…."บุพเพสันนิวาส" รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม..../วัชรานนท์

กระทู้สนทนา
กระแสละคร "บุพเพสันนิวาส" สำหรับคอละครไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแม่บ้านในต่างประเทศตอนนี้มาแรงไม่แพ้เมืองไทย   โดยเฉพาะการแต่งกายย้อนยุคแทบจะกลายเป็น "ตีม"ชุดบังคับในการพบปะสังสรรค์ในหมู่คนไทย   มีการสั่งญาติๆ ที่เมืองไทยซื้อ "ชุดไทย" ส่งไปให้มากมาย    และงานสงกรานต์ที่จะถึงนี่เร็วๆ นี้ผมถูกวางตัวให้เป็นทั้งโฆษกและมัคคทายกในงาน    ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะสั่งชุด "ออกญา" มาใส่หล่อดีหรือเปล่า  แต่ก็ให้รู้สึกหวั่นๆ อยู่ว่าการะเกดจะมาทิ้งพี่หมื่นฯ แล้วตีตั๋วเครื่องบินบินตรงมาหา "ออกญาวัชรานนท์" ที่ยุโรปเอาซะดื้อๆ     FCของการะเกดกับพี่หมื่นฯคงจะด่าผมกันขรม  ฮ่า ฮ่า ฮ่า


มีแม่บ้านในต่างแดนมาถามผมในฐานะคนที่เคยบวชเรียนมาว่าบุพเพสันนิวาสจริงๆ แล้วแปลว่าอะไร?    คำถามนี้ทำให้ผมต้องย้อนคิดกลับไปถึง "บุพเพ" สมัยเป็นเณรน้อยบ้านนอกสะพายย่ามเดินมาเรียนภาษาบาลีในสำนักเรียนในตัวเมืองเมื่อเกือบจะสี่สิบปีนู่นเลยทีเดียว   สมัยนั้นท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติเมธี (เจ้าคณะภาค๘) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ที่สอนทั้งท่องทั้งแปล  ทำให้พอจะเข้าในรากศัพท์และที่มาที่ไปของภาษาไทยซึ่งมาจากบาลีและสันสกฤตอยู่บ้าง   แม้จะนานมาแล้วก็พอจะจำแบบคลำๆ ไปได้อยู่


คำว่า "บุพเพสันนิวาส"  ถ้าจะแจงรากศัพท์ แยกธาตุ แยกวิภัตติ แยกปัจจัยและอธิบายหลักสมาสและสนธิจริงๆ คงจะยาวมากกกกว์   ยกตัวอย่างแซมเปิ้ลๆ เช่นคำว่า "บุพเพ"นี่  มาจากคำว่า "ปุพพะ" (อ่านว่า ปุบ-พะ) เป็นคำนามประเภท "นปุงสกลิงค์" (อ่านว่า นะ-ปุง-สะ-กะ-ลิง) ซึ่งหมายถึงคำไม่มีเพศ อนึ่ง คำต่างๆ ในหลักภาษาบาลีจะมีเพศสามเพศเหมือนภาษาเยอรมันคือ เพศหญิง(อิตถีลิงค์) เพศชาย(ปุงลิงค์) และไม่มีเพศ(นปุงสกลิงค์)    คำว่า "ปุพพะ" จะถูกแปลงรูปเป็น "บุพเพ" เมื่อคำนี้แจงลงในวิภัตติที่เจ็ดคือสัตตมีวิภัตติ  (มีลักษณะคล้ายๆ กับการ "แปลงรูป" ของคำนามหรือกริยาสามช่องของภาษาอังกฤษ เช่น speak, spoke, spoken / ส่วนคำนามก็เช่น country, countries ประมาณนี้  แต่คำนามในภาษาบาลีสามารถถูกแปลงรูปได้อย่างน้อยๆ 14 รูป!!   เห็นไหมครับ?  ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่ว่ายากๆ แล้ว  เจอไวยากรณ์ภาษาบาลีเข้าหนักยิ่งกว่าซะอีก   พระเณรที่สอบบาลีผ่านได้เขาถึงเรียก "มหา" ไง อิ อิ อิ   ผมเป็นมหาคนแรกคนเดียวในหมู่บ้านนะขอรับจะบอกให้ (ไม่ได้โม้! อิ อิ)  ตอนสอบได้เป็นสามเณรและไปรับพัดยศกลับมา  ชาวบ้านเขายกขึ้นแคร่แห่รอบหมู่บ้านเชียวแระ)
  

พารากราฟข้างบนนั้นแค่แซมเปิ้ลแจกแจงที่มาที่ไปของคำว่า "บุพเพ" คำเดียวนะครับถ้าให้อธิบายที่เหลืออย่างคำว่า "นิวาส" มีรากศัพท์จากไหน? ลงวิภัตติและปัจจัยอะไร  มีคำอุปสรรค (prefix) ตรงไหน? แล้วสนธิกันอย่างไร? ก่อนจะมาสมาสกับคำว่า "บุพเพ"   รับรองว่ายาวววววเลยครับ  ถ้าไม่มีความรู้บาลีพื้นฐานมาก่อนต้องกินยาปวดหายหลังจากที่อ่านจบ   เพื่อสุขภาพของท่านผู้อ่าน   ผมจึงขอรวบรัดตัดตอนสั้นๆ ล่ะกัน       คือ :-
บุพเพ = ในกาลก่อน
สนฺนิวาส = การอยู่ร่วมกัน
บุพเพ+สนฺนิวาส = บุพเพสันนิวาส   แปลว่าการเคยอยู่ร่วมกันในปางก่อน


หลังจากเรียนภาษาบาลีแล้วก็ต้องมาเรียนแปลธรรมบท   โดยเฉพาะแปลนิทานชาดกนี่สนุก   คำว่า "บุพเพนิวาส" นี่ผมจำได้แม่นว่าเป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงเคยตรัสเอาไว้จากเรื่องราวในพระธรรมบทที่เกี่ยวกับเศรษฐีคนหนึ่งที่ชื่อ "โฆสก"   เหตุที่จำได้ดีเพราะมันเกี่ยวกับ "ความรัก" (ผมมันประเภทชอบอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความรักน่ะครับ)   เป็นคาถาที่ทรงตรัสไว้ว่า

ปุพฺเพว สนฺนิวาเสนะ   ปจฺจุปฺปนฺนหิเตนะ วา
เอวนฺตํ ชายเต เปมํ อุปฺปลํว ยโถทเก.
ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ ปัจจุปปันนะหิเตนะ วา
เอวันตัง ชายะเต เปมัง  อุปปะลังวะ ยะโถทะเก.

แปล: ความรักย่อมเกิดด้วยเหตุ 2 ประการคือ   เคยอยู่ร่วมกันในปางก่อนหนึ่ง  และเกื้อกูลกันและกันในปัจจุบันอีกหนึ่ง  เสมือนดอกบัวที่เกิดขึ้นได้ด้วยบัวและเปือกตมฉันนั้น  (หลวงวิจิตวาทการอดีตมหาเปรียญ เคยขยายความตรงนี้ว่า ความรักคือดอกบัว ปัจจุบันคือน้ำ  ส่วนอดีตกาลก็คือตม)

คำว่า "บัวแล้งน้ำ".....เปรียบเสมือนความรักที่แม้จะเคยมีต่อกันในอดีต   แต่ไม่ได้เกื้อกูลกันในปัจจุบัน (แล้งน้ำ)  ก็เหมือนบัวที่แตกหน่อแต่เปือกตมแต่ไม่มีน้ำคอยหล่อเลี้ยงให้เบ่งบาน   นับวันรอแต่วันที่จะเหี่ยวเฉา    ผิว่าหนุ่มสาวคู่ใดมีความรักปฏิพัทธ์ต่อกันแล้วก็ขอให้เกื้อกูลกันและกันในปัจจุบันเทอญ   อย่าให้เป็นเหมือนบัวที่แล้งน้ำ (ใจ) เลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  การเมืองท้องถิ่น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่