บุพเพสันนิวาส กระแสร้อน บทลงตัวของ ส่งผลดีทั้งกับเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว / โมสต์ ดังบท”ไอ้จ้อย มีความสุขที่ได้เป็นตัวละคร


เข้าวงการมา 8 ปีที่แล้ว แต่เพิ่งดังเปรี้ยงปร้าง ก็ตอนรับบท “ไอ้จ้อย” บ่าวคนสนิทของ “ท่านหมื่นสุนทรเทวา” ในละครฮอต“บุพเพสันนิวาส”ทางช่อง 3 สำหรับนักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรง “โมสต์” วิศรุต หิมรัตน์

มีคนรู้จักมากขึ้นจากละคร “บุพเพฯ”

โมสต์ – “เรื่อง บุพเพสันนิวาส ถือเป็นละครยาวแท้ๆ ของผมเลย ใช้เวลาถ่ายทำ 1 ปี 8 เดือน (หัวเราะ) ไม่ได้นึกถึงเลยว่าตัวเองจะได้รับการพูดถึงเยอะขนาดนี้ แค่หวังว่าคนดูน่าจะชอบเท่านั้นเอง ไม่ได้หวังระดับต้องเป็นที่รู้จักต้องเปรี้ยง เพราะเราไม่ได้ออกเยอะขนาดนั้น แต่พอได้รับการตอบรับที่ดีก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ”

คิดว่าบทไอ้จ้อยสำคัญไหม

โมสต์ – “ตัวละครตัวนี้มีอยู่ในหนังสือ แต่ชื่อเจิม ในบทโทรทัศน์เปลี่ยนเป็นจ้อย มีการลดเพิ่มเติมแต่ง จากตัวหนังสือมาเป็นภาพในละคร รส รูป กลิ่น เสียง จะต้องถูกเพิ่มหรือดัดแปลงให้ตอบโจทย์คนดูมากขึ้น ตัวละครนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างสีสัน พี่ใหม่-ภวัต ผู้กำกับฯ บอกว่ามันเป็นตัวที่จะแทนความรู้สึกคนดู จะเห็นว่าจ้อยเป็นเหมือนเนื้องอก ที่พระเอกนางเอกอยู่ด้วยกัน แล้วตัวมันจะมีอารมณ์ร่วมด้วยตลอด เห็นนายรักกันก็ดีใจ มันก็ยิ้ม เป็นเหมือนตัวแทนผู้ชมที่อยู่หน้าจอ”

ได้รับความช่วยเหลือจากพี่ๆ ในกองยังไงบ้าง

โมสต์ – “เรื่องนี้ได้รับการฝึกฝนเยอะ ถึงแม้จะไม่ได้รับการสอนโดยตรง แต่ก็คอยดูพี่ๆ เขา เรียนรู้ไปเรื่อยๆ อยู่ด้วยกันนานๆ มีซึมซับ ส่วนเวิร์กช็อปของผมทำแยก ไม่เชิงว่าเรียนการแสดง แต่เหมือนนั่งคุยกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจในตัวละคร วิธีการแสดง ทุกบริบทของบุพเพสันนิวาส คือด้วยผมเป็นคนรุ่นใหม่ การจะไปเล่นอะไรที่เป็นแบบนี้ คือหมายถึงทาส เราต้องทำความเข้าใจตรงส่วนนั้นว่าทาสเป็นยังไง ปกติใครมาสั่งมาไล่ ก็ไปแล้ว ทนเพื่ออะไร แต่นี่ทาสต้องทน ทนแบบจงรักภักดีด้วยนะ”

เรื่องภาษาพูดในเรื่องล่ะ

โมสต์ – “(ทำหน้าตาเหลือก) มันไม่ใช่แค่พูดครับพี่ มันต้องเข้าใจในสิ่งที่พูด แต่มันไม่เข้าใจครับ มีคำอะไรไม่รู้ที่เกิดมาไม่เคยได้ยิน ไม่เคยอ่านเจอ แต่ต้องเอามาพูด ออเจ้า ทำไมไม่เจ้า  กู เอ็ง ข้า บทสนทนาอีก คำสลับกันหมดเลย (หัวเราะ) ไม่ไป ไปไม่ หาไม่ หามิได้ ยากมาก คิวแรกของการถ่ายผมต้องวิ่งมาจากนอกบ้าน แล้วคนที่ผมพูดด้วยคืออาหนิง (นิรุตติ์) คิดดูว่าบีบหัวใจขนาดไหน ประโยคก็ไม่ได้ยาวมาก แต่มันเหมือนนานมากกว่าจะพูดจบ (หัวเราะ) ต้องพูดให้ถูกไดอะล็อก พูดให้ไม่ผิด อารมณ์อีก ท่าทางอีก ต้องให้เป็นธรรมชาติด้วย ยอมรับเลยคนรอบข้างผมเก่งมาก วันไหนมีบทพูดเยอะ ผมก็เล่นหน้ากระจกก่อนนอนทุกวัน เหมือนสะกดตัวเองไปในตัว”

“และที่แน่ๆ ผมไม่ชอบขานชื่อเลย ท่านพระยาโกษาธิบดี ท่านโกษานั่นนี่ โอ้ย ยาว ผิดไปหลายคำ เพราะยศเขามีการเปลี่ยน อยู่ในบ้านเรียกอีกอย่าง ออกมาข้างนอกเรียกอีกอย่าง มีชื่อลำลองอีก เรื่องนี้คนนึงมีหลายชื่อมาก แล้วไม่ได้เปลี่ยนคนเดียว เปลี่ยนทั้งเรื่อง ตอนนี้ยังจำไม่ได้เลย เรียกว่าไอ้จ้อยไม่อยากให้ใครมาเยี่ยมบ้านเลย ถามว่าทำไม ก็มันต้องขึ้นไปรายงานว่าใครมาบ้านบ้าง”

ในเรื่องต้องพายเรือด้วย

โมสต์ – “โห ผมต้องฝึกพายเรือทุกวัน เพื่อให้พายเรือเป็น วันที่ไม่มีคิวผมตอนเช้า ผมจะลงไปพายเรือ ท่าจับ ท่าพาย คัดน้ำ ทำยังไงให้พายจ้วงน้ำฝั่งเดียว แล้วเรือไม่หมุนติ้ว เบี้ยวไปมา คิดดูแต่งตัวเป็นจ้อย คุ้งน้ำเจ้าพระยาอยุธยาแต่ก่อน ตัดภาพมาที่ความจริง คลองข้างบ้าน ช่อง 3 หนองแขมบ้าง ที่กาญจนบุรีบ้าง แดดอย่างกะพระอาทิตย์ 4 ดวง ผมพายเรือไม่เป็น ฝึกพายจนเป็น ไม่ใช่แค่พายเป็นนะ พายจนเก่งเลยล่ะ จนตอนนี้ผมชอบเรือไปแล้ว กลายเป็นว่าพอมีเวลาว่างผมจะไปเล่นเรือใบ ชอบการอยู่บนเรือไปเลย”

ได้ร่วมงานกับพระเอก นางเอกเบอร์ใหญ่เรื่องนี้เป็นไงบ้าง

โมสต์ – “ดีมากครับ ผมได้มาเจอได้มาอยู่กับพระเอกนางเอกเยอะมาก มันเข้มข้น แค่นี้ก็รู้สึกว่าคุ้มแล้วที่ผมได้อยู่ใกล้ๆ เราได้เห็นพี่ เบลล่า (ราณี) เฮ้ย! เขาเก่งว่ะ แล้วพี่โป๊ป (ธนวรรธน์) อีก เราไม่ได้เห็นแค่เวลาเขาทำงาน แต่เราอยู่ร่วมกันในกอง เราเห็น เราเรียนรู้ เรารับรู้ ว่าเขาทำอะไร ทำยังไงกัน ก่อนเข้าฉาก เริ่มถ่าย สั่งคัต จนเบรก เห็นพวกเขาซ้อม รีแล็กซ์ สารพัดที่จะได้เรียนรู้ เข้าฉากด้วยกันจะรู้สึกเกร็ง ไม่ใช่แค่คู่พระนาง เกร็งกับทุกคน เพราะมันยาก ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงของใคร เจอแม่เหมียว(ชไมพร) เจออาหนิงก็กดดัน นานกว่าจะเริ่มผ่อนคลาย ผมขี้อายด้วย แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี”

ถ่ายกับใครมากที่สุด

โมสต์ – “ก็ต้องพระเอกสิครับ อยู่ด้วยกัน เดินตามทั้งเรื่อง ขนาดบางซีน ผมต้องเข้าไปอยู่แต่กล้องไม่จับมาที่ผมก็มี(หัวเราะ) รองลงมาก็พี่เบลล่า พี่ปั้นจั่น(ปรมะ) แต่บ่าวในบ้านก็ต้องเข้าฉากด้วยกันเยอะนะ พี่นุ่น(รมิดา) พี่หยา(จรรยา) บางทีพอๆ กับพี่โป๊ปพี่เบลเลยมั้ง ได้เข้าฉากกับพี่นุ่นพี่หยาบ่อยๆ รู้สึกดีเสมอ สบายใจสุดแล้ว เราไม่กลัวผิดเวลาเล่นกับพี่หยา พี่เขาเป็นครูผมด้วย เป็นนักแสดงละครเวทีด้วยกัน ตอนเล่นเรื่องน้องใหม่ฯ พี่หยาเป็นแอ๊กติ้งโค้ชก็เลยรู้จักสนิทกัน มาเรื่องบุพเพฯ พอเวลามีปัญหาอะไรผมก็จะคุยกับพี่หยาตลอด เวลาเล่นไม่ได้ก็จะไปกระแซะหาปุ่มลัดการแสดง พี่เขาก็จะให้คำตอบและคำปลอบที่ดีเสมอ พี่เขาค่อนข้างเปิด เราก็แฮปปี้”

รักตัวละครจ้อยไหม



โมสต์ – “รักครับ เขาซื่อสัตย์มากเลยนะ เราเป็นเขาอยู่นานมาก กว่าจะเป็นเขาได้ก็ภูมิใจ รู้เลยว่าเขารักนายของเขา เขาขี้ขลาดแต่แฝงไว้ด้วยความกล้า เขามีมุมที่ต้องสนุก ทะเล้น มีความสุขนะที่ได้เป็นเขา ยิ่งพอออกมาเป็นแบบนี้ มีคนชื่นชอบ ก็เป็นความสุขของเรา”

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ประทับใจตัวเองไหม

โมสต์ – “ทั้งประทับใจและต้องขอบคุณตัวเองมากๆ ที่เต็มที่กับมัน ไม่ละเลยหน้าที่ ผมตั้งใจจริงๆ ขอบคุณตัวเองที่ทำการบ้าน ตอนที่ยากๆ ก็ไม่ปล่อยปละละเลย ส่วนงานเรื่องต่อไปก็ต้องรอดูครับว่าจะเป็นยังไง”


หัวใจไม่ว่าง! “ตั้งใจ-มุ่งมั่น-ต่อสู้”นำพาสู่ความสำเร็จ

“บอกความจริงเลย ผมมีคุยๆ อยู่ครับ คุยกันมาเกือบปีแล้ว” “ไอ้จ้อย” หรือนักแสดงหนุ่ม “โมสต์-วิศรุต” เผยถึงเรื่องความรัก ที่เจ้าตัวรับว่ามีสาวที่คุยอยู่ด้วย

ถามว่าตัวเองเป็นคนเจ้าชู้ไหม โมสต์เปิดใจว่า “ไม่แน่ใจครับ แต่ผมว่าผมเจ้าชู้ (หัวเราะ) แต่ผมก็ไม่เคยจีบใครนะ ผมขี้อาย (หัวเราะ) มีแต่คนเข้ามาจีบ เมื่อก่อนผมชอบใครผมก็แต่งเพลงนะ แต่งเพลงระบายความรู้สึก ไม่รู้แต่งทำไม แค่เขียนขึ้นมาเฉยๆ หรือบางทีก็ส่งให้เพื่อนฟัง (หัวเราะ) กลายเป็นเรื่องแอบชอบไป”

เพิ่งกลับจากอเมริกา ไปทำอะไรมา เจ้าตัวเผยว่า “ไปเรียนคอร์สภาษาอังกฤษมา 7 เดือน ตอนนี้เรียนจบคอร์สแล้ว คือผมเรียนจบศิลปกรรม มศว มา ก็อยากมีหัวด้านอื่นด้วย อยากมีวิชาความรู้เพิ่มไว้ จึงตัดสินใจไปเรียนที่ต่างประเทศ แต่ว่าเราก็ต้องเริ่ม ก่อนที่จะเล่นละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ผมอยู่ตรงนี้มา 6 ปีแล้ว ผมไม่ได้ดราม่านะ แค่คิดว่าเราต้องหาทางออกให้กับตัวเอง จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปเรียนบริหาร เพราะเราไม่เคยเรียนมาเลย แต่ก็ต้องได้ภาษาก่อน ก็เลยลงเป็นคอร์สสั้นๆ ไว้”

“แล้วที่บ้านชอบถามว่าเราจะทำงานทำการอะไร ผมไม่มีคำตอบ ตอบอะไรไม่ได้เลย ที่ผ่านมาก็อยู่กับการแสดง พอจบบุพเพฯ ก็ไปอเมริกา โรงเรียนแคพแลน ที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน บรรยากาศจะเหมือนเรื่องแวมไพร์ ทไวไลท์ มีต้นสน ครึ้มๆ มีลมมีฝนทั้งปี ซึ่งเรื่องภาษาตอนนี้ก็โอเคขึ้นเยอะครับ ตอนที่อยู่ที่นู่น 5 เดือนแรก คิดถึงแต่บ้าน ทำไมลำบากแบบนี้ ทำไมแย่อย่างนี้ พอเข้าเดือนที่ 6 เหมือนปรับตัวได้ก็จะกลับเมืองไทยแล้ว ยิ่งตอนที่ละครออนแอร์แล้ว มีคนที่โน่นจำผมได้ ผมเริ่มสบายแล้ว ร้านอาหารไทยที่นั่นให้ผมกินข้าวฟรีด้วย เข้ามาขอถ่ายรูป พอกลับมาถึงเมืองไทยก็เริ่มมีคนติดต่อเข้ามาเพื่อสัมภาษณ์ ผมเข้าใจนะว่าช่วงนี้อาจเป็นกระแส แต่คำว่ากระแสนี่แหละ มันมีทั้งความรู้สึกดีและความรู้สึกเกร็งด้วย”

วางอนาคตต่อยังไง ไอ้จ้อยครวญ “ตอบยากจังเลย ผมยังไม่รู้ว่ายังไงเลย แต่ที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างเต็มที่ ผมตั้งใจมากๆ ผมก็ไม่ได้สนใจอนาคตเหมือนกันว่าจะต้องมาเล่นอะไร ได้รับบทอะไร แต่ผมดีใจว่าแค่อนาคตในสั้นๆ นี้ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมชอบ ได้ยึดเป็นอาชีพ ซึ่งผมคิดแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ส่วนเรื่องที่ว่าจะต้องวางไว้สำหรับอนาคต ผมคงต้องหาอะไรที่เป็นหลักประกันไปในตัวเองด้วย เหตุผลที่ผมไปเรียนที่อเมริกา คือก่อนนั้นมันมีแวบมาในหัวเหมือนกันว่าจะหยุดแล้วเหมือนกัน ผมเลยไปอเมริกาเพื่อหาหนทางให้ตัวเอง พอคนเราโตขึ้นมันต้องหาหลักประกัน ผมเห็นเพื่อนที่เรียนการแสดงมาด้วยกัน เก่งๆ ทั้งนั้น จบมาปีเดียวกัน มีเหลือไม่กี่คนที่ได้ทำอาชีพนักแสดง ผมเลยคิดว่าจากนี้ไปก็คงต้องหาอะไรทำไปด้วยนั่นแหละ”

“ผมว่าผมโชคดีนะ แต่ไม่ใช่ว่าเกิดจากความพลิกผันของชีวิตนะครับ ผมเองตั้งใจ มุ่งมั่น และสู้มาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นไม่ท้อจนเลิกจนไปเรียนอเมริกาหรอก” โมสต์กล่าวในที่สุด


เส้นทางวงการ

เริ่มสัมผัสงานในวงการบันเทิง ด้วยการประกวดเวที ดัชชี่ บอย แอนด์ เกิร์ล เมื่อปีพ.ศ. 2552 โดยนักแสดงหนุ่ม “โมสต์”วิศรุต หิมรัตน์ เล่าให้ฟังถึงเส้นทางที่ผ่านมาว่า “ผมเข้าวงการบันเทิงตอน ม.5 อายุ 16 ปี ประกวดดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ล ถือเป็นก้าวแรกของผมเลย แล้วก็ไปเป็นศิลปินฝึกหัดในแกรมมี่ ผ่านไป 1-2 ปี ก็มาเล่นละครกับบรอดคาซท์ฯ เรื่อง น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ รับบทภูผา แล้วก็มีซิตคอมเรื่อง รักจัดเต็มรับบทก้านยาว แล้วก็เป็นดารารับเชิญอยู่หลายเรื่อง ทั้งเรื่องบางระจัน กลกิโมโน และอีกหลายๆ เรื่อง ส่วนเรื่องน้องใหม่ฯ ผมหยุดถ่ายแล้ว หายไปจากเรื่อง เพราะต้องมาถ่ายบุพเพฯครับ”

“ผมมีพี่สาว 1 คน อายุห่างกัน 3 ปี เพิ่งสนิทกันเมื่อตอนไปอเมริกา คือตอนที่อยู่ที่นู่น มันรู้สึกโหวงๆ แล้วก่อนหน้านี้ ทั้งผมและพี่ผ่านอะไรแย่ๆ มาเยอะ พอผ่านตรงนั้นมา พวกเราก็รู้สึกว่าเราโตขึ้น เลยเข้าใจกันมากขึ้น รักกันมากขึ้น เข้าใจว่าคนที่สำคัญจริงๆ คนที่เราต้องแคร์คือใคร ก่อนหน้านี้เอะอะนิดหน่อย ผมจิกกัดเขาตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งนอนอยู่คอนโดฯเดียวกัน มีปัญหากันจนแม่ต้องซื้อคอนโดฯให้ใหม่เพื่อให้พี่สาวไปอยู่ เมื่อก่อนถือว่าคนละขั้วเลย แต่ตอนนี้พอโตแล้วเราก็เข้าใจอะไรๆ มากขึ้น”

มีอะไรที่ตัวเองชอบและไม่ชอบบ้าง โมสต์กล่าวว่า “ผมไม่ชอบผลไม้ ตั้งแต่เล็กจนโตจนอายุ 25 ปีนี้ ไม่มีผลไม้ตกถึงท้องเลย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเรียกกินมันหรือเปล่า คือส้ม แม่ต้องเอาแต่น้ำออกมาให้กิน ถ้ากินเนื้อ กินไม่เป็น กล้วยทอดกินได้ แต่กล้วยจริงๆ ไม่เคยกิน ส่วนผักผมเริ่มกินตอนมัธยมปลายนี่เอง กินจากร้านเอ็มเค และกินเป็นแค่กะหล่ำปลี คะน้า เห็ด ในส่วนที่ชอบคือชอบเพลง ชอบทะเลครับ”

ถามถึงอุปนิสัย ดาราหนุ่มตอบ “ผมโคตรอินดี้เลยพี่ ไลฟ์สไตล์ผมเป็นคนมีอารมณ์สุนทรีย์นะ ชอบดูหนัง ฟังเพลง แต่งเพลง ชอบคิดอะไรต่างๆ เป็นคนคิดเยอะ เวลาว่างๆ หรือไม่มีงานก็ไปเล่นละครเวที เหมือนได้เรียนแอ๊กติ้ง ได้เจอคนที่เจ๋งจริงๆ เจอคนที่เป็นศิลปินจริงๆ เราได้ซึมซับตรงนั้น”

https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_882957
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่