงจำที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ล้วนแต่น่าจะจดจำทั้งนั้นค่ะ ว่ามั้ยคะ?

พระปรางค์ 3 ยอด ลพบุรีค่ะ

ลอดอุโมงค์ที่แพร่ค่ะ
การนั่งรถไฟไปน่านครั้งนี้
แอบหวั่นใจนิดๆค่ะ เพราะรถไฟมาช้ากว่าปกติ 30 นาที เราวางแผนสำรองไว้เยอะมาก
เพราะเรากะเวลาเดินทางจากสถานีรถไฟเด่นชัยไป บขส.แพร่ ไว้ราวๆ 1 ชม (ระยะทางไม่ไกลมากค่ะ แต่ใช้เวลาเกือบ 40 นาที ราคาะ 40บาท)
เพื่อที่จะได้ต่อรถตู้ไปน่านได้ทันรอบสุดท้ายคือ 6 โมงเย็น
เราไปถึงนั่น 6 โมงเย็นพอดี แต่ไม่ทัน!!!
คงเพราะคนเต็มก่อน เลยออกไป
แต่...โชคดีนะคะที่มีรถทัวร์ พิษณุโลก – น่าน-ทุ่งช้าง มาพอดี
นั่งคันนี้จาก สถานีรถไฟเด่นชัย ไป บขส.แพร่ค่ะ
เริ่มแรกเราวางแผนจะพักในตัวเมืองน่าน จึงตีตั๋วลง บขส.น่าน ราคาตั๋ว 80 บาทค่ะ
แต่เผอิญได้รู้จักและพี่ ผช คนนึง เป็นคนปัวพอดีค่ะ และเป็นเภสัชกร ซะด้วย ^^
พี่เค้าก็แนะนำให้ลงที่ปัวเลย ซึ่งที่พัก (กรีนฮิล รีสอร์ท เราขอห้องคืนละ 500 เจ้าของใจดีมากค่ะ^^ )อยู่ใกล้ๆกับจุดจอดส่งคนที่ อ.ปัว ตรงข้ามกับตลาดเช้า และก็ใกล้จุดขึ้นรถสองแถวไปบ่อเกลือด้วย เลยได้ซื้อตั๋ว จาก บขส.น่าน มาปัว อีก 60 บาท
เราจำระยะทางไม่ได้แล้วตอนนี้ ว่าจาก บขส.แพร่- บขส.น่าน และ บขส.น่าน-ปัว คือกี่กิโล
เราขึ้นรถจากทัวร์จากแพร่ 6 โมงเย็น ถึงปัว 4 ทุ่ม ค่ะ

ภาพตอนไปตลาดสดใกล้ๆค่ะ
หลังจากที่พักเอาแรงคืนหนึ่ง
จุดหมายต่อไปคือ ‘บ่ อ เ ก ลื อ’ ค่ะ
จุดขึ้นรถอยู่ตรงข้ามกับที่พักเลย
รอบรถที่วิ่ง จะมีเวลา 7.30 9.30 และ 11.30 ค่ะ ถ้าช่วงคนน้อยอาจจะวิ่งแค่รอบ 9.00 ค่ะ
ส่วนขากลับจากบ่อเกลือก็จะมีรอบ 10.00 รอบแรก (ค่ารถ 80 บาท รอบอื่นเราจำไมได้อ่า 555 โทษทีนะคะ)
ใช้เวลาเดินทาง 1 ชมค่ะ ทางชันดี
ระหว่างทางก็มีรถสวนกันเยอะพอสมควร
รวมถึงมอไซต์ เค้าขับกันไดเก่งมากอ่า
เรายังไม่กล้าเลย เพราะเคยมีประสบการณ์ขับขึ้นทางชันๆแล้วรถมันดับ
รถและตัวคนค่อยๆถลาถอยหลังลง เราเลยกลัว.....

ระหว่างนั่งรถไปบ่อเกลือค่ะ วิวอะไรไม่เห็นเลยค่ะ
เห็นแต่ ผู้ชาย!!!
ถึงบ่อเกลือล่ะ
ที่พักก็ดูมาแค่ “อุ่นไอมาง” ที่เดียวค่ะ
เพราะคิดว่าไปหน้าร้อน ยังไงก็ต้องมีที่ว่างแน่นอน
ทีแรกมีแผนจะไปพักที่ อุ่นไอมาง แต่จากจุดลงรถ ไปอุ่นไอมางอีกราวๆ9 กม. ได้
ซึ่งต้องเหมารถต่อ เราเลยขอให้คุณลุงรถสองแถว ช่วยแนะนำที่พักให้
ที่ได้คือ “ม่อนสายลม” ที่พักว่างมากค่ะ ว่างจริงๆ ทั้งที่พักมีเราคนเดียว!!! (สมใจอยากค่ะ)

ที่พักดูโอคมากค่ะ “รู้สึกชอบมากๆๆค่ะ” ดูเป็นส่วนตัวดี
ราคาที่พัก คืนละ 600 ค่ะ ป้าเจ้าของที่พักใจดีค่ะ ข้าวต้ม อร่อยด้วย คุยสนุก
แต่ขอแนะนำให้นำอาหารจากข้างล่างติดมือไปด้วยนะคะ
เพราะที่บ่อเกลือถ้าไม่มีรถ น่าจะหาซื้อได้ลำบาก เพราะตอนไปทานข้าวเราก็โบกรถมอไซต์เด็กผู้ชายไป (55555 เหยื่อเรา)
...........พอเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย
ก็ไปทานข้าวค่ะ อย่างที่บอกคือ โบกมอไซต์ ไป ก็ไม่ไกลจากที่พักค่ะ
ทานเสร็จก็เดินสวยๆ เล่นๆ ไปชมวิธีการทำเกลือ ซึ่งไม่ไกลจากร้านข้าว
ตรงจุดที่ทำเกลือ ก็เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสรรสร้างได้อัศจรรย์
เพราะน้ำที่สูบจากพื้นที่รอบๆจะเป็นน้ำจืดหมดเลย
แต่มีแค่ตรงจุดที่ทำเกลือเท่านั้น ที่เป็นน้ำเค็ม
เสร็จจากชมเกลือ ก็มุ่งหน้าไปยังเชิงเขาที่อยู่ตรงข้ามกับที่พัก
ระหว่างทางก็ได้แวะชมศูนย์การเรียนรู้ มจธ. ในนั้นก็มีข้อมูลความเป็นมาของ ต.บ่อเกลือ
มีปลูกสตรอเบอร์รี่ และอื่นๆ

.........จากนั้นไม่นานก็มุ่งหน้าต่อไปยังเชิงเขาด้านหน้า
ถ่ายรูปไปเรื่อยๆค่ะ ค่อยๆซึมซับบรรยากาศ
เดินฝ่าทุ่งนาที่เหลือเพียงแค่ตอซังไปเรื่อยๆ
จนได้พบกับ ...ลำน้ำมาง...
ไม่รอช้าค่ะ รีบจัดการถอดรองเท้า ถุงเท้า แล้วเดินลงไปนั่งเล่นกับโขดหิน ให้เท้าได้สัมผัสกับน้ำเย็นๆ
ใจอยากจะทอดกายจุ่มสัมผัสให้น้ำได้ไหลผ่านกายด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นร้อน เหนียวตัวมาก
.....ฟังเสียงน้ำไหล เสียงไก่ที่แข่งกันขันอยู่ด้านบน เสียงวัวที่ร้องทักคงเพราะตกใจที่เห็นหน้าเรา
มันเป็นช่วงเวลาที่ดูเงียบๆ แต่จริงๆก็ไม่ได้เงียบ
เหมือนเป็นเวลาที่ได้อยู่กับตัวเอง ชื่นชมกับความสวยงามของธรรมชาติ ณ ขณะนั้น……
ก็อยากที่บอกไว้ค่ะ
ไปคนเดียว!! ก็เล่นน้ำคนเดียว คุยกับปู ปลา ไปเรื่อยค่ะ !!!
...........พอได้เวลากลับ จริงๆ คือกระหายน้ำมากค่ะ
เลยรีบเดินกะว่าจะลัดไปทางโรงเรียน (อยู่ตรงข้ามกับที่พัก)
แต่พอเดินไปถึงประตู ประตูดันล็อค (มารู้ทีหลัง ประตูเล็กจะเปิดออกได้ค่ะ )
เหตุเพราะประตูล็อค เราเลยเดินย้อนกลับมาทางเดิม
ซึ่งพอดีกับที่มีเจ้าของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆลำน้ำมาง กำลังรถน้ำต้นไม้อยู่ค่ะ
เราเลยถามหาร้านค้าที่ใกล้ที่สุด ซึ่งก็คือร้านข้าวที่ทานก่อนหน้านั้นนั่นเอง (สาบานเลยค่ะ ว่ามันไกลพอสมควร)
เค้าก็คงสงสารมั้ง ++++เอ่ยออกตัวว่า ถ้าไม่รังเกียจ เข้าไปดื่มน้ำที่บ้านเค้าก่อนมั้ย +++
เราก็ไม่ไหวแล้วตอนนั้น เลยขออนุญาตรบกวนนะคะ
นั่งรอไม่นาน น้ำใสๆในเหยือกพร้อมแก้ว 2 ใบ ก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า
เราก็นั่งคุยกันเรื่อยๆ ค่ะ พร้อมกับในแก้วที่ค่อยๆลดระดับลงเรื่อยๆ
สายตาก็สำรวจบริเวณบ้านและกระโจมที่ตอนนี้ถูกผ้าสีขาวคลุมไว้
ที่นี่เป็นที่พักแบบไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวค่ะ
ซึ่งตอนนี้กำลังปรับปรุงเพื่อจะเปิดช่วงๆ ตุลาคมนี้ค่ะ
ถ้าใครจะไปบ่อเกลือ
“สวนริมมาง” อาจจะเป็นที่พักที่ทำให้คุณกลับไปอีกหลายต่อหลายครั้งก็ได้
หลังจากคุยกันไปเรื่อยๆ เราก็ขอตัวกลับ
ตัดภาพมาถึงที่พักอันเป็นส่วนตัว(มากกกก จนซักเสื้อตากได้แบบสบายใจ 5555)
คืนนั้นก็นอนคนเดียวค่ะ ดีนะที่มีเจ้าของเค้ามานอนเฝ้าที่พัก
ภายในกระท่อมดูอบอุ่นมากค่ะ ที่นอนนุ่ม
อากาศเย็นดีค่ะ แต่เราก็เปิดพัดลม
เคลิ้มหลับไปได้สักพักใหญ่ อยู่ๆไฟด้านหน้ากระท่อมก็ดับ
เราตกใจมากค่ะ ตอนนั้นในสมองนี้ประมวลผลไปถึงเรื่องผีที่เราเคยอ่าน (ชอบฟังและอ่านเรื่องผีมากกกก)
และกลัวใครจะมาทำมิดีมิร้าย (ยิ่งสวยๆอยู่)
คือนอนคนเดียวเนาะ บนเขา ตายล่ะ!!! เรานี่รีบโทรหาเจ้าของใหญ่
โทรไปเบอร์แรกไม่ติด ยิ่งกลัวเข้าไปอีก
ลองโทรอีกเบอร์ เริ่มอุ่นใจล่ะ มีคนรับ รีบกรอกเสียงตามสายทันที “ไฟดับค่ะๆๆ”
เจ้าของก็แจ้งกลับมาว่า ..อ่อ ไฟดับทั้งตำบลเลย เนี่ยเครื่องปั่นไฟที่ รพ ก็ดังใหญ่เลย…
เจ้าของที่พักเลยเอาตะเกียงมาแขวนไว้ให้หน้ากระท่อม
อุ่นใจขึ้นเยอะเลยค่ะ นอนตาหลับล่ะคืนนี้
รุ่งเช้าก็รีบอาบน้ำแต่งตัว
น้ำเย็นดี 555 ชอบมั่กๆๆ
แต่งตัวเสร็จแล้วก็รีบมาจัดการข้าวต้มร้อนๆจากคุณป้าเจ้าของที่พักค่ะ
ทำมาให้หม้อเล็กใบนึง เราก็ทานแค่ถ้วยเดียวเองค่ะ แต่หลายรอบ 5555
กลัวคนทำเสียใจ เลยต้องจัดการให้เรียบ!!!!!
ทานไปเรื่อยๆ เพื่อรอเวลานัด
เราวางแผนว่าจะโบกรถคันที่จะผ่านปัวไปลงที่จุดขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน
ซึ่งตอนที่นั่งจิบน้ำเปล่าคุยกับเจ้าของที่พักสวนริมมาง
เค้าก็ใจดีให้ติดรถไปลงที่จุดขึ้นทัวร์ค่ะ(ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่พักคืนแรก ที่ ปัว)
ระหว่างที่นั่งรถ ก็คุยกันเรื่อยเปื่อยค่ะ
พร้อมกับสายตาที่ทอดมองวิวเบื้องหน้าและสองข้างทางที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้และภูเขาสลับทับซ้อนกัน
สวยจริงๆค่ะ ถ้าหน้าฝนต้องชอุ่มกว่านี้แน่ๆ
ตอนขาขึ้นมา เรานั่งสองแถว ซึ่งหลังคาค่อนข้างเตี้ย
เลยอดเห็นวิว ><” (บอกไปแล้ว่า เห็นแต่ ผู้ ช า ย

)
มาถึงจุดขึ้นรถทัวร์ค่ะ
เราะจะเดินทางกลับบ้าน ซึ่งช่วงนั้นเป็นวันหยุดของที่ทำงาน
เลยนั่งรถสาย พิษณุโลก -แพร่ –ทุ่งช้าง ไปลงพิษณุโลก (ปัว-->แพร่ -->อุตรดิตถ์-->พิษณุโลก-->โคราช--> บุรีรัมย์ )
ตลอดการเดินทาง
ผู้โดยสารก็เต็มคันรถเลยค่ะ
เราได้ที่นั่งวีไอพี โต๊ะน้อยด้านข้างกัปตันเลยค่ะ พร้อมที่เสียบแบต
คนขับและพี่กระเป๋ารถ ใจดีมากค่ะ สอบถามเส้นทางกลับบ้านจากพี่เค้านี่แหละ
กว่าจะถึงบ้าน ใช้เวลามากเอาการเลยค่ะ
เหนื่อยนะ แต่สนุก ประทับใจและได้ประสบการณ์หลายๆอย่าง รวมถึงมิตรภาพที่คอยแนะนำและเป็นห่วงตลอดระเวลาการเดินทาง
ไปคนเดียวบางทีมันก็เหงาค่ะ ไม่มีเพื่อนคุย แต่มันก็สนุกตรงที่ได้ทำและตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง
ไม่ต้องมาเลือกอะไรมากด้วย ไม่มีคำว่าถูกหรือผิดเวลาตัดสินใจ มีแต่คำว่า...เลือกแล้ว ลุยเลย!!!....

สุดท้ายนี้
....ข อ บ คุ ณ การรถไฟแห่งประเทศไทยที่ทำให้เกิดความประทับใจและสนุกกับการเดินทาง
...ข อ บ คุ ณ วิวสองข้างทางของการเดินทางโดยรถไฟ เราชอบตอนรถไฟแล่นผ่าน จ.แพร่ มากๆๆ
สองข้างขนาบไปด้วยต้นไม้ใหญ่สลับกันภูเขา สวยมากๆค่ะ
...ข อ บ คุ ณ เพื่อนใหม่ เป็นคนแพร่ ที่คอยเป็นไกด์ให้บนรถไฟ
...ข อ บ คุ ณ ที่พลาดรถไฟขบวนรถด่วนพิเศษ เพราะถ้าด่วนขนาดนั้น เราคงไม่ทันได้ชื่นชมและบันทึกภาพด้วยสายตาได้ทันแน่นอน
...ข อ บ คุ ณ มิตรภาพทุกๆท่าน ที่ทำให้เรามีความทรงจำดีๆในการเดินทางครั้งนี้ และครอบครัวที่คอยเป็นห่วงเสมอ
...ข อ บ คุ ณ ตัวเราเองที่ไปถึงเป้าหมายได้ แม้ระหว่างทางจะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา และ แผนที่เปลี่ยนบ่อยเหลือเกิน
***ปล. หากมีข้อผิดพลาด ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะไปมาตั้งแต่ 1-3 /05/60 ***
[CR] ล่องรถไฟแอ่วน่าน (บ่ อ เ ก ลื อ )
ถามว่าเหนื่อย ร้อนมั้ย???
ตอบเลย ว่า .... “” เ ห นื่ อ ย และ ร้ อ น!!! ””
ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นทุกๆครั้งที่ได้ขึ้น และ ชวนตื่นตากับทิวทัศน์ทั้งสองข้างรางที่แล่นผ่านมั้ง
เลยสนุกและตื่นตากับสิ่งใหม่ๆ รวมถึงมิตรภาพที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทาง
เราซื้อตั๋วรถไฟที่สถานีรถไฟดอนเมือง ได้รอบ 8.30 ขบวนรถไฟเร็วRap ลงสถานีรถไฟเด่นชัย จ.แพร่
ทีแรกตั้งใจจะซื้อตั๋ว ขบวนรถไฟด่วนพิเศษ แต่ดันเต็มซะก่อน (แอบเสียดาย)
ใช้เวลา 8 ชม. ถึงแพร่ราว 17.00 ค่ะ ค่าตั๋วรถไฟ 173 บาท (ถูกเนาะ 555)
ระหว่างที่นั่งรถไฟ ได้เพื่อนร่วมทางมาหลายคนทีเดียว แม้ว่าจะต่างจุดหมายก็ตาม
เรานั่งพูดคุย แลกเปลี่ยน กันในหลายๆ เรื่อง ซาบซึ้งในน้ำใจที่คอยช่วยเหลือในการสอบถามเส้นทาง
ทุกความทรงจำที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ล้วนแต่น่าจะจดจำทั้งนั้นค่ะ ว่ามั้ยคะ?
ลอดอุโมงค์ที่แพร่ค่ะ
การนั่งรถไฟไปน่านครั้งนี้
แอบหวั่นใจนิดๆค่ะ เพราะรถไฟมาช้ากว่าปกติ 30 นาที เราวางแผนสำรองไว้เยอะมาก
เพราะเรากะเวลาเดินทางจากสถานีรถไฟเด่นชัยไป บขส.แพร่ ไว้ราวๆ 1 ชม (ระยะทางไม่ไกลมากค่ะ แต่ใช้เวลาเกือบ 40 นาที ราคาะ 40บาท)
เพื่อที่จะได้ต่อรถตู้ไปน่านได้ทันรอบสุดท้ายคือ 6 โมงเย็น
เราไปถึงนั่น 6 โมงเย็นพอดี แต่ไม่ทัน!!!
คงเพราะคนเต็มก่อน เลยออกไป
แต่...โชคดีนะคะที่มีรถทัวร์ พิษณุโลก – น่าน-ทุ่งช้าง มาพอดี
นั่งคันนี้จาก สถานีรถไฟเด่นชัย ไป บขส.แพร่ค่ะ
เริ่มแรกเราวางแผนจะพักในตัวเมืองน่าน จึงตีตั๋วลง บขส.น่าน ราคาตั๋ว 80 บาทค่ะ
แต่เผอิญได้รู้จักและพี่ ผช คนนึง เป็นคนปัวพอดีค่ะ และเป็นเภสัชกร ซะด้วย ^^
พี่เค้าก็แนะนำให้ลงที่ปัวเลย ซึ่งที่พัก (กรีนฮิล รีสอร์ท เราขอห้องคืนละ 500 เจ้าของใจดีมากค่ะ^^ )อยู่ใกล้ๆกับจุดจอดส่งคนที่ อ.ปัว ตรงข้ามกับตลาดเช้า และก็ใกล้จุดขึ้นรถสองแถวไปบ่อเกลือด้วย เลยได้ซื้อตั๋ว จาก บขส.น่าน มาปัว อีก 60 บาท
เราจำระยะทางไม่ได้แล้วตอนนี้ ว่าจาก บขส.แพร่- บขส.น่าน และ บขส.น่าน-ปัว คือกี่กิโล
เราขึ้นรถจากทัวร์จากแพร่ 6 โมงเย็น ถึงปัว 4 ทุ่ม ค่ะ
ภาพตอนไปตลาดสดใกล้ๆค่ะ
หลังจากที่พักเอาแรงคืนหนึ่ง
จุดหมายต่อไปคือ ‘บ่ อ เ ก ลื อ’ ค่ะ
จุดขึ้นรถอยู่ตรงข้ามกับที่พักเลย
รอบรถที่วิ่ง จะมีเวลา 7.30 9.30 และ 11.30 ค่ะ ถ้าช่วงคนน้อยอาจจะวิ่งแค่รอบ 9.00 ค่ะ
ส่วนขากลับจากบ่อเกลือก็จะมีรอบ 10.00 รอบแรก (ค่ารถ 80 บาท รอบอื่นเราจำไมได้อ่า 555 โทษทีนะคะ)
ใช้เวลาเดินทาง 1 ชมค่ะ ทางชันดี
ระหว่างทางก็มีรถสวนกันเยอะพอสมควร
รวมถึงมอไซต์ เค้าขับกันไดเก่งมากอ่า
เรายังไม่กล้าเลย เพราะเคยมีประสบการณ์ขับขึ้นทางชันๆแล้วรถมันดับ
รถและตัวคนค่อยๆถลาถอยหลังลง เราเลยกลัว.....
เห็นแต่ ผู้ชาย!!!
ถึงบ่อเกลือล่ะ
ที่พักก็ดูมาแค่ “อุ่นไอมาง” ที่เดียวค่ะ
เพราะคิดว่าไปหน้าร้อน ยังไงก็ต้องมีที่ว่างแน่นอน
ทีแรกมีแผนจะไปพักที่ อุ่นไอมาง แต่จากจุดลงรถ ไปอุ่นไอมางอีกราวๆ9 กม. ได้
ซึ่งต้องเหมารถต่อ เราเลยขอให้คุณลุงรถสองแถว ช่วยแนะนำที่พักให้
ที่ได้คือ “ม่อนสายลม” ที่พักว่างมากค่ะ ว่างจริงๆ ทั้งที่พักมีเราคนเดียว!!! (สมใจอยากค่ะ)
ที่พักดูโอคมากค่ะ “รู้สึกชอบมากๆๆค่ะ” ดูเป็นส่วนตัวดี
ราคาที่พัก คืนละ 600 ค่ะ ป้าเจ้าของที่พักใจดีค่ะ ข้าวต้ม อร่อยด้วย คุยสนุก
แต่ขอแนะนำให้นำอาหารจากข้างล่างติดมือไปด้วยนะคะ
เพราะที่บ่อเกลือถ้าไม่มีรถ น่าจะหาซื้อได้ลำบาก เพราะตอนไปทานข้าวเราก็โบกรถมอไซต์เด็กผู้ชายไป (55555 เหยื่อเรา)
...........พอเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย
ก็ไปทานข้าวค่ะ อย่างที่บอกคือ โบกมอไซต์ ไป ก็ไม่ไกลจากที่พักค่ะ
ทานเสร็จก็เดินสวยๆ เล่นๆ ไปชมวิธีการทำเกลือ ซึ่งไม่ไกลจากร้านข้าว
ตรงจุดที่ทำเกลือ ก็เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสรรสร้างได้อัศจรรย์
เพราะน้ำที่สูบจากพื้นที่รอบๆจะเป็นน้ำจืดหมดเลย
แต่มีแค่ตรงจุดที่ทำเกลือเท่านั้น ที่เป็นน้ำเค็ม
เสร็จจากชมเกลือ ก็มุ่งหน้าไปยังเชิงเขาที่อยู่ตรงข้ามกับที่พัก
ระหว่างทางก็ได้แวะชมศูนย์การเรียนรู้ มจธ. ในนั้นก็มีข้อมูลความเป็นมาของ ต.บ่อเกลือ
มีปลูกสตรอเบอร์รี่ และอื่นๆ
.........จากนั้นไม่นานก็มุ่งหน้าต่อไปยังเชิงเขาด้านหน้า
ถ่ายรูปไปเรื่อยๆค่ะ ค่อยๆซึมซับบรรยากาศ
เดินฝ่าทุ่งนาที่เหลือเพียงแค่ตอซังไปเรื่อยๆ
จนได้พบกับ ...ลำน้ำมาง...
ไม่รอช้าค่ะ รีบจัดการถอดรองเท้า ถุงเท้า แล้วเดินลงไปนั่งเล่นกับโขดหิน ให้เท้าได้สัมผัสกับน้ำเย็นๆ
ใจอยากจะทอดกายจุ่มสัมผัสให้น้ำได้ไหลผ่านกายด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นร้อน เหนียวตัวมาก
.....ฟังเสียงน้ำไหล เสียงไก่ที่แข่งกันขันอยู่ด้านบน เสียงวัวที่ร้องทักคงเพราะตกใจที่เห็นหน้าเรา
มันเป็นช่วงเวลาที่ดูเงียบๆ แต่จริงๆก็ไม่ได้เงียบ
เหมือนเป็นเวลาที่ได้อยู่กับตัวเอง ชื่นชมกับความสวยงามของธรรมชาติ ณ ขณะนั้น……
ก็อยากที่บอกไว้ค่ะ ไปคนเดียว!! ก็เล่นน้ำคนเดียว คุยกับปู ปลา ไปเรื่อยค่ะ !!!
...........พอได้เวลากลับ จริงๆ คือกระหายน้ำมากค่ะ
เลยรีบเดินกะว่าจะลัดไปทางโรงเรียน (อยู่ตรงข้ามกับที่พัก)
แต่พอเดินไปถึงประตู ประตูดันล็อค (มารู้ทีหลัง ประตูเล็กจะเปิดออกได้ค่ะ )
เหตุเพราะประตูล็อค เราเลยเดินย้อนกลับมาทางเดิม
ซึ่งพอดีกับที่มีเจ้าของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆลำน้ำมาง กำลังรถน้ำต้นไม้อยู่ค่ะ
เราเลยถามหาร้านค้าที่ใกล้ที่สุด ซึ่งก็คือร้านข้าวที่ทานก่อนหน้านั้นนั่นเอง (สาบานเลยค่ะ ว่ามันไกลพอสมควร)
เค้าก็คงสงสารมั้ง ++++เอ่ยออกตัวว่า ถ้าไม่รังเกียจ เข้าไปดื่มน้ำที่บ้านเค้าก่อนมั้ย +++
เราก็ไม่ไหวแล้วตอนนั้น เลยขออนุญาตรบกวนนะคะ
นั่งรอไม่นาน น้ำใสๆในเหยือกพร้อมแก้ว 2 ใบ ก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า
เราก็นั่งคุยกันเรื่อยๆ ค่ะ พร้อมกับในแก้วที่ค่อยๆลดระดับลงเรื่อยๆ
สายตาก็สำรวจบริเวณบ้านและกระโจมที่ตอนนี้ถูกผ้าสีขาวคลุมไว้
ที่นี่เป็นที่พักแบบไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวค่ะ
ซึ่งตอนนี้กำลังปรับปรุงเพื่อจะเปิดช่วงๆ ตุลาคมนี้ค่ะ
ถ้าใครจะไปบ่อเกลือ “สวนริมมาง” อาจจะเป็นที่พักที่ทำให้คุณกลับไปอีกหลายต่อหลายครั้งก็ได้
หลังจากคุยกันไปเรื่อยๆ เราก็ขอตัวกลับ
ตัดภาพมาถึงที่พักอันเป็นส่วนตัว(มากกกก จนซักเสื้อตากได้แบบสบายใจ 5555)
คืนนั้นก็นอนคนเดียวค่ะ ดีนะที่มีเจ้าของเค้ามานอนเฝ้าที่พัก
ภายในกระท่อมดูอบอุ่นมากค่ะ ที่นอนนุ่ม
อากาศเย็นดีค่ะ แต่เราก็เปิดพัดลม
เคลิ้มหลับไปได้สักพักใหญ่ อยู่ๆไฟด้านหน้ากระท่อมก็ดับ
เราตกใจมากค่ะ ตอนนั้นในสมองนี้ประมวลผลไปถึงเรื่องผีที่เราเคยอ่าน (ชอบฟังและอ่านเรื่องผีมากกกก)
และกลัวใครจะมาทำมิดีมิร้าย (ยิ่งสวยๆอยู่)
คือนอนคนเดียวเนาะ บนเขา ตายล่ะ!!! เรานี่รีบโทรหาเจ้าของใหญ่
โทรไปเบอร์แรกไม่ติด ยิ่งกลัวเข้าไปอีก
ลองโทรอีกเบอร์ เริ่มอุ่นใจล่ะ มีคนรับ รีบกรอกเสียงตามสายทันที “ไฟดับค่ะๆๆ”
เจ้าของก็แจ้งกลับมาว่า ..อ่อ ไฟดับทั้งตำบลเลย เนี่ยเครื่องปั่นไฟที่ รพ ก็ดังใหญ่เลย…
เจ้าของที่พักเลยเอาตะเกียงมาแขวนไว้ให้หน้ากระท่อม
อุ่นใจขึ้นเยอะเลยค่ะ นอนตาหลับล่ะคืนนี้
รุ่งเช้าก็รีบอาบน้ำแต่งตัว
น้ำเย็นดี 555 ชอบมั่กๆๆ
แต่งตัวเสร็จแล้วก็รีบมาจัดการข้าวต้มร้อนๆจากคุณป้าเจ้าของที่พักค่ะ
ทำมาให้หม้อเล็กใบนึง เราก็ทานแค่ถ้วยเดียวเองค่ะ แต่หลายรอบ 5555
กลัวคนทำเสียใจ เลยต้องจัดการให้เรียบ!!!!!
ทานไปเรื่อยๆ เพื่อรอเวลานัด
เราวางแผนว่าจะโบกรถคันที่จะผ่านปัวไปลงที่จุดขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน
ซึ่งตอนที่นั่งจิบน้ำเปล่าคุยกับเจ้าของที่พักสวนริมมาง
เค้าก็ใจดีให้ติดรถไปลงที่จุดขึ้นทัวร์ค่ะ(ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่พักคืนแรก ที่ ปัว)
ระหว่างที่นั่งรถ ก็คุยกันเรื่อยเปื่อยค่ะ
พร้อมกับสายตาที่ทอดมองวิวเบื้องหน้าและสองข้างทางที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้และภูเขาสลับทับซ้อนกัน
สวยจริงๆค่ะ ถ้าหน้าฝนต้องชอุ่มกว่านี้แน่ๆ
ตอนขาขึ้นมา เรานั่งสองแถว ซึ่งหลังคาค่อนข้างเตี้ย
เลยอดเห็นวิว ><” (บอกไปแล้ว่า เห็นแต่ ผู้ ช า ย
มาถึงจุดขึ้นรถทัวร์ค่ะ
เราะจะเดินทางกลับบ้าน ซึ่งช่วงนั้นเป็นวันหยุดของที่ทำงาน
เลยนั่งรถสาย พิษณุโลก -แพร่ –ทุ่งช้าง ไปลงพิษณุโลก (ปัว-->แพร่ -->อุตรดิตถ์-->พิษณุโลก-->โคราช--> บุรีรัมย์ )
ตลอดการเดินทาง
ผู้โดยสารก็เต็มคันรถเลยค่ะ
เราได้ที่นั่งวีไอพี โต๊ะน้อยด้านข้างกัปตันเลยค่ะ พร้อมที่เสียบแบต
คนขับและพี่กระเป๋ารถ ใจดีมากค่ะ สอบถามเส้นทางกลับบ้านจากพี่เค้านี่แหละ
กว่าจะถึงบ้าน ใช้เวลามากเอาการเลยค่ะ
เหนื่อยนะ แต่สนุก ประทับใจและได้ประสบการณ์หลายๆอย่าง รวมถึงมิตรภาพที่คอยแนะนำและเป็นห่วงตลอดระเวลาการเดินทาง
ไปคนเดียวบางทีมันก็เหงาค่ะ ไม่มีเพื่อนคุย แต่มันก็สนุกตรงที่ได้ทำและตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง
ไม่ต้องมาเลือกอะไรมากด้วย ไม่มีคำว่าถูกหรือผิดเวลาตัดสินใจ มีแต่คำว่า...เลือกแล้ว ลุยเลย!!!....
สุดท้ายนี้
....ข อ บ คุ ณ การรถไฟแห่งประเทศไทยที่ทำให้เกิดความประทับใจและสนุกกับการเดินทาง
...ข อ บ คุ ณ วิวสองข้างทางของการเดินทางโดยรถไฟ เราชอบตอนรถไฟแล่นผ่าน จ.แพร่ มากๆๆ
สองข้างขนาบไปด้วยต้นไม้ใหญ่สลับกันภูเขา สวยมากๆค่ะ
...ข อ บ คุ ณ เพื่อนใหม่ เป็นคนแพร่ ที่คอยเป็นไกด์ให้บนรถไฟ
...ข อ บ คุ ณ ที่พลาดรถไฟขบวนรถด่วนพิเศษ เพราะถ้าด่วนขนาดนั้น เราคงไม่ทันได้ชื่นชมและบันทึกภาพด้วยสายตาได้ทันแน่นอน
...ข อ บ คุ ณ มิตรภาพทุกๆท่าน ที่ทำให้เรามีความทรงจำดีๆในการเดินทางครั้งนี้ และครอบครัวที่คอยเป็นห่วงเสมอ
...ข อ บ คุ ณ ตัวเราเองที่ไปถึงเป้าหมายได้ แม้ระหว่างทางจะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา และ แผนที่เปลี่ยนบ่อยเหลือเกิน
***ปล. หากมีข้อผิดพลาด ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะไปมาตั้งแต่ 1-3 /05/60 ***
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น