โปรเจค "กลัว...ไทยยั่งยืน"


ดร.โสภณ พรโชคชัย กล่าวไว้ว่า "ที่มาเลเซีย การจะเวนคืนที่ดินนั้น เขาไม่ฟัง NGOs มากนักตราบเท่าที่การเวนคืนนั้น เขาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม"

ตัวอย่างหนึ่งก็คือ ทางราชการสามารถเวนคืนสวนปาล์มน้ำมันหรือสวนยาง มาสร้างนิคมอุตสาหกรรม ก็ทำได้ เขาไม่ได้มองแคบๆ ว่าเป็นผลประโยชน์ของนายทุน แต่การที่นายทุนพัฒนาที่ดินแบบนี้ จะทำให้เกิดการสร้างงานมากขึ้น เป็นผลดีต่อชาติ ยิ่งแนวคิดแบบดรามาไทยๆ ว่าถ้าเวนคืนแล้วไม่ใช้ใน 5 ปี ต้องคืนเจ้าของ ทั้งที่จ่ายค่าเวนคืนไปแล้ว ยิ่งไม่มีในมาเลเซียแต่อย่างใด หากมาเลเซียมัวฟังพวก NGOs ก็คงทำอะไรไม่ได้

ในสิงคโปร์ และมาเลเซีย ชาวบ้านมีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วยกับค่าทดแทนการเวนคืนที่ไม่สมน้ำสมเนื้อ หากจ่ายค่าเวนคืนต่ำไป ก็ต้องฟ้องร้องเอา และประชาชนก็มีโอกาสชนะ แต่จะไม่เห็นด้วยกับโครงการพัฒนาไม่ได้ จะอ้างว่าโครงการพัฒนาแล้ว ทำให้ที่ดินแถวนั้นดีขึ้น ตนควรจะได้ค่าทดแทนมากขึ้นไม่ได้ ตราบที่ทางราชการจ่ายค่าทดแทนให้ตามราคาตลาดหรือมากกว่าในขณะเวนคืน ยิ่งหากเป็นความผูกพันด้านจิตใจของบุคคลย่อมนำมาอ้างไม่ได้อย่างเด็ดขาด การขีดเส้นให้ชัดเจนอย่างนี้ ประชาชนก็จะตระหนักในสิทธิและหน้าที่ของตนเองอย่างเคร่งครัด

ผมนึกไปนึกมาจึงทำให้อดเสียวสันหลังไม่ได้ว่า หากเมื่อ 20 ปีก่อน NGOs ไทย กล้าแข็งเช่นทุกวันนี้ ป่านนี้คงไม่ได้สร้างทางด่วนขั้นที่ 2 ที่คร่อมคลองประปา ยิ่งถ้าสะพานพระรามที่ 8 ไม่ใช่โครงการในพระราชดำริ ป่านนี้ก็คงไม่ได้สร้างเพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทยอย่างแน่นอน แม้แต่สะพานพระปิ่นเกล้า ก็คงไม่ได้สร้าง เพราะถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงต้องสงวนไว้รักษาความเป็นไทยๆ ไว้ ห้ามสร้างสะพานอย่างแน่นอน ชาวธนบุรีคงได้สะอื้นไห้ หาก NGOs เฟื่องในสมัยก่อน

เมื่อปีที่แล้ว หนังสือพิมพ์ Economist ได้ตีพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับการทุจริตของ NGOs ในกรีก ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างความปั่นป่วนทางการเมือง และความไม่โปร่งใสในการใช้เงิน ยังผลเสียอย่างใหญ่หลวงต่อความพินาศทางเศรษฐกิจและกีดขวางความเจริญของประเทศชาติ เช่น สะพานข้ามเมืองมุมไบ เขื่อนหรือโรงไฟฟ้า ก็ถูกทำให้ล่าช้าออกไปโดยพวก NGOs ทำให้ผลประโยชน์ของประชาชนโดยรวมเสียหาย

พวก NGOs ชอบขายความกลัว เอาความไม่รู้ ความกลัว อันตรายต่างๆ มาขู่ให้ประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เกิดความวิตกกังวล บ่อยครั้งยังปะทุเป็นความรุนแรงขึ้นมาได้อีก นอกจากนั้นยังใช้ความน่ารัก น่าสงสาร ของคน สัตว์ สิ่งของมาทำให้เกิดความกลัว มาเพื่อจูงใจให้ผู้คนบริจาคให้กับ NGOs ต่างๆ ยิ่งในระดับโลกมีเครือข่าย การที่ทำการประท้วงเสียงดังในประเทศหนึ่งๆ ยังส่งผลให้ได้รับรางวัลหรือผลงานให้ “เข้าตา” NGOs ระดับโลกให้ได้เงินมาใช้สอยได้อีก ในประเทศไทยก็มีกองทุนให้เงิน NGOs ไปใช้ โดยที่จะมีความโปร่งใสหรือไม่ คงเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่

ถ้าเราสังเกตให้ดี จะพบว่าพวกหัวหน้า NGOs ต่างๆ เมื่อทำงานได้ระยะหนึ่ง ก็จะไปเล่นการเมือง เช่น สมัครเป็น ส.ว. หรือรอรับการแต่งตั้งเป็นอนุกรรมาธิการ ที่ปรึกษา “เทกระโถน” ยิ่งสมัยนี้ยิ่งง่ายเพราะมีการสรรหา พวกหัวหน้า NGOs จึงกลายเป็น “ชนชั้นประชุม” หรือดูงาน แตะโน่นแตะนี่ไปเรื่อย แต่ไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอัน บางคนทำงาน NGOs มานาน จนมีฐานะมั่งคั่ง มีอสังหาริมทรัพย์มาก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าแปลก


จะเห็นได้ว่า หากโปรเจคไหนมีนักวิชา NGOs หรือผู้รู้ทั้งหลายมาแตะเมื่อไหร่...เมื่อนั้นโครงการทั้งหลายแหล่ ไม่ถูกหยุด ก็ต้องถูกยกเลิกไปในที่สุด อย่างเช่น เขื่อนแม่วงก์ ชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ที่รู้เห็นเรื่องน้ำท่วม ฝนแล้งเป็นอย่างดี เขาต้องการจะเอาเขื่อนถึง 71%  แต่ในขณะที่คนเมืองที่อยู่กันสุขสบายอยู่ในเมือง ใช้น้ำประปา ใช้ไฟฟ้า นอนห้องแอร์ เดินห้างกันอย่างมีความสุขจากพลังงานการผลิตจากเขื่อนแทบทั้งสิ้น และคนกลุ่มนี้ ก็เป็นกลุ่มที่ออกมารณรงค์ต่อต้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์

ถ้าในทางกลับกัน ต่อไปคนกรุงเทพจะสร้างรถไฟฟ้า จะต้องถามคนต่างจังหวัดบ้างได้หรือไม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่