📲📱~มาลาริน~ข่าวแสลงใจแม้ว...สั่งจำคุก 6 ปี "สุธรรม มลิลา" อดีตบิ๊กทศท. ทุจริตเอื้อประโยชน์เอไอเอส


สั่งจำคุก 6 ปี "สุธรรม มลิลา" อดีตบิ๊กทศท. ทุจริตเอื้อประโยชน์เอไอเอส สั่งชดใช้ทีโอทีด้วย 4.6 หมื่นล้าน ได้ประกันตัว 8 แสน รอฎีกาสู้คดี


ต่อมาเมื่อมีการประชุมครั้งที่ 5/2544 ก็ลดส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ AIS หรืออัตราร้อยละ 20 โดยมีเงื่อนไขให้ ทีโอที ติดตามผลการให้บริการโทรศัพท์แบบใช้บัตร Prepaid Card เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การเก็บส่วนแบ่งรายได้ในโอกาสต่อไป แต่จำเลยก็ไม่ดำเนินการจนกรรมการ 7 คน พ้นจากหน้าที่เมื่อวันที่ 30 ก.ค.45 ซึ่งหลังจาก นายสุธรรม อดีต ผอ.ทีโอที จำเลย ลงนามในสัญญาลดส่วนแบ่งรายได้ครั้งที่ 6 ให้แก่ AIS แล้ว ในการประชุมครั้งที่ 8/2544 จำเลย กลับรายงานต่อที่ประชุมว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการทำร่างข้อตกลงต่อท้ายสัญญาครั้งที่ 6 ทั้งที่ความจริงจำเลยได้ลงนามในข้อตกลงครั้งที่ 6 ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.44 และมิได้กำหนดข้อตกลงให้มีการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การเรียกเก็บเงินส่วนแบ่งรายได้ในโอกาสต่อไป จึงแสดงให้เห็นเจตนาว่าจำเลยปกปิดข้อเท็จจริงไม่แจ้งให้ที่ประชุมทราบด้วยเจตนาจะให้ AIS ได้รับผลประโยชน์จากการลดส่วนแบ่ง ทั้งที่ตำแหน่งของจำเลย ขณะนั้นต้องรักษาผลประโยชน์ขององค์กร สมควรแจ้งข้อเท็จจริงที่เป็นผลประโยชน์ได้เสียขององค์กรให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณาด้วยความรอบคอบ เมื่อการกระทำจำเลยเป็นความผิดอันเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่ปรับบทมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก

ส่วน นายสุธรรม อดีต ผอ.ทีโอที จำเลย ต้องรับผิดค่าเสียหายให้ บ.ทีโอทีหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ฯ เห็นว่า แม้ ทีโอที จะไม่ได้อุทธรณ์ในส่วนคำขอแพ่งนี้ก็ตาม แต่การยื่นคำร้องขอชดใช้ค่าเสียหายนั้นก็เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 44/1 ซึ่งเมื่ออัยการ โจทก์ยื่นอุทธรณ์แล้วก็ถือว่าคำร้องดังกล่าวได้อุทธรณ์แล้วเช่นกัน และเมื่อข้อเท็จจริงส่วนอาญาฟังว่า นายสุธรรม อดีต ผอ.ทีโอที จำเลยใช้อำนาจในทางทุจริต ก็ต้องรับผิดชอบใช้เงินแก่ทีโอทีด้วย โดยศาลอุทธรณ์พิจารณาเรื่องการอนุมัติลดอัตราส่วนแบ่งรายได้แล้ว จำเลยไม่ได้พิจารณาแต่เพียงลำพัง ดังนั้นจึงสมควรให้จำเลยรับผิดเพียงครึ่งหนึ่ง เป็นเงิน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.59 ซึ่งเป็นวันที่ ทีโอที ยื่นคำร้อง

http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/797025

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2561 ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษา จำคุก 6 ปี “สุธรรม มลิลา” อดีต ผอ.ทศท. โทษฐานทุจริตประพฤติมิชอบ ไปเซ็นลดส่วนแบ่งรายได้มือถือแบบเติมเงิน “วันทูคอล” เอื้อประโยชน์ให้เอไอเอส ทำรัฐสูญรายได้ 6.6 หมื่นล้าน พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหาย 4.6 หมื่นล้านคืนแผ่นดิน

คำถามตัวโตๆ คือ ใครจะติดตามทวงคืนผลประโยชน์ของแผ่นดินที่เสียหายมหาศาลไปกลับคืนมา?

จะทวงคืนเอาจากใครบ้าง?


แล้วนักการเมือง รัฐบาลในขณะนั้น ช่วงที่ปล่อยให้ประเทศชาติสูญเสียประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ มันไม่อับอายไปชั่วลูกชั่วหลานดอกหรือ?

1. ก่อนที่นายทักษิณ ชินวัตร จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี บริษัทเอไอเอสทำสัญญาสัมปทานมือถือตกลงแบ่งรายได้จากการประกอบกิจการให้แก่ ทศท.ในอัตราก้าวหน้า

โดยระบุว่า จะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้รัฐ 25% ในช่วงปี 2543-2548

จะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 30% ในช่วงปี 2549-2553

และจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 35% ในช่วงปี 2553-2558

สะท้อนชัดว่า เม็ดเงินที่ ทศท.พึงได้รับในช่วงปีท้ายๆ ของสัญญาสัมปทานจะมีมหาศาล เพราะยอมได้รับในเปอร์เซ็นต์น้อยๆ ไปก่อนในช่วงปีแรกๆ ของสัญญาสัมปทาน

แต่หลังจากนายทักษิณเข้ามายึดครองอำนาจรัฐ (โดยอำพรางความเป็นเจ้าของหุ้นมือถือของตนไว้ในชื่อคนอื่น) ปรากฏว่า เอไอเอสมีหนังสือลงวันที่ 22 ม.ค. 2544 ถึง ผอ.ทศท. ขอให้พิจารณาปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid Card) อ้างความเป็นธรรมในการแข่งขันธุรกิจ

แล้วนายสุธรรม มลิลา ผอ.ทศท.ในขณะนั้นเอง ที่สนองตอบ

โดยไปแก้ไขเพิ่มเติมสัญญา กำหนดส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์มือถือแบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าในอัตราร้อยละ 20 คงที่ตลอดอายุสัญญา

2.พิจารณาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตฯ ที่ออกมานั้นมีความชัดเจน

ระบุถึงการแก้ไขสัญญาครั้งที่ 6 เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าแก่เอไอเอส โดยชี้ว่า จำเลยยอมแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ฉบับหลักลงวันที่ 27 มี.ค. 2533) ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2544 โดยได้ลงนามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาครั้งที่ 6 กับบริษัทเอไอเอสว่า ให้เอไอเอสแบ่งส่วนรายได้ใน “อัตราร้อยละ 20” ของมูลค่าหน้าบัตร ทำให้ ทศท. เสียหาย โดยการแก้ไขสัญญาในครั้งนั้น อัตราส่วนแบ่งรายได้แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าควรเป็นไปตามสัญญาหลัก

เห็นว่า การที่จำเลยลงนามเอื้อประโยชน์แก่เอไอเอส โดยอ้างว่าที่ประชุมไม่มีคำถาม จำเลยจึงไม่ต้องรายงานข้อเท็จจริง นอกจากเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่สมเหตุสมผลแล้ว โดยตำแหน่งที่จำเลยดำรงอยู่นั้น ต้องรักษาผลประโยชน์ขององค์กร สมควรแจ้งข้อเท็จจริงที่เป็นผลประโยชน์ได้เสียขององค์กรให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณาด้วยความรอบคอบ บ่งชี้ให้เห็นเจตนาของจำเลยในการลงนามสัญญาครั้งที่ 6 ถือว่าเป็นการใช้อำนาจตำแหน่งโดยทุจริต ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทศท. ได้รับส่วนแบ่งน้อยลง การกระทำที่มุ่งให้เอไอเอสได้ประโยชน์ เป็นการกระทำโดยทุจริตครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐาน ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) จำคุกจำเลย 9 ปี พยานหลักฐานที่จำเลยนำเข้าไต่สวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 6 ปี

เมื่อข้อเท็จจริงส่วนอาญาฟังว่าจำเลยใช้อำนาจในทางทุจริต จำเลยต้องรับผิดชอบใช้เงินแก่ ทีโอที โดยบริษัท ทีโอที ได้คำนวณค่าเสียหายที่ต้องขาดรายได้จากเงินส่วนแบ่งตลอดอายุสัญญาแต่ละช่วงเป็นต้นเงิน 66,060,686,735.94 บาท (66,060 ล้านบาทเศษ) พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยจำเลยไม่มีพยานหลักฐานใดนำมาไต่สวนเป็นอย่างอื่น แต่ข้อเท็จจริงแม้เชื่อได้ว่าบริษัททีโอที ได้รับความเสียหายตามจำนวนดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ตาม การพิจารณาอนุมัติลดอัตราส่วนแบ่งรายได้แก่เอไอเอสเป็นมติคณะกรรมการ จำเลยไม่ได้พิจารณาแต่เพียงลำพัง หากจำเลยต้องรับผิดเต็มจำนวนความเสียหายคงไม่เป็นธรรม จึงสมควรให้จำเลยรับผิดเพียงกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 46,855,463,990.92 บาท (46,855 ล้านบาทเศษ) พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี

คดีนี้ จำเลยยังยื่นฎีกาสู้คดีต่อ และได้ประกันตัวออกไปสู้คดี คดีจึงยังไม่ถึงที่สุด

3. น่าสนใจว่า หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องก็ดี จะขยับตัวได้หรือยัง?

ถ้ารอจนกว่าศาลฎีกาจะตัดสิน เชื่อว่า ทรัพย์สินทั้งหลายจะยังอยู่เหมือนเดิม ไม่ถูกยักย้ายถ่ายโอนไปไหนเลย ดอกหรือ?

ประการสำคัญ กรณีนี้ ปปง.สมควรจะต้องเข้ามาทำหน้าที่โดยด่วนที่สุด เพราะมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ทรัพย์สินที่ได้เกี่ยวข้องหรือได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐาน (ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ) ขณะนี้ ไหลไปอยู่ที่ใคร?

ส่วนแบ่งรายได้ที่ ทศท.สูญเสียไปนั้น คือ ทรัพย์สินที่ได้เกี่ยวข้องหรือได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐาน (ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ) หรือไม่?ควรติดตามว่าตกอยู่ที่ใคร? แล้วสามารถจะอายัดนำกลับคืนมาเป็นของแผ่นดิน ได้หรือไม่?

4. ด้านเอกชนคู่สัญญาเดิม ล่าสุด ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2560 บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ระบุถึงข้อพิพาทอันเกี่ยวเนื่องกับกรณีแก้สัญญาสัมปทานนี้ไว้ด้วย สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ ทศท. หรือทีโอที ได้ทวงถามเงินค่าส่วนแบ่งรายได้อีกทางหนึ่ง

เอไอเอสระบุว่า “กรณีการเรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มเติมจากการทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (“สัญญาอนุญาตฯ”) ครั้งที่ 6 และ 7

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 บริษัทได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 78/2558 ต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อมีคำชี้ขาดให้ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาอนุญาตฯ ครั้งที่ 6 ซึ่งกระทำขึ้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 และ ครั้งที่ 7 ซึ่งกระทำขึ้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 มีผลผูกพันบริษัทและบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (“ทีโอที”) ให้ต้องปฏิบัติตามจนกว่าสัญญาจะสิ้นสุด และบริษัทไม่มีหน้าที่ต้องชำระผลประโยชน์ตอบแทนตามที่ ทีโอที ได้มีหนังสือลงวันที่ 29 กันยายน 2558 เรื่อง ขอให้ชำระผลประโยชน์ตอบแทน แจ้งมายังบริษัทให้ชำระเงินเพิ่มจำนวน 72,036 ล้านบาท โดยกล่าวอ้างว่าการทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญา

ครั้งที่ 6 และ 7 เป็นการแก้ไขสัญญาในสาระสำคัญทำให้ ทีโอทีได้ผลประโยชน์ตอบแทนต่ำกว่าที่กำหนดในสัญญาหลัก ขณะนี้ ข้อพิพาทดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของอนุญาโตตุลาการ โดยฝ่ายบริหารของบริษัทเชื่อว่าข้อตกลงต่อท้ายสัญญาครั้งที่ 6 และ 7 มีผลผูกพันจนกระทั่งสิ้นสุดสัญญาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 เนื่องจากบริษัทได้ปฏิบัติถูกต้องตามข้อสัญญาที่เกี่ยวข้องทุกประการแล้ว...”

5. ช่างน่าสงสารแผ่นดินไทย

ผลประโยชน์มหาศาล 66,000 ล้านบาท รัฐต้องสูญเสียไปป่นปี้

ถึงวันนี้ นักการเมืองผู้ได้รับผลประโยชน์ยังลอยหน้าลอยตาเย้ยกฎหมายไทยต่อไป

สารส้ม

http://www.naewna.com/politic/columnist/34730


นักการเมืองปล่อยโกง...พัวพันกับการโกงแต่ละราย เป็นหมื่น เป็นแสนล้าน...ยึดทรัพย์คืนก็ไม่ค่อยได้

น่าหนักใจจริงๆนะคะ.....เซ็งเซ็งเซ็งเซ็งเซ็ง



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่