สวัสดีค่ะ มากระทู้แรกก็ขอตั้งวงถกเรื่องหนักๆ ของอนาคตที่ไม่มี “สูตรสำเร็จ” อย่างที่เราเคยเข้าใจ และความกังวลปนเคว้งคว้างของคนยุคปัจจุบัน (อาจจะโดยเฉพาะเจนวายอย่างเรา) เลยแล้วกันค่ะ
จากคลิป employer statement และรับสมัครงานของ SCB “ศัลยกรรมโชคชะตา” จาก facebook feed ตะกี้นี้เลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.scb.co.th/career/?utm_source=facebook&utm_medium=video&utm_campaign=hr_branding02042018&utm_content=vdo1
จากข่าวคนลาวฮิตเรียนภาษาจีนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.voicetv.co.th/read/ByY3_cjKG
จากข้อมูลว่า ปตท กำลังหว่านคนและเงินทุนไปในสาขาใหม่ๆ มากมาย ทั้ง AI startup และอะไรหลายอย่างที่ฉีกแนวจากภาพจำน้ำมันดิบก๊าซธรรมชาติเดิมๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://news.mbamagazine.net/index.php/people/ceo-vision/item/722-the-last-man-standing-ptt
และอื่นๆ อีกมากมาย
ถ้าหากเป็นคนที่คอยตามข่าวสารและกระแสโลกอยู่แล้ว ก็คงจะเห็นเค้ามานานแล้วใช่ไหมคะ ว่ากระแสต่างๆ กำลังเปลี่ยนทิศทาง ฉีกขนบความเข้าใจเดิมๆ ของเราว่า เรียนให้ดี ทำงานตรงสาย ภาษาอังกฤษให้ได้ แล้วชีวิตจะค่อนข้างโอเคเอง
แต่เราเป็นคนที่อู้การอัพเดทข่าวสารรอบตัวพอสมควร (ทั้งสมน้ำหน้าตัวเองและอดสูอยู่ในที!) ความเปลี่ยนแปลงทั้งสามข้อที่ยกตัวอย่างมา เราก็เพิ่งจะได้รู้ก็วันนี้-สัปดาห์นี้ เท่านั้นเอง เจอติดๆ กันแล้วมันยิ่งตอกย้ำว่า ตอนนี้โลกไม่ได้เดินตาม “กฎ” แห่งความสำเร็จ อย่างที่เราเข้าใจมาตลอดแล้วนะ
เราเป็นคนเจนวาย คุณพ่อคุณแม่เป็นเจนเอ็กซ์ ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายนี่สิบกว่าปีก่อนก็คงจะมีน้อยคนนักที่จะประเมินได้ แน่น่อนว่าประสบการณ์ของคุณพ่อคุณแม่เราที่สั่งสมมาหลายปีก่อนหน้านั้นก็คงไม่อาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ตอนนี้ จากทางเดินชีวิตที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาว่า “ตั้งใจเรียน ต่อโท(บริหาร) ทำงาน อย่าลืมรักษาสุขภาพ ออมเงินและลงทุน ปรับตัวกับคนและอนาคตที่จะเปลี่ยนแปลงไป” อาจจะต้องมาวางแผนขั้นต้นๆ ใหม่ เพราะความรู้หรือปริญญาที่เรามีตอนนี้ (“ก้าวแรกๆ “ ของทางเดินชีวิต) อาจจะก้าวไปแล้วไปไหนไม่ได้ไกลในอนาคตเช่นนี้
ทุกอย่างนี้ไม่ใช่ข้ออ้างที่เราจะไม่พัฒนาตัวเองหรอกนะคะ
สิ่งที่เราคิดว่าเป็นแต้มต่อ ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว เราก็ต้องพุ่งตัวไปหาแต้มต่อใหม่ๆ ให้ได้นั่นแหละ
แต่มันก็ทำให้อดใจหายไม่ได้ ว่าที่ผ่านมาเราเดินอ้อมไปสินะ เราเริ่มพัฒนาตัวเองช้ากว่าคนที่เดินถูกทางสินะ เวลาที่รู้สึกท้อถอยหรือตกใจกับ requirement การสมัครงานตำแหน่งใหม่ๆ หลายทีก็อดคิด “รู้งี้” ไม่ได้เหมือนกัน
พอมีอะไรหลายอย่างที่ต้องรู้ต้องตามให้ทัน มันประดังกันเข้ามาเยอะๆ หลายทีเราก็ตกใจแล้วเลือกไม่ถูก จะเรียนอะไรดี เรียน coding ผ่าน edX หรือจะเรียนจีน หรือจะอ่าน gmat สอบเรียนโทบริหาร แล้วเรียนโทบริหารมันยังมีความหมายอยู่หรือ สู้เริ่มปั้นโปรเจกต์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันไว้เป็นประสบการณ์จริงๆ จะดีกว่าไหม เอ้าแล้วจะเริ่มยังไงล่ะ แล้วต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยหรือ เรียนทุกอย่างพร้อมๆ กันเลยได้ไหม (อย่างบริษัทก็ยังอยากได้หลายๆ ทักษะในตัวคนเดียวเลย)
กังวลไปวิตกมาสุดท้ายเราก็จับจด ทำอะไรไม่ค่อยได้สักอย่าง เพราะประคองสติไม่ค่อยแน่วแน่ ทำอันนั้นอยู่ก็คิดแวบไปว่าอ้าวอันนั้นยังไม่ได้เริ่มแตะเลย วนเวียนไปมาสี่ห้าอย่าง จบไม่สวยสักอย่าง ที่ประคองไหวคือการเรียนโท(ไม่ใช่บริหาร)ตอนนี้ที่ใกล้จะจบแล้ว ยิ่งเจอประเด็น เรียนต่อ(บริหาร)อีก vs ทำงาน vs อะไร ช่วงนี้เลยเครียดกับชีวิตเป็นพิเศษ
(เราเป็นคนโลเลด้วยละมั้ง เจออะไรหน่อยก็ถูกกระทบว่าเราต้องเดินไปทางนั้นๆ ต่างหาก อาจจะไม่ได้ยึดมั่นกับตัวตนและทางเดินของตัวเองมากพอ ก็เลยก้าวสะเปะสะปะไปหมด)
ที่อยากทำให้สำเร็จที่สุดคือช่วยพัฒนาประเทศไทย อย่างเราเรียนมาแนวๆ วิศวะ สิ่งแวดล้อม sustainability เราก็อยากเอาหลักนี้ลงไปในกลุ่มธุรกิจ (เพราะส่วนตัวเราคิดว่าถ้าอยากให้อะไรเป็น trend แข็งแรง มันต้องให้ภาคธุรกิจเป็นผู้นำ) ไปในการพัฒนาชุมชน การท่องเที่ยว การเกษตร
แต่เราต้องอยู่ตรงไหน สามารถแค่ไหน ร่วมมือกับใคร ให้ความตั้งใจของเราได้เกิดผลต่อประเทศจริงๆ
ยิ่งเห็นโลกเปลี่ยน แผนที่เคยคิดไว้มันยิ่งต้องเปลี่ยน แต่ปรับยังไงดีล่ะ ตรงนี้เราค่อนข้างเคว้ง
ต้องพัฒนาตัวเองนี่ใช่แน่ๆ แต่ไปทางไหนดีล่ะ มันมีตั้งหลายทิศทางที่โลกกำลังจับตามอง
คลี่นลูกไหนที่เราควรจะเลือก และลูกไหนที่เรามองออกแล้วว่า I can afford to not be great at it
อยากจะมาคุยกันว่า
มีใครกำลังกังวล หรือตื่นเต้นอยากวิ่งไปจอยแล้วววว กับเรื่องอนาคตอย่างนี้บ้างไหมคะ
ว่าทักษะที่เรามี ที่เคยคิดว่าเป็นแต้มต่อ ตอนนี้มันกลายเป็น basic requirement ที่ไม่ได้ดีเด่พิศดารอะไรอีกแล้ว
ว่าสาขาที่เรียนมาและคิดว่าจะพอใช้เป็นทางสู่การทำงานได้ กลับไม่แน่นอนอย่างที่คิดไว้ เพราะทิศทางโลกธุรกิจมันหมุนไปจากกลุ่มธุรกิจที่ “เคยรุ่ง” สมัยเราเป็นนักเรียนนักศึกษา
ว่าเฮ้ยฉันเก็งมาถูกทางว่ะ นี่แหละอนาคตที่เหมาะกับเรา กรอบเดิมๆ ที่ไม่ถูกชะตากับเรามันเก่าเกินไปแล้ว นึ่คือยุคของเราจริงๆ!!
ว่าโลกในอนาคตอันใกล้นี้เต็มไปด้วยเรื่องน่าตื่นเต้น สิ่งที่เคยฝันฟุ้งเฟ้อสามารถกลายเป็นจริงและจับต้องได้ แต่ขณะเดียวกัน “เรา” จะหาที่ยืนของเราในโลกใหม่นี้ยังไง
เรามีคนรู้จักหลายคนที่ไหวตัวทันและเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้มาแต่เนิ่นๆ จนตอนนี้พร้อมรุกโลกอนาคตนี้แล้วค่ะ
ตัวเราเองออกแนวหัวเก่าหน่อยละมั้ง ไม่ได้กล้าแหวกแนวมากมาย ตอนเรียนก็สายตั้งใจเรียนตามธรรมเนียม พอเจอเทรนด์ธุรกิจใหม่ การจ้างงานตำแหน่งใหม่ requirement ประสบการณ์ที่มันเพิ่งผุดเกิดมาไม่กี่ปี บางทีก็เกิดอาการไปไม่เป็นบ้างเหมือนกันค่ะ
อีกอย่างคือโดยพื้นฐานเราเป็นคนคิดเยอะ คิดมาก คิดเตลิดไปไกลจนขี้กังวลค่ะ ที่เขียนมาเลยมีความกลัวความวิตกอยู่เยอะหน่อย
ที่อยากตั้งกระทู้ถกกันส่วนหนึ่งก็เพราะอยากรับความตื่นเต้นและพลังบวกจากคนอื่นๆ ด้วยล่ะค่ะ
อยากถามความเห็นทุกด้าน จากทุกๆ วัยเลยนะคะ
ตอนนี้คนวัยเรียน วัยเริ่มทำงาน คิดยังไงกันบ้างคะ
วัยเริ่มสร้างครอบครัว วัยผู้ปกครอง กังวลอะไรไหม เห็นโอกาสใหม่ๆ อะไรบ้างหรือเปล่า
วัยเริ่มเกษียณ ตอนนี้เทคโนโลยีและความตื่นตัวเรื่อง ageing society กำลังเข้าทางเลยไหมคะ
มาแลกเปลี่ยนกันค่ะ
โลกหมุนยิ่งไว วิ่งยังไงให้ทันให้แซงหน้า | มีใครกำลังกังวล-ตื่นเต้น-ประหม่า-ตั้งหน้าตั้งตารอ อนาคต ณ ตอนนี้ บ้างไหมคะ
จากคลิป employer statement และรับสมัครงานของ SCB “ศัลยกรรมโชคชะตา” จาก facebook feed ตะกี้นี้เลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากข่าวคนลาวฮิตเรียนภาษาจีนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากข้อมูลว่า ปตท กำลังหว่านคนและเงินทุนไปในสาขาใหม่ๆ มากมาย ทั้ง AI startup และอะไรหลายอย่างที่ฉีกแนวจากภาพจำน้ำมันดิบก๊าซธรรมชาติเดิมๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และอื่นๆ อีกมากมาย
ถ้าหากเป็นคนที่คอยตามข่าวสารและกระแสโลกอยู่แล้ว ก็คงจะเห็นเค้ามานานแล้วใช่ไหมคะ ว่ากระแสต่างๆ กำลังเปลี่ยนทิศทาง ฉีกขนบความเข้าใจเดิมๆ ของเราว่า เรียนให้ดี ทำงานตรงสาย ภาษาอังกฤษให้ได้ แล้วชีวิตจะค่อนข้างโอเคเอง
แต่เราเป็นคนที่อู้การอัพเดทข่าวสารรอบตัวพอสมควร (ทั้งสมน้ำหน้าตัวเองและอดสูอยู่ในที!) ความเปลี่ยนแปลงทั้งสามข้อที่ยกตัวอย่างมา เราก็เพิ่งจะได้รู้ก็วันนี้-สัปดาห์นี้ เท่านั้นเอง เจอติดๆ กันแล้วมันยิ่งตอกย้ำว่า ตอนนี้โลกไม่ได้เดินตาม “กฎ” แห่งความสำเร็จ อย่างที่เราเข้าใจมาตลอดแล้วนะ
เราเป็นคนเจนวาย คุณพ่อคุณแม่เป็นเจนเอ็กซ์ ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายนี่สิบกว่าปีก่อนก็คงจะมีน้อยคนนักที่จะประเมินได้ แน่น่อนว่าประสบการณ์ของคุณพ่อคุณแม่เราที่สั่งสมมาหลายปีก่อนหน้านั้นก็คงไม่อาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ตอนนี้ จากทางเดินชีวิตที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาว่า “ตั้งใจเรียน ต่อโท(บริหาร) ทำงาน อย่าลืมรักษาสุขภาพ ออมเงินและลงทุน ปรับตัวกับคนและอนาคตที่จะเปลี่ยนแปลงไป” อาจจะต้องมาวางแผนขั้นต้นๆ ใหม่ เพราะความรู้หรือปริญญาที่เรามีตอนนี้ (“ก้าวแรกๆ “ ของทางเดินชีวิต) อาจจะก้าวไปแล้วไปไหนไม่ได้ไกลในอนาคตเช่นนี้
ทุกอย่างนี้ไม่ใช่ข้ออ้างที่เราจะไม่พัฒนาตัวเองหรอกนะคะ
สิ่งที่เราคิดว่าเป็นแต้มต่อ ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว เราก็ต้องพุ่งตัวไปหาแต้มต่อใหม่ๆ ให้ได้นั่นแหละ
แต่มันก็ทำให้อดใจหายไม่ได้ ว่าที่ผ่านมาเราเดินอ้อมไปสินะ เราเริ่มพัฒนาตัวเองช้ากว่าคนที่เดินถูกทางสินะ เวลาที่รู้สึกท้อถอยหรือตกใจกับ requirement การสมัครงานตำแหน่งใหม่ๆ หลายทีก็อดคิด “รู้งี้” ไม่ได้เหมือนกัน
พอมีอะไรหลายอย่างที่ต้องรู้ต้องตามให้ทัน มันประดังกันเข้ามาเยอะๆ หลายทีเราก็ตกใจแล้วเลือกไม่ถูก จะเรียนอะไรดี เรียน coding ผ่าน edX หรือจะเรียนจีน หรือจะอ่าน gmat สอบเรียนโทบริหาร แล้วเรียนโทบริหารมันยังมีความหมายอยู่หรือ สู้เริ่มปั้นโปรเจกต์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันไว้เป็นประสบการณ์จริงๆ จะดีกว่าไหม เอ้าแล้วจะเริ่มยังไงล่ะ แล้วต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยหรือ เรียนทุกอย่างพร้อมๆ กันเลยได้ไหม (อย่างบริษัทก็ยังอยากได้หลายๆ ทักษะในตัวคนเดียวเลย)
กังวลไปวิตกมาสุดท้ายเราก็จับจด ทำอะไรไม่ค่อยได้สักอย่าง เพราะประคองสติไม่ค่อยแน่วแน่ ทำอันนั้นอยู่ก็คิดแวบไปว่าอ้าวอันนั้นยังไม่ได้เริ่มแตะเลย วนเวียนไปมาสี่ห้าอย่าง จบไม่สวยสักอย่าง ที่ประคองไหวคือการเรียนโท(ไม่ใช่บริหาร)ตอนนี้ที่ใกล้จะจบแล้ว ยิ่งเจอประเด็น เรียนต่อ(บริหาร)อีก vs ทำงาน vs อะไร ช่วงนี้เลยเครียดกับชีวิตเป็นพิเศษ
(เราเป็นคนโลเลด้วยละมั้ง เจออะไรหน่อยก็ถูกกระทบว่าเราต้องเดินไปทางนั้นๆ ต่างหาก อาจจะไม่ได้ยึดมั่นกับตัวตนและทางเดินของตัวเองมากพอ ก็เลยก้าวสะเปะสะปะไปหมด)
ที่อยากทำให้สำเร็จที่สุดคือช่วยพัฒนาประเทศไทย อย่างเราเรียนมาแนวๆ วิศวะ สิ่งแวดล้อม sustainability เราก็อยากเอาหลักนี้ลงไปในกลุ่มธุรกิจ (เพราะส่วนตัวเราคิดว่าถ้าอยากให้อะไรเป็น trend แข็งแรง มันต้องให้ภาคธุรกิจเป็นผู้นำ) ไปในการพัฒนาชุมชน การท่องเที่ยว การเกษตร
แต่เราต้องอยู่ตรงไหน สามารถแค่ไหน ร่วมมือกับใคร ให้ความตั้งใจของเราได้เกิดผลต่อประเทศจริงๆ
ยิ่งเห็นโลกเปลี่ยน แผนที่เคยคิดไว้มันยิ่งต้องเปลี่ยน แต่ปรับยังไงดีล่ะ ตรงนี้เราค่อนข้างเคว้ง
ต้องพัฒนาตัวเองนี่ใช่แน่ๆ แต่ไปทางไหนดีล่ะ มันมีตั้งหลายทิศทางที่โลกกำลังจับตามอง
คลี่นลูกไหนที่เราควรจะเลือก และลูกไหนที่เรามองออกแล้วว่า I can afford to not be great at it
อยากจะมาคุยกันว่า
มีใครกำลังกังวล หรือตื่นเต้นอยากวิ่งไปจอยแล้วววว กับเรื่องอนาคตอย่างนี้บ้างไหมคะ
ว่าทักษะที่เรามี ที่เคยคิดว่าเป็นแต้มต่อ ตอนนี้มันกลายเป็น basic requirement ที่ไม่ได้ดีเด่พิศดารอะไรอีกแล้ว
ว่าสาขาที่เรียนมาและคิดว่าจะพอใช้เป็นทางสู่การทำงานได้ กลับไม่แน่นอนอย่างที่คิดไว้ เพราะทิศทางโลกธุรกิจมันหมุนไปจากกลุ่มธุรกิจที่ “เคยรุ่ง” สมัยเราเป็นนักเรียนนักศึกษา
ว่าเฮ้ยฉันเก็งมาถูกทางว่ะ นี่แหละอนาคตที่เหมาะกับเรา กรอบเดิมๆ ที่ไม่ถูกชะตากับเรามันเก่าเกินไปแล้ว นึ่คือยุคของเราจริงๆ!!
ว่าโลกในอนาคตอันใกล้นี้เต็มไปด้วยเรื่องน่าตื่นเต้น สิ่งที่เคยฝันฟุ้งเฟ้อสามารถกลายเป็นจริงและจับต้องได้ แต่ขณะเดียวกัน “เรา” จะหาที่ยืนของเราในโลกใหม่นี้ยังไง
เรามีคนรู้จักหลายคนที่ไหวตัวทันและเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้มาแต่เนิ่นๆ จนตอนนี้พร้อมรุกโลกอนาคตนี้แล้วค่ะ
ตัวเราเองออกแนวหัวเก่าหน่อยละมั้ง ไม่ได้กล้าแหวกแนวมากมาย ตอนเรียนก็สายตั้งใจเรียนตามธรรมเนียม พอเจอเทรนด์ธุรกิจใหม่ การจ้างงานตำแหน่งใหม่ requirement ประสบการณ์ที่มันเพิ่งผุดเกิดมาไม่กี่ปี บางทีก็เกิดอาการไปไม่เป็นบ้างเหมือนกันค่ะ
อีกอย่างคือโดยพื้นฐานเราเป็นคนคิดเยอะ คิดมาก คิดเตลิดไปไกลจนขี้กังวลค่ะ ที่เขียนมาเลยมีความกลัวความวิตกอยู่เยอะหน่อย
ที่อยากตั้งกระทู้ถกกันส่วนหนึ่งก็เพราะอยากรับความตื่นเต้นและพลังบวกจากคนอื่นๆ ด้วยล่ะค่ะ
อยากถามความเห็นทุกด้าน จากทุกๆ วัยเลยนะคะ
ตอนนี้คนวัยเรียน วัยเริ่มทำงาน คิดยังไงกันบ้างคะ
วัยเริ่มสร้างครอบครัว วัยผู้ปกครอง กังวลอะไรไหม เห็นโอกาสใหม่ๆ อะไรบ้างหรือเปล่า
วัยเริ่มเกษียณ ตอนนี้เทคโนโลยีและความตื่นตัวเรื่อง ageing society กำลังเข้าทางเลยไหมคะ
มาแลกเปลี่ยนกันค่ะ