' ลูกผมผีเข้า '

‘บ้าน’ ที่ที่ควรจะเป็นสถานที่แห่งความสุขที่ที่ควรจะมีแต่ความอุ่นใจ ที่ที่ทุกคนจะกลับมาพักผ่อนได้ในทุกเวลาที่ต้องการ
          การจะสร้างบ้านสักหลังเป็นเรื่องยากมากในสมัยนี้ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของเงินทองและเรื่องความสอดคล้องกับวิถีชีวิตของใครหลายๆคน
          หลายต่อหลายคนพยายามค้นหาหนทางทุกอย่างเท่าที่พอจะทำได้เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดี และอย่างหนึ่งที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตของคนไทยมาอย่างยาวนานก็คือ การตั้งศาลพระภูมิ
           เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ผมได้เข้ามารู้จักกันโดยบังเอิญ ผ่านการแนะนำของคนรอบๆตัวเหมือนอย่างในทุกๆที แต่ครั้งนี้ดูจะมีความแตกต่างของเรื่องราวพอสมควรเมื่อเทียบกับที่ผ่านๆมา
          เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแล้วแต่เป็น ‘ความเชื่อส่วนบุคคล’ นั่นหมายถึงคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่อย่างไรเสียผมก็ขอออกตัวไว้ก่อนสักเล็กน้อยว่า
‘ผมไม่ได้มีเจตนาในการมอมเมาหรือหลอกลวงใดๆทั้งๆสิ้น’
          หากเรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าให้ทุกท่านได้ฟังนั้น ไม่เข้าที หรือไม่ถูกจริต ก็ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
.....................................................................................................................................................................
          ช่วงค่ำๆของวันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังนั่งเขียนหนังสือเหมือนอย่างในทุกๆวัน โทรศัพท์ของผมก็มีข้อความแจ้งเตือนจากไลน์เข้ามาสองสามข้อความ
‘พี่แนะนำคนคนนึงให้โทรไปหานะ ฝากด้วย’
          ข้อความสั้นๆแต่มักจะนำพาเรื่องราวเข้ามาหาผมอยู่เสมอๆ เวลาผ่านไปสักครู่เดียวโทรศัพท์ของผมก็สั่น คนที่ว่าคงจะโทรมาแล้ว
    ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย แต่แปลก มันไม่หยุดสั่น และเมื่อหันกลับมาดู ผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง มันยังอยู่ในหน้าจอปกติ ไม่ได้มีสายเรียกเข้า
          โทรศัพท์สั่นอยู่ในมือผมอีกสี่ห้าครั้งก็เงียบไป แล้วยังไม่ทันจะได้วางโทรศัพท์ลงที่เดิม ก็มีสายเรียกเข้ามาทันที
‘สวัสดีค่ะ น้อง.... ใช่ไหมคะ เมื่อกี้โทรไปแล้วบอกไม่มีหมายเลข ตกใจหมดเลย’
          ผมรับสายแล้วคุยต่อได้สักพักหนึ่งหลอดไฟในห้องเริ่มกระพริบทั้งๆที่ผมเพิ่งจะเปลี่ยนมันได้ไม่นานนี้เอง แต่ก็ยังไม่น่าสนใจเท่าเรื่องหลังจากนั้น
          หลังจากคุยทางโทรศัพท์แล้วก็ไม่ได้ใจความอะไรมากมายนัก ทาง ‘พี่นก’ จึงขอให้ผมออกมาพบในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันหยุดพอดี
          วันรุ่งขึ้นพี่เขาอาสามารับผมถึงที่พักเพื่อไปหาที่นั่งคุยกันเงียบๆด้วยปัญหาที่ว่าผมไม่ใช่คนแถวนี้ จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยคล่อง
          สุดท้ายเรามานั่งคุยกันในร้ายอาหารเงียบๆแถบชานเมือง เงียบมากจริงๆ แทบไม่มีคนเข้ามากินอาหารเลย แต่อาหารอร่อยมาก จึงเป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงไม่มีคนเข้ามาเลย
          ครอบครัวของพี่นกมีกันอยู่ 3 คน พี่นก พี่บอย(สามี) และลูกชายอายุใกล้ๆสองขวบชื่อ น้องต้อม
          พี่ๆเสียเวลากับการแนะนำอาหารให้ผมทานอยู่นานก็ยังไม่ยอมเข้าเรื่อง เหมือนลังเลใจ แต่ผมก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไร รอจนกว่าเขาจะอยากพูดออกมาเอง
‘พี่คิดว่าลูกชายพี่ ผีเข้า’
          คนเป็นแม่กระชับลูกน้อยเข้ามาในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นปล่อยให้คนเป็นพ่อเป็นผู้เล่าเรื่องแทน หลังจากนี้ผมจะสรุปความจากสิ่งที่ผมได้ฟังมาทั้งหมดให้ได้อ่านกัน
          เรื่องมันเริ่มมาจากช่วงที่สร้างบ้านหลังนี้เสร็จ พี่บอยกับพี่นกเข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่วันแรกๆที่บ้านเสร็จพร้อมอยู่ตามประสาความตื่นเต้นของคนวัยสามสิบกว่าๆที่เริ่มสร้างครอบครัว
          ในตอนนั้นน้องต้อมยังอยู่ในท้องอายุครรภ์น่าจะประมาณ 4-5 เดือน พี่บอยบอกอย่างนั้น
          ถ้ากลับมานั่งทบทวนเอาจริงๆแล้ว เรื่องราวแปลกๆนั้นน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรกของการย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้
          ในช่วงเย็นพี่บอยจะพาพี่นกออกมาเดินเล่นที่หน้าบ้านเพราะในหมู่บ้านมีสวนเล็กๆอยู่ไม่ไกลด้วยความเป็นห่วงภรรยาอยากจะให้แข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูก
          กว่าจะกลับเข้ามาที่บ้านก็ช่วงเย็นๆ พี่บอยเป็นคนทำกับข้าวอยู่เป็นประจำจึงปล่อยๆให้พี่นกนั่งเล่นที่หน้าบ้านกับหมาที่เลี้ยงไว้หนึ่งตัว
          ชีวิตวนเวียนอยู่อย่างนี้ในทุกๆวันหยุดเพราะวันธรรมดาต่างคนต่างก็ไปทำงานกัน แล้วเสาร์อาทิตย์หนึ่งก็เกิดเรื่องขึ้น
          ในช่วงที่พี่นกนั่งเล่นกับหมาอยู่ที่หน้าบ้านเหมือนปกติ พี่นกก็ได้ยินเสียงเรียกดังมาจากหน้าประตูบ้าน เป็นเสียงของหญิงแก่คนหนึ่งที่น้ำเสียงไม่ได้แก่ตามวัยแม้แต่น้อย
          คุณยายคนหนึ่งยืนเกาะรั้วอยู่ตรงที่จอดรถ พี่นกรีบเดินไปถามว่ามีอะไรหรือเปล่า ในมือนั้นมีผลไม้สองสามอย่างใส่ถุงพลาสติกมาให้ แทนการทักทาย
‘มาอยู่ใหม่หรือไอ้หนู ยายอยู่ถัดไปสองสามหลังเห็นเอ็งชอบออกมาเดินเล่น’
          แม้ว่าท่าทางแกจะไม่ค่อยน่าคบค้าด้วยสักเท่าไหร่แต่ก็ดูจะเป็นคนดีกว่าที่เห็น พี่นกยืนคุยได้ไม่นานพี่บอยก็รีบตามออกมาเพื่อไม่ให้เสียมารยาท
          ทั้งสามคนยืนคุยกันจนรู้จักชื่อกับภูมิหลังอย่างคร่าวๆ ก่อนจะกลับไปคุณยายทำหน้าตาจริงจังแล้วบอกกับทั้งสองคนว่า
‘ที่บ้านมีพระไหม ที่นี่มันดุนะ จะอยู่กันไม่ไหว’
          ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลกหรือการหยอกเล่น แต่สีหน้านของคุณยายไม่ฉายแววตลกออกมาแม้แต่น้อย
           แม้ว่ายายคนนั้นจะเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก คนในบ้านก็เริ่มกังวลขึ้นมาในระดับหนึ่งแม้ว่าจะยังไม่มีเรื่องแย่ๆอะไรเกิดขึ้นก็ตาม
          เวลาผ่านไปจนพี่นกถึงกำหนดคลอดตามวันนัดของหมอ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความสงบสุขบวกกับความสัมพันธ์ของคนรอบๆบ้านก็สนิทสนมเป็นกันเอง
          หลังคลอดพี่นกยังต้องพักฟื้นอยู่ที่บ้านดีที่ได้คุณยายคนเดิมมาช่วยดูแลเป็นธุระให้ ยายแกเต็มใจมากเพราะลูกหลายแกโตหมดแล้ว แกเป็นคนชอบเด็กๆ
          ด้วยอายุที่มากแต่ยังแข็งแรงดีแกคงได้เลี้ยงลูกหลานมาหลายรุ่น บางครั้งที่พี่บอยต้องไปออกงานต่างจังหวัดคุณยายก็มักจะมานอนเป็นเพื่อนสองแม่ลูกเสมอๆ
          เรื่องมันเริ่มขึ้นจากตรงนั้น คืนหนึ่งที่คุณยายตื่นมาเตรียมข้าวปลาอาหารให้สองแม่ลูกตามประสาคนแก่ที่จะตื่นเช้า คุณยายบอกว่าได้ยินเสียงเด็กดังอยู่ในบ้าน
          เสียงอ้อแอ้ยังฟังไม่เป็นศัพท์จึงคิดไปว่าเป็นเสียงของน้องต้อม แกเลยส่งเสียงตอบรับกลับไปตามความเคยชิน
‘ตื่นกันแล้วเหรอ’
          เสียงอ้อแอ้ยังดังอยู่ คุณยายเดินไปตามเสียงนั้นซึ่งดังมาจากห้องนั่งเล่นที่เป็นที่ประจำของคนในบ้าน
          ไฟในห้องมืดหมด เครื่องใช้ไฟฟ้าสักชิ้นก็ไม่ได้เปิดเอาไว้คุณยายชะงักด้วยความตกใจ แต่เสียงอ้อแอ้นั้นยังอยู่ จากคำบอกเล่าของคุณยาย แกยืนยันว่าเสียงนั้นดังอยู่ตรงหน้า ห่างจากแกไม่เกิดสิบเก้า
          คุณยายรีบเปิดไฟทันทีพร้อมกับที่เสียงนั้นหายไป วันนั้นคุณยายทำกับข้าวทิ้งไว้แล้วไม่มาหาที่บ้านเหมือนย่างปกติอยู่สองสามวัน
          หลังจากหายหน้าไปพักหนึ่งคุณยายกลับมาพร้อมกับพระพุทธรูปองค์หนึ่งในมือ แกหายกลับไปที่ต่างจังหวัดไปบูชามาจากวัดที่เป็นบ้านเกิดแก
‘บ้านเอ็งมีผี ต้องมีพระไว้ไม่อย่างนั้นเด็กมันนอนไม่ได้’
          คุณยายมีแต่ความเป็นห่วงทั้งที่ไม่ได้เป็นญาติกันโดยสายเลือด เด็กน้อยค่อยๆโตขึ้นเรื่อยๆมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นอยู่บอยครั้งส่วนมากจะเป็นเสียงที่ไม่รู้ที่มา เด็กน้อยเหมือนถูกปลุกในทุกค่ำคืน
          จนถึงวันที่คนในบ้านต้องหันมาคุยกันอย่างจริงจัง คืนหนึ่งที่น้องต้อมอายุได้ขวบกว่าๆ คงเป็นปกติที่เด็กวัยนี้จะค่อนข้างซนและส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา แต่บางครั้งน้องมีความผิดปกติ
          คืนหนึ่งที่น้องต้อมร้องหนัก จนพ่อกับแม่ตัดสินใจเอามานอนข้างๆจากเดิมที่เอานอนไว้ในเปลภายในห้องเดียวกัน
          พี่บอยบอกว่าคืนนั้นไม่รู้เกิดอะไรขึ้นอยู่ดีๆก็ตื่นขึ้นมา ตื่นแบบหายง่วงสนิทลืมตาขึ้นมาเหมือนถูกปลุก แต่ขยับตัวไม่ถนัด มันเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ไม่ถึงกับขยับไม่ได้ แค่เหมือนมันไม่มีแรง
          สิ่งแรกที่คนเป็นพ่อแม่จะมองหาหลังตื่นนอนก็คงเป็น ลูก เช่นเดียวกับพี่บอย แต่คืนนั้นน้องต้อมหายไปจากเตียง ด้วยความกระวนกระวายจึงพยายามจะลุกขึ้น แต่ร่างกายก็ไม่เอื้ออำนวย
          สายตาควานหาไปทั่วพื้นของห้องเพราะกลัวว่าแกจะคลานตกเตียงลงไป แต่ก็ไม่พบเงาของใครเลยแม้แต่น้อย
ปึก!
          เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกระทบเข้ากับหัวเตียงที่เป็นไม้ พี่บอยหันไปตามเสียงทันทีถึงกับใจหล่นวูบ น้องต้อม!
          เด็กน้อยนั่งอยู่บนส่วนที่เป็นไม้ของหัวเตียงแบบที่ทำมาให้มีพื้นที่วางของ ร่างกายของเด็กตัวเล็กจึงนั่งได้พอดี น้องต้อมนั่งอยู่ในท่าตัวตรงสองมือเท้าอยู่ข้างตัว ขาสองข้างห้อยลงมาจากขอบไม้
          เป็นเรื่องแปลกที่เด็กในวัยนี้จะนั่งได้นิ่งสนิทไม่ขยับไปมา แค่เรื่องของการทรงตัวก็ดูจะยากแล้วสำหรับเด็กน้อย สายตาคู่นั้นสบกับสายตาของคนเป็นพ่ออย่างเย็นชา
          พี่บอยบอกว่า ‘พี่ขนลุกมากแค่สบแต่แวบเดียว ใจพี่เต้นจนแทบจะหลุดออกมา เหมือนไม่ใช่ลูกพี่’
          น้องแกว่งเท้าไปมาในอากาศมีบ้างที่ส้นเท้ากระทบกับหัวเตียงจนเกิดเสียงดังเป็นจังหวะ แม้ใจจะกลัวและไม่เข้าใจ แต่สัญชาตญาณของคนเป็นพ่อต้องปกป้องลูกก่อน
          พี่บอยพยายามฝืนตัวเองให้ขยับแต่ร่างกายมันหนักเหลือเกิน การขยับตัวดูเป็นเรื่องยากและทำให้เจ็บจี๊ดขึ้นไปบริเวณขมับและกลางกระหม่อม
          เพียงครู่เดียวก็เหมือนสลัดตัวเองหลุดจากสภาวะนั้นได้ พี่บอยลุกขึ้นมาอุ้มลูกเอาไว้ในอ้อมกอดอย่างกล้าๆกลัวๆ สายตานั้นยังจ้องมองมาที่พี่บอย
          ไม่ถึงสิบวิเด็กน้อยก็หลับตา หลับไปเหมือนที่ตื่นขึ้นมานั้นเป็นเพียงการละเมอเท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่