ภาพถ่ายร่วมกับน้อง ๆ ส่วนหนึ่งในค่าย
สวัสดีครับก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบจัดค่ายเยาวชนมาก ๆ จัดมาหลายค่าย และก็มีกลุ่มของตนเองที่จัดกิจกรรมค่ายการเรียนรู้ให้กับเด็ก ๆ อายุ 9 – 14 ปีแบบไม่แสวงหาผลกำไรอยู่แล้ว ที่นี้พอจัดไปจัดมาจัดบ่อย ๆ ก็เริ่มมีความคิดอยากลองไปดูที่ต่างประเทศบ้าง ว่าเขาจัดค่ายเยาวชนกันอย่างไร ผมเลยเริ่มเสาะหาข้อมูลและโอกาสที่จะได้ลองเอาตัวเองเข้าไปร่วมจัดค่ายเยาวชนที่ต่างประเทศดูบ้าง จนไปพบโครงการอาสาสมัครในต่างแดนของสมาคมอาสาสมัครนานาชาติเพื่อการพัฒนาสังคม (ดาหลา) พบว่ามีโครงการหนึ่งเป็นโครงการค่าย Language for Success ที่จัดโดย Chuvash republican youth public organization เป็นค่ายสำหรับเด็ก ๆ อายุ 7 – 17 ปี ชาวรัสเซีย ได้มาเข้าค่ายเพื่อพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ เป็นเวลา 7 วัน (4 – 10 ม.ค. 61) ที่เปิดรับสมัครอาสาสมัครต่างชาติเข้าไปช่วยสอนภาษาอังกฤษ และ ภาษาที่สองเพิ่มเติมในค่าย รวมถึงทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันในค่ายนี้ด้วย ตัวผมเองคิดว่าเราก็ทำงานด้านค่ายมาเยอะ ภาษาอังกฤษคิดว่าก็น่าจะพอได้ เพราะรัสเซียเขาไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรก ก็คิดว่าเราน่าจะทำได้ (ผมมีคะแนน IELTS 5.5 กับ TOEIC 875 ให้ไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงนะครับ) จึงส่งประวัติตัวเองเข้าไป ผลก็คือผมได้ไป (แน่นอนไม่งั้นคงไม่ได้มาเขียน บทความนี้) โอเคเยี่ยมไปเลย จะได้ลองไปดูโลกกว้างบ้างแล้วว่าเมืองนอกเขาจัดค่ายอย่างไรกัน งั้นเรามาเตรียมตัวกันเลย
ป้ายยินดีต้อนรับ (ภาษาไทย) ที่ผมทำ คู่กับป้ายยินดีต้อนรับ (ภาษาเวียดนาม)
ก่อนที่จะไปมีสิ่งที่ต้องเตรียมตัวหลายอย่าง อย่างแรกต้องขอเอกสารใบรับรองความประพฤติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำ แต่ก็ดีครับได้ลองทำดู มีค่าใช้จ่ายในการทำเอกสาร 100 บาท แต่สิ่งที่น่าตกใจเล็กน้อยคือต้องใช้เวลานานถึง 7 อาทิตย์ กว่าจะได้เอกสาร ฉะนั้นผมแนะนำว่าใครก็ตามที่ต้องใช้เอกสารนี้ควรรีบไปทำล่วงหน้าอย่างน้อยสองเดือนเลยครับ อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าถ้ารีบและไม่มีญาติเป็นตำรวจ สามารถชำระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก 1,500 บาทได้ จะเร็วขึ้นครับ แต่ผมไม่ได้ใช้วิธีนี้เพราะผมไม่รีบ จากนั้นก็จองตั๋วการเดินทางทั้งเครื่องบินไปลง Moscow และตั๋วรถไฟจาก Moscow ไปยังเมือง Cheboksary (ห่างจาก Moscow ไปทางตะวันออก 651 กิโลเมตร) เมืองที่เป็นสถานที่จัดค่าย ซึ่งพูดเลยว่าถ้าไม่ได้มาจัดค่ายที่นี้ ก็คงไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเมืองนี้แน่นอน เพราะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวของรัสเซียเลย
แผนที่แสดงตำแหน่งของเมือง Cheboksary
แลกเงินให้เรียบร้อย (รัสเซียใช้เงินรูเบิ้ล สามารถแลกจากกรุงเทพฯได้เลย) เตรียมเสื้อกันหนาวให้พร้อม เพราะช่วงที่ไปเป็นช่วงหนาวสุด ๆ ของรัสเซียพอดี และที่สำคัญสุดคือผมต้องเตรียมกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับ Class ภาษาอังกฤษ และ Class ภาษาไทย ที่ผมต้องรับผิดชอบทุกวัน Class ละ 45 นาที จำนวนวิชาละ 6 ครั้ง อันนี้ก็สนุกดีครับ และนำเสนอโฆษณาประเทศไทยอีก 45 นาที ซึ่งทั้งหมดผมออกแบบให้เป็นเกมส์ทั้งหมด ตามความถนัดของผมที่ชอบทำเวลาจัดค่ายของตนเอง สื่อการสอนทั้งหมดต้องเตรียมจากกรุงเทพฯไป เพราะได้รับการแจ้งจากรัสเซียมาว่าที่นู้นอินเตอร์เน็ตแย่มาก จนให้คิดว่าไม่มีไว้ก่อน และอุปกรณ์แปลก ๆ ที่ไม่ใช่เครื่องเขียนทั่วไปอาจจะหาลำบาก ระหว่างเตรียมตัวนี้ก็สามารถอีเมล์คุยกับทีมจัดค่ายที่รัสเซียตลอด อัพเดทปรึกษาข้อมูลกันได้ตลอดครับ จนในที่สุดก็ถึงวันเดินทางจริง ๆ
ภาพตอนผม Present ประเทศไทยครับ งานชุดต้องมา
ผมเดินทางจากสุวรรณภูมิเช้าวันที่ 2 ม.ค. ออกจากบ้าน 8.00 น. บินสายการบิน Uzbekistan Airways เพราะขากลับตั้งใจแวะเที่ยว Uzbekistan ด้วย บินไปลง Tashkent แล้วต่อเครื่องไปลง Moscow ต่อรถไฟใต้ดินไปสถานีรถไฟระหว่างเมืองเพื่อไปต่อรถไฟไปเมือง Cheboksary อีกที พอถึง Cheboksary ก็มีทีมงานมารับนั่งรถประจำทางไปออฟฟิตเขาเพื่อเจอทีมงานทั้งหมด และนั่งรถตู้ออกนอกเมืองไปยังสถานที่จัดค่ายที่มีชื่อว่า Healthy Resort “Lesnaya skazka” เป็นอันถึงที่หมาย
ทิวทัศน์ระหว่างนั่งรถไฟไป Cheboksary ขาวโพลนไปหมด รูปนี้ถ่ายผ่านกระจกรถไฟที่ไม่ใส ภาพเลยขรุขระนิดหน่อยนะครับ
ใช้เวลารวมการเดินทางทั้งหมด 37 ชั่วโมงครับ เป็นการเดินทางต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดเท่าที่ผมเคยเดินทางมา แต่ก็ดีเพราะระหว่างการเดินทางทำให้ผมมีเวลาคิดกิจกรรมค่าย Math Detective Camp ของผมที่กำลังจะจัดที่กรุงเทพฯ ได้เสร็จสมบูรณ์ เมื่อมาถึงค่ายจึงได้พบว่าค่ายนี้ดำเนินการด้วยทีมงาน 9 คนเท่านั้น และ 3 ใน 9 คนนี้เป็นอาสาสมัครมาจากต่างประเทศ (1 ใน 3 คนนี้คือผม อีกสองคนเป็นชาว Slovakia กับ Vietnam) และมีน้อง ๆ ค่ายประมาณ 30 คนครับ (ที่ต้องใช้คำว่าประมาณเพราะบางคนมาแล้วกลับก่อน บางมาที่หลังเริ่มต้นค่ายไปแล้ว)
ภาพถ่ายร่วมกับอาสาสมัครต่างชาติอีกสองคน Mun ชาวเวียดนาม และ Lucia ชาวสโลวาเกีย
พูดถึงกิจกรรมในค่ายก่อน ตารางค่ายโดยทั่วไปจะเป็นแบบนี้ครับ

จะสังเกตได้ว่าเค้าไม่ได้ตื่นนอนกันเร็วเหมือนค่ายในไทย (ที่มักตื่นกันตั้งแต่ 6 – 7 โมงเช้า) และมีช่วงพักนอนกลางวันตอนเวลา 13.30 น. อีก 1 ชั่วโมงครึ่งให้ด้วยทุกวัน โดยช่วงพักนอนกลางวันนี้คือน้อง ๆ ต้องอยู่ในห้องตัวเองเท่านั้นนะครับ ส่วนจะนอนหรือไม่นอนอันนั้นทีมงานไม่ยุ่งครับ และแม้ว่าจะใช้ชื่อค่ายว่า Language for success แต่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาษามีเพียงแค่ประมาณวันละ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นครับ ที่เหลือที่ผมระบายสีเหลืองอ่อน ๆ ทับไว้จะเป็นกิจกรรมเสริมสร้างทักษะทั่ว ๆ ไปตามแต่ที่ได้วางแผนกันไว้ แต่ละวันจะไม่เหมือนกันครับ เวลา 9.45 น. ของทุกวันน้อง ๆ ทุกคนจะต้องเก็บห้องให้เรียบร้อยเพราะพี่ ๆ จะเข้าไปตรวจและให้คะแนนแต่ละห้อง และทุก ๆ คืนจะมีพิธีเทียนที่ร้องเพลงให้น้อง ๆ รู้จักความรักความผูกพันที่มีให้แก่กัน เปิดใจว่าใครชอบอะไรบ้างในวันนี้ และก็จบด้วยบทเพลงอบอุ่น ๆ ทุก ๆ คืนครับ
กิจกรรมในค่ายบางกิจกรรมก็มีความคล้ายที่ผมจัดในเมืองไทย อาทิเช่นมีการเล่น Buddy ที่เราต้องคอยดูแลคนอีกคนในค่ายโดยที่เขาห้ามรู้ว่าเราดูแลเขา อารมณ์แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ ที่นี้เขาใช้คำที่ตรงตัวกว่าว่ากิจกรรม Secret Friend
Secret Friend ของผมส่งขนมมาให้แต่เช้าเลยครับ
แต่ก็มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนในไทย อาทิเช่นที่นี้เขาไม่มีสันทนาการแบบที่ตีกลองตุ้ง ๆ แล้วเชิญสมาชิกมาเต้น ๆ ท่าแปลก ๆ ประหลาด ๆ ครับ เค้าจะเน้นทำกิจกรรมไปเลย ไม่ได้มีสันทนาการตลกตกเก้าอี้อะไรกัน ส่วนเรื่องเต้น ถ้าจะเต้นเค้าก็จะเปิดเพลงสตริง หรือ EDM เต้นกันจริง ๆ จัง ๆ ไปเลยครับ
จริง ๆ ในค่ายมีกิจกรรมเล็ก ๆ อีกกิจกรรมหนึ่งที่น่ารักก่อนนอนทุก ๆ คืนหนึ่งกิจกรรม คือทุก ๆ จะยืนจับมือกันแล้วหลับตา จะมีหนึ่งคนเริ่มบีบมือคนข้าง ๆ พร้อมทั้งจับเวลาแล้วแต่ละคนจะค่อย ๆ บีบมือต่อ ๆ กันไปจนวนกลับมาที่คนเดิมจะเป็นการหยุดเวลา ทำทุก ๆ วัน แล้วทุก ๆ คนจะพบว่าเวลาที่ใช้ในการวนหนึ่งรอบนั้นค่อย ๆ ลดลง แสดงว่าความสัมพันธ์ของสมาชิกในค่ายนั้นค่อย ๆ ใกล้กันมากยิ่งขึ้นในทุก ๆ วันครับ
ทำกิจกรรมร่วมกับน้อง ๆ
พูดถึงทีมงาน 9 คนในค่ายกันบ้าง ต้องบอกว่าทีมงานส่วนใหญ่อายุไม่เกิน 25 ปีกันทั้งนั้นเลย แต่ทุก ๆ คนก็เต็มที่กับงานมาก และรู้หน้าที่ของตนเองดี แรก ๆ ผมไปถึงจะมีความกังวลเล็ก ๆ ว่าจะเข้ากับเพื่อน ๆ ได้ไหม และแม้ว่าผมจะใช้ยิ้มสยามเข้าช่วยแล้ว แต่ก็ดูเหมือนทุก ๆ คนจะยังไม่ค่อยคุยกับผมอยู่ดี คนที่มาคุยกับผมกลับกลายเป็นน้อง ๆ เสียมากกว่า แต่พออยู่ด้วยกันสักพัก ผมก็เข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่เขาชวน ทำทุกอย่างที่เขาขอ จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับเขามากขึ้น ก็เลยพบความจริงว่าจริง ๆ ทุก ๆ คน มนุษยสัมพันธ์ดีมาก ๆ น่ารักมาก ๆ แต่ที่เขาไม่ค่อยกล้ามาพูดกับผม เพราะเขาไม่ค่อยมั่นใจภาษาอังกฤษของตนเอง คืออารมณ์คล้าย ๆ คนไทยที่หลาย ๆ คนกลัวพูดผิดเลยไม่ค่อยกล้าพูดกับคนต่างชาติครับ (คนรัสเซียที่ผมเจอทุกคนหน้าดุมาก แต่พอคุยด้วยจริง ๆ แล้วน่ารักทุก ๆ คนเลยครับ)
ถ่ายร่วมกับน้อง ๆ และกระดานสอนภาษาไทยของผม
มีหน้าที่หนึ่งในค่ายนี้ ที่ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนในไทย แต่เป็นความคิดที่น่าสนใจก็คือค่ายนี้จะมีตำแหน่งที่เขาใช้คำว่า on duty โดยตำแหน่งนี้จะมีหน้าที่ประสานให้กิจกรรมทุกกิจกรรมในทุกช่วงสามารถดำเนินไหลลื่น เช่น ต้องตื่นเช้ามาปลุกคนอื่น ๆ นับจำนวนน้องว่าครบไหม นำน้อง ๆ ไปรับประทานอาหารกลางวัน น่าจะคล้าย ๆ ตำแหน่ง Timer หรือ Camp Leader ที่คนไทยชอบเรียก แต่คนนี้จะมีส่วนทุกอย่างไม่ใช่แค่จับเวลาอย่างเดียว ซึ่งในเมืองไทยมักจะเป็นคนหนึ่งคนทำหน้าที่นี้ทั้งค่าย แต่ค่ายนี้เขาผลัดกันวันละสองคนครับ (ชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน) ผมก็ต้อง on duty หนึ่งวันเช่นกันครับ
กิจกรรมนันทนาการในค่าย
ข้อความเต็มแล้วครับ ต้องขอมาต่อในความเห็นถัดไปนะครับ
แบ่งปันประสบการณ์การจัดค่ายเยาวชนให้เด็ก ๆ ชาวรัสเซีย
ภาพถ่ายร่วมกับน้อง ๆ ส่วนหนึ่งในค่าย
สวัสดีครับก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบจัดค่ายเยาวชนมาก ๆ จัดมาหลายค่าย และก็มีกลุ่มของตนเองที่จัดกิจกรรมค่ายการเรียนรู้ให้กับเด็ก ๆ อายุ 9 – 14 ปีแบบไม่แสวงหาผลกำไรอยู่แล้ว ที่นี้พอจัดไปจัดมาจัดบ่อย ๆ ก็เริ่มมีความคิดอยากลองไปดูที่ต่างประเทศบ้าง ว่าเขาจัดค่ายเยาวชนกันอย่างไร ผมเลยเริ่มเสาะหาข้อมูลและโอกาสที่จะได้ลองเอาตัวเองเข้าไปร่วมจัดค่ายเยาวชนที่ต่างประเทศดูบ้าง จนไปพบโครงการอาสาสมัครในต่างแดนของสมาคมอาสาสมัครนานาชาติเพื่อการพัฒนาสังคม (ดาหลา) พบว่ามีโครงการหนึ่งเป็นโครงการค่าย Language for Success ที่จัดโดย Chuvash republican youth public organization เป็นค่ายสำหรับเด็ก ๆ อายุ 7 – 17 ปี ชาวรัสเซีย ได้มาเข้าค่ายเพื่อพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ เป็นเวลา 7 วัน (4 – 10 ม.ค. 61) ที่เปิดรับสมัครอาสาสมัครต่างชาติเข้าไปช่วยสอนภาษาอังกฤษ และ ภาษาที่สองเพิ่มเติมในค่าย รวมถึงทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันในค่ายนี้ด้วย ตัวผมเองคิดว่าเราก็ทำงานด้านค่ายมาเยอะ ภาษาอังกฤษคิดว่าก็น่าจะพอได้ เพราะรัสเซียเขาไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรก ก็คิดว่าเราน่าจะทำได้ (ผมมีคะแนน IELTS 5.5 กับ TOEIC 875 ให้ไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงนะครับ) จึงส่งประวัติตัวเองเข้าไป ผลก็คือผมได้ไป (แน่นอนไม่งั้นคงไม่ได้มาเขียน บทความนี้) โอเคเยี่ยมไปเลย จะได้ลองไปดูโลกกว้างบ้างแล้วว่าเมืองนอกเขาจัดค่ายอย่างไรกัน งั้นเรามาเตรียมตัวกันเลย
ป้ายยินดีต้อนรับ (ภาษาไทย) ที่ผมทำ คู่กับป้ายยินดีต้อนรับ (ภาษาเวียดนาม)
ก่อนที่จะไปมีสิ่งที่ต้องเตรียมตัวหลายอย่าง อย่างแรกต้องขอเอกสารใบรับรองความประพฤติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำ แต่ก็ดีครับได้ลองทำดู มีค่าใช้จ่ายในการทำเอกสาร 100 บาท แต่สิ่งที่น่าตกใจเล็กน้อยคือต้องใช้เวลานานถึง 7 อาทิตย์ กว่าจะได้เอกสาร ฉะนั้นผมแนะนำว่าใครก็ตามที่ต้องใช้เอกสารนี้ควรรีบไปทำล่วงหน้าอย่างน้อยสองเดือนเลยครับ อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าถ้ารีบและไม่มีญาติเป็นตำรวจ สามารถชำระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก 1,500 บาทได้ จะเร็วขึ้นครับ แต่ผมไม่ได้ใช้วิธีนี้เพราะผมไม่รีบ จากนั้นก็จองตั๋วการเดินทางทั้งเครื่องบินไปลง Moscow และตั๋วรถไฟจาก Moscow ไปยังเมือง Cheboksary (ห่างจาก Moscow ไปทางตะวันออก 651 กิโลเมตร) เมืองที่เป็นสถานที่จัดค่าย ซึ่งพูดเลยว่าถ้าไม่ได้มาจัดค่ายที่นี้ ก็คงไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเมืองนี้แน่นอน เพราะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวของรัสเซียเลย
แผนที่แสดงตำแหน่งของเมือง Cheboksary
แลกเงินให้เรียบร้อย (รัสเซียใช้เงินรูเบิ้ล สามารถแลกจากกรุงเทพฯได้เลย) เตรียมเสื้อกันหนาวให้พร้อม เพราะช่วงที่ไปเป็นช่วงหนาวสุด ๆ ของรัสเซียพอดี และที่สำคัญสุดคือผมต้องเตรียมกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับ Class ภาษาอังกฤษ และ Class ภาษาไทย ที่ผมต้องรับผิดชอบทุกวัน Class ละ 45 นาที จำนวนวิชาละ 6 ครั้ง อันนี้ก็สนุกดีครับ และนำเสนอโฆษณาประเทศไทยอีก 45 นาที ซึ่งทั้งหมดผมออกแบบให้เป็นเกมส์ทั้งหมด ตามความถนัดของผมที่ชอบทำเวลาจัดค่ายของตนเอง สื่อการสอนทั้งหมดต้องเตรียมจากกรุงเทพฯไป เพราะได้รับการแจ้งจากรัสเซียมาว่าที่นู้นอินเตอร์เน็ตแย่มาก จนให้คิดว่าไม่มีไว้ก่อน และอุปกรณ์แปลก ๆ ที่ไม่ใช่เครื่องเขียนทั่วไปอาจจะหาลำบาก ระหว่างเตรียมตัวนี้ก็สามารถอีเมล์คุยกับทีมจัดค่ายที่รัสเซียตลอด อัพเดทปรึกษาข้อมูลกันได้ตลอดครับ จนในที่สุดก็ถึงวันเดินทางจริง ๆ
ภาพตอนผม Present ประเทศไทยครับ งานชุดต้องมา
ผมเดินทางจากสุวรรณภูมิเช้าวันที่ 2 ม.ค. ออกจากบ้าน 8.00 น. บินสายการบิน Uzbekistan Airways เพราะขากลับตั้งใจแวะเที่ยว Uzbekistan ด้วย บินไปลง Tashkent แล้วต่อเครื่องไปลง Moscow ต่อรถไฟใต้ดินไปสถานีรถไฟระหว่างเมืองเพื่อไปต่อรถไฟไปเมือง Cheboksary อีกที พอถึง Cheboksary ก็มีทีมงานมารับนั่งรถประจำทางไปออฟฟิตเขาเพื่อเจอทีมงานทั้งหมด และนั่งรถตู้ออกนอกเมืองไปยังสถานที่จัดค่ายที่มีชื่อว่า Healthy Resort “Lesnaya skazka” เป็นอันถึงที่หมาย
ทิวทัศน์ระหว่างนั่งรถไฟไป Cheboksary ขาวโพลนไปหมด รูปนี้ถ่ายผ่านกระจกรถไฟที่ไม่ใส ภาพเลยขรุขระนิดหน่อยนะครับ
ใช้เวลารวมการเดินทางทั้งหมด 37 ชั่วโมงครับ เป็นการเดินทางต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดเท่าที่ผมเคยเดินทางมา แต่ก็ดีเพราะระหว่างการเดินทางทำให้ผมมีเวลาคิดกิจกรรมค่าย Math Detective Camp ของผมที่กำลังจะจัดที่กรุงเทพฯ ได้เสร็จสมบูรณ์ เมื่อมาถึงค่ายจึงได้พบว่าค่ายนี้ดำเนินการด้วยทีมงาน 9 คนเท่านั้น และ 3 ใน 9 คนนี้เป็นอาสาสมัครมาจากต่างประเทศ (1 ใน 3 คนนี้คือผม อีกสองคนเป็นชาว Slovakia กับ Vietnam) และมีน้อง ๆ ค่ายประมาณ 30 คนครับ (ที่ต้องใช้คำว่าประมาณเพราะบางคนมาแล้วกลับก่อน บางมาที่หลังเริ่มต้นค่ายไปแล้ว)
ภาพถ่ายร่วมกับอาสาสมัครต่างชาติอีกสองคน Mun ชาวเวียดนาม และ Lucia ชาวสโลวาเกีย
พูดถึงกิจกรรมในค่ายก่อน ตารางค่ายโดยทั่วไปจะเป็นแบบนี้ครับ
จะสังเกตได้ว่าเค้าไม่ได้ตื่นนอนกันเร็วเหมือนค่ายในไทย (ที่มักตื่นกันตั้งแต่ 6 – 7 โมงเช้า) และมีช่วงพักนอนกลางวันตอนเวลา 13.30 น. อีก 1 ชั่วโมงครึ่งให้ด้วยทุกวัน โดยช่วงพักนอนกลางวันนี้คือน้อง ๆ ต้องอยู่ในห้องตัวเองเท่านั้นนะครับ ส่วนจะนอนหรือไม่นอนอันนั้นทีมงานไม่ยุ่งครับ และแม้ว่าจะใช้ชื่อค่ายว่า Language for success แต่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาษามีเพียงแค่ประมาณวันละ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นครับ ที่เหลือที่ผมระบายสีเหลืองอ่อน ๆ ทับไว้จะเป็นกิจกรรมเสริมสร้างทักษะทั่ว ๆ ไปตามแต่ที่ได้วางแผนกันไว้ แต่ละวันจะไม่เหมือนกันครับ เวลา 9.45 น. ของทุกวันน้อง ๆ ทุกคนจะต้องเก็บห้องให้เรียบร้อยเพราะพี่ ๆ จะเข้าไปตรวจและให้คะแนนแต่ละห้อง และทุก ๆ คืนจะมีพิธีเทียนที่ร้องเพลงให้น้อง ๆ รู้จักความรักความผูกพันที่มีให้แก่กัน เปิดใจว่าใครชอบอะไรบ้างในวันนี้ และก็จบด้วยบทเพลงอบอุ่น ๆ ทุก ๆ คืนครับ
กิจกรรมในค่ายบางกิจกรรมก็มีความคล้ายที่ผมจัดในเมืองไทย อาทิเช่นมีการเล่น Buddy ที่เราต้องคอยดูแลคนอีกคนในค่ายโดยที่เขาห้ามรู้ว่าเราดูแลเขา อารมณ์แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ ที่นี้เขาใช้คำที่ตรงตัวกว่าว่ากิจกรรม Secret Friend
Secret Friend ของผมส่งขนมมาให้แต่เช้าเลยครับ
แต่ก็มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนในไทย อาทิเช่นที่นี้เขาไม่มีสันทนาการแบบที่ตีกลองตุ้ง ๆ แล้วเชิญสมาชิกมาเต้น ๆ ท่าแปลก ๆ ประหลาด ๆ ครับ เค้าจะเน้นทำกิจกรรมไปเลย ไม่ได้มีสันทนาการตลกตกเก้าอี้อะไรกัน ส่วนเรื่องเต้น ถ้าจะเต้นเค้าก็จะเปิดเพลงสตริง หรือ EDM เต้นกันจริง ๆ จัง ๆ ไปเลยครับ
จริง ๆ ในค่ายมีกิจกรรมเล็ก ๆ อีกกิจกรรมหนึ่งที่น่ารักก่อนนอนทุก ๆ คืนหนึ่งกิจกรรม คือทุก ๆ จะยืนจับมือกันแล้วหลับตา จะมีหนึ่งคนเริ่มบีบมือคนข้าง ๆ พร้อมทั้งจับเวลาแล้วแต่ละคนจะค่อย ๆ บีบมือต่อ ๆ กันไปจนวนกลับมาที่คนเดิมจะเป็นการหยุดเวลา ทำทุก ๆ วัน แล้วทุก ๆ คนจะพบว่าเวลาที่ใช้ในการวนหนึ่งรอบนั้นค่อย ๆ ลดลง แสดงว่าความสัมพันธ์ของสมาชิกในค่ายนั้นค่อย ๆ ใกล้กันมากยิ่งขึ้นในทุก ๆ วันครับ
ทำกิจกรรมร่วมกับน้อง ๆ
พูดถึงทีมงาน 9 คนในค่ายกันบ้าง ต้องบอกว่าทีมงานส่วนใหญ่อายุไม่เกิน 25 ปีกันทั้งนั้นเลย แต่ทุก ๆ คนก็เต็มที่กับงานมาก และรู้หน้าที่ของตนเองดี แรก ๆ ผมไปถึงจะมีความกังวลเล็ก ๆ ว่าจะเข้ากับเพื่อน ๆ ได้ไหม และแม้ว่าผมจะใช้ยิ้มสยามเข้าช่วยแล้ว แต่ก็ดูเหมือนทุก ๆ คนจะยังไม่ค่อยคุยกับผมอยู่ดี คนที่มาคุยกับผมกลับกลายเป็นน้อง ๆ เสียมากกว่า แต่พออยู่ด้วยกันสักพัก ผมก็เข้าร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่เขาชวน ทำทุกอย่างที่เขาขอ จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับเขามากขึ้น ก็เลยพบความจริงว่าจริง ๆ ทุก ๆ คน มนุษยสัมพันธ์ดีมาก ๆ น่ารักมาก ๆ แต่ที่เขาไม่ค่อยกล้ามาพูดกับผม เพราะเขาไม่ค่อยมั่นใจภาษาอังกฤษของตนเอง คืออารมณ์คล้าย ๆ คนไทยที่หลาย ๆ คนกลัวพูดผิดเลยไม่ค่อยกล้าพูดกับคนต่างชาติครับ (คนรัสเซียที่ผมเจอทุกคนหน้าดุมาก แต่พอคุยด้วยจริง ๆ แล้วน่ารักทุก ๆ คนเลยครับ)
ถ่ายร่วมกับน้อง ๆ และกระดานสอนภาษาไทยของผม
มีหน้าที่หนึ่งในค่ายนี้ ที่ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนในไทย แต่เป็นความคิดที่น่าสนใจก็คือค่ายนี้จะมีตำแหน่งที่เขาใช้คำว่า on duty โดยตำแหน่งนี้จะมีหน้าที่ประสานให้กิจกรรมทุกกิจกรรมในทุกช่วงสามารถดำเนินไหลลื่น เช่น ต้องตื่นเช้ามาปลุกคนอื่น ๆ นับจำนวนน้องว่าครบไหม นำน้อง ๆ ไปรับประทานอาหารกลางวัน น่าจะคล้าย ๆ ตำแหน่ง Timer หรือ Camp Leader ที่คนไทยชอบเรียก แต่คนนี้จะมีส่วนทุกอย่างไม่ใช่แค่จับเวลาอย่างเดียว ซึ่งในเมืองไทยมักจะเป็นคนหนึ่งคนทำหน้าที่นี้ทั้งค่าย แต่ค่ายนี้เขาผลัดกันวันละสองคนครับ (ชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน) ผมก็ต้อง on duty หนึ่งวันเช่นกันครับ
กิจกรรมนันทนาการในค่าย
ข้อความเต็มแล้วครับ ต้องขอมาต่อในความเห็นถัดไปนะครับ