เล่าให้ฟังก่อนนะครับว่าเคยตั้งกระทู้ท้อแท้กับสิ่งที่แม่เขานับถือที่เรียกว่าโยเรเมื่อหลายปีมาแล้ว จนปัจจุบันคือไม่ได้คุย ไม่ได้เจอกันอีกเลยเพราะโยเรครับ ครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่ทำแสนจะธรรมะดานะครับ แม่เป็นแม่ค้า ผมทำงานบริษัท เป็นคนต่างจังหวัดที่มาอาศัยทำงานในกรุงเทพฯ แม่ผมเขาก็ค้าขายมาก็นานมากแต่ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ยังเป็นหนี้เหมือนเดิม อยู่กับอะไรเดิมๆ เหมือนจะไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย
ขอเล่าอดีตที่ผมอยากจะจดจำมันไปตลอดก่อนนะครับ ก่อนหน้านี้ผมกับแม่รักกันครับ กอดคอแม่ กินข้าวด้วยกัน พูดคุยด้วยกัน เลิกเรียนกลับไปช่วยแม่ขายของตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าเราไม่ช่วย ก็คงไม่มีใครช่วยแก เหมือนมันเป็นหน้าที่ที่เราหยุดไม่ได้ จนกระแม่เริ่มเปลี่ยนไปจากคนเดิมตั้งแต่แม่ไปรู้จักกับโยเร ตอนแรกก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย เราก็เออออห่อหมกไปกับเขาด้วยความที่ว่าเรายังเด็กเหมือนมันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่เรามีต่อแม่เราทั่วๆไปนั้นแล่ะครับ แต่พอเริ่มนานๆเข้า ถ้าจะใช้คำว่าหลง งมงาย จนไม่สามารถมีอะไรที่จะมาฉุดกลับมา ก็คงใช้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่เขาก็จะคิดซะว่าเป็นการทดสอบจากพระ(โยเร) ที่แกนับถือ ญาติพี่น้องทุกคนรับรู้ พูดอะไร บอกอะไรแกไม่ฟังเลย เปิดร้านอาหารมา เจ๊ง ก็บอกว่าเพราะพระ(โยเร)ท่านทดสอบ แต่ถ้าหากว่ามีอะไรดีๆ ก็จะบอกว่าพระ(โยเร)ท่านจัดให้ ที่เป็นแบบนี้ได้เพราะพระ(โยเร)ช่วย มันเป็นแบบนี้มาจนผมเริ่มเทลาะกัน ทีละนิด เปลี่ยนมาเป็น มากขึ้น และก็มากขึ้น จนเริ่มไม่คุยกัน ในที่สุด ที่ไม่คุยกันนี่คือไม่มีอะไรจะบอกจะปรามแม่แล้วมั้ง เพราะเงินที่แกใช้อยู่เราก็ไม่ได้ให้นะเป็นเงินของแม่เอง เพราะตอนนั้นยังเรียนแล้วก็ไม่ได้ทำงาน แกก็ขายของของแกเอง ขายดีนะครับ ได้วันละหลายพันเลยเฉพาะกำไร
ก่อนหน้านี้ไม่นาสผมก็เริ่มหาวิธีหลายๆทางนะ พยามคุย พยามบอกให้เข้าใจกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ และผลดีผลเสียที่แกทำว่าทำแล้วได้อะไร มีผลอะไร แต่แม่ก็ไม่ฟังใครจน ผมตัดสินใจเดินออกมา (ก่อนที่จะเดินออกมามันมีหลายเหตุการณ์ที่กระทบกับจิตใจคนเป็นลูกอย่างผมมาก)
ปัจจุบันผมออกมาจะปีละครับ ผมไม่ได้กลับไปหาแม่เลย ไม่ติดต่อด้วย แต่จะถามผ่านลูกพี่ลูกน้องอีกคน เพราะพี่เขากลับไปหาลุงบ่อย ว่าแม่เป็นยังไงขายของดีไหม ลูกค้าเยอะไหม แล้วคนช่วยขายของยังอยู่ไหม แม่ก็บอกผ่านลูกพี่ลูกน้องผมมานะครับว่าคิดถึง กลับมาหาบ้าง ผมก็ได้แต่คิดอยู่ในใจเสมอ ไม่ใช่อคติกับแม่นะครับ แต่ผมเอือมระอากับสิ่งที่แม่ผมเป็น ผมเคยร้องไห้ด้วยนะครับว่าทำไมครอบครัวตัวเองถึงไม่มีความสุขเหมือนครอบครัวคนอื่นๆ ที่พ่อแม่ลูกช่วยกันทำงาน ทำมาหากิน วันหยุดครอบครัวก็พากันไปเที่ยว กินข้าวนอกบ้าน ผมได้แต่หวังว่าซักวันแม่เขาจะกลับมาเป็นคนเดิม คนที่ขยันทำมาหากินเหมือนเดิม นะครับ ปัจจุบันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมเคยนั่งรถผ่านร้านแม่ขายของ พอกลับมาที่คอนโด ก็ได้แต่ร้องไห้คนเดียว ว่าตอนนี้ชีวิตผมมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงไม่อยากกลับไปหาแม่ ทำไมผมถึงไม่รู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของเรานะที่ต้องไปช่วยแม่ขายของเพราะเดี๋ยวแม่จะเหนื่อยเอา ความรู้สึกแบบนั้นมันหายไปจนหมด ผมเป็นคนบาปใช่ไหมครับที่ผมทำแบบนี้ ทำไมจิตใต้สำนึกของความเป็นลูกของผมมันหายไปไหนหมด ผมเห็นแก่ตัวมากไปไหมครับที่ทำแบบนี้
ตอนนี้ผมกับแม่ไม่คุยไม่เจอกันมาจะครบปีแล้วครับเพราะโยเร
ขอเล่าอดีตที่ผมอยากจะจดจำมันไปตลอดก่อนนะครับ ก่อนหน้านี้ผมกับแม่รักกันครับ กอดคอแม่ กินข้าวด้วยกัน พูดคุยด้วยกัน เลิกเรียนกลับไปช่วยแม่ขายของตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าเราไม่ช่วย ก็คงไม่มีใครช่วยแก เหมือนมันเป็นหน้าที่ที่เราหยุดไม่ได้ จนกระแม่เริ่มเปลี่ยนไปจากคนเดิมตั้งแต่แม่ไปรู้จักกับโยเร ตอนแรกก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย เราก็เออออห่อหมกไปกับเขาด้วยความที่ว่าเรายังเด็กเหมือนมันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่เรามีต่อแม่เราทั่วๆไปนั้นแล่ะครับ แต่พอเริ่มนานๆเข้า ถ้าจะใช้คำว่าหลง งมงาย จนไม่สามารถมีอะไรที่จะมาฉุดกลับมา ก็คงใช้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่เขาก็จะคิดซะว่าเป็นการทดสอบจากพระ(โยเร) ที่แกนับถือ ญาติพี่น้องทุกคนรับรู้ พูดอะไร บอกอะไรแกไม่ฟังเลย เปิดร้านอาหารมา เจ๊ง ก็บอกว่าเพราะพระ(โยเร)ท่านทดสอบ แต่ถ้าหากว่ามีอะไรดีๆ ก็จะบอกว่าพระ(โยเร)ท่านจัดให้ ที่เป็นแบบนี้ได้เพราะพระ(โยเร)ช่วย มันเป็นแบบนี้มาจนผมเริ่มเทลาะกัน ทีละนิด เปลี่ยนมาเป็น มากขึ้น และก็มากขึ้น จนเริ่มไม่คุยกัน ในที่สุด ที่ไม่คุยกันนี่คือไม่มีอะไรจะบอกจะปรามแม่แล้วมั้ง เพราะเงินที่แกใช้อยู่เราก็ไม่ได้ให้นะเป็นเงินของแม่เอง เพราะตอนนั้นยังเรียนแล้วก็ไม่ได้ทำงาน แกก็ขายของของแกเอง ขายดีนะครับ ได้วันละหลายพันเลยเฉพาะกำไร
ก่อนหน้านี้ไม่นาสผมก็เริ่มหาวิธีหลายๆทางนะ พยามคุย พยามบอกให้เข้าใจกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ และผลดีผลเสียที่แกทำว่าทำแล้วได้อะไร มีผลอะไร แต่แม่ก็ไม่ฟังใครจน ผมตัดสินใจเดินออกมา (ก่อนที่จะเดินออกมามันมีหลายเหตุการณ์ที่กระทบกับจิตใจคนเป็นลูกอย่างผมมาก)
ปัจจุบันผมออกมาจะปีละครับ ผมไม่ได้กลับไปหาแม่เลย ไม่ติดต่อด้วย แต่จะถามผ่านลูกพี่ลูกน้องอีกคน เพราะพี่เขากลับไปหาลุงบ่อย ว่าแม่เป็นยังไงขายของดีไหม ลูกค้าเยอะไหม แล้วคนช่วยขายของยังอยู่ไหม แม่ก็บอกผ่านลูกพี่ลูกน้องผมมานะครับว่าคิดถึง กลับมาหาบ้าง ผมก็ได้แต่คิดอยู่ในใจเสมอ ไม่ใช่อคติกับแม่นะครับ แต่ผมเอือมระอากับสิ่งที่แม่ผมเป็น ผมเคยร้องไห้ด้วยนะครับว่าทำไมครอบครัวตัวเองถึงไม่มีความสุขเหมือนครอบครัวคนอื่นๆ ที่พ่อแม่ลูกช่วยกันทำงาน ทำมาหากิน วันหยุดครอบครัวก็พากันไปเที่ยว กินข้าวนอกบ้าน ผมได้แต่หวังว่าซักวันแม่เขาจะกลับมาเป็นคนเดิม คนที่ขยันทำมาหากินเหมือนเดิม นะครับ ปัจจุบันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมเคยนั่งรถผ่านร้านแม่ขายของ พอกลับมาที่คอนโด ก็ได้แต่ร้องไห้คนเดียว ว่าตอนนี้ชีวิตผมมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงไม่อยากกลับไปหาแม่ ทำไมผมถึงไม่รู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของเรานะที่ต้องไปช่วยแม่ขายของเพราะเดี๋ยวแม่จะเหนื่อยเอา ความรู้สึกแบบนั้นมันหายไปจนหมด ผมเป็นคนบาปใช่ไหมครับที่ผมทำแบบนี้ ทำไมจิตใต้สำนึกของความเป็นลูกของผมมันหายไปไหนหมด ผมเห็นแก่ตัวมากไปไหมครับที่ทำแบบนี้