คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
เป็นเรื่องปกติที่คนจากประเทศด้อยพัฒนากว่าจะพยายามดั้นด้นไปแสวงหาโอกาสในประเทศที่เศรษฐกิจดีกว่า ค่าเงินสูงกว่า และเทรนด์ที่ว่านี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง จะเห็นว่าทำไมการเข้าประเทศอย่างผิดกฏหมายจะเกิดขึ้นเฉพาะกับประเทศที่ยากจนกว่าเท่านั้น ไม่เฉพาะแต่อเมริกาแม้แต่ไทยเองก็มีคนจากประเทศยากจนกว่าอย่าง ปากีสถาน บังคลาเทศ หรือ อื่นๆ ลักลอบเข้ามาหาเลี้ยงชีพในไทย
ในอดีตยุคปี 1970 เป็นยุคเริ่มต้นคลื่นอพยพของคนไทยที่เข้าไปในอเมริกาจะเป็นกลุ่มแพทย์และพยาบาลเป็นหลัก การศึกษาของประชาชนไทยในยุคนั้นยังไม่เฟ้อเหมือนสมัยนี้ คนจบปริญญาตรีมีน้อยและมีงานรองรับเต็มที่สมฐานะการศึกษาและค่าตอบแทน การเดินทางไปต่างประเทศยังไม่ง่ายดายเหมือนปัจจุบัน คนที่จะไปต่างประเทศในยุคนั้นจึงต้องเป็นกลุ่มที่พอมีฐานะที่จะจุนเจือค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้
ค่านิยมของการไปรียนต่างประเทศเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อการศึกษาไทยเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าศึกษาในระดับปริญญาได้ง่ายดาย การหางานเริ่มแข่งขันกันมากขึ้นจนผลักดันให้กระแสที่ต้องขวนขวายไปต่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่ตนเองจะมีโอกาสดีกว่าคนอื่นๆ ในตลาดงาน
เรื่องนี้ จขกท เองก็เป็นคนหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้ย่อมเข้าใจสถานะการณ์นี้เป็นอย่างดี
จากเดิมที่เป็นคนไทยที่มีการศึกษาน้อยจริงๆ ที่มีโอกาสในประเทศไทยด้อยกว่าคนอื่นๆ จึงพยายามไปหาโอกาสชีวิตในต่างประเทศโดยยอมเข้าไปอย่างผิดกฏหมาย การหากินในยุคนั้นย่อมคุ้มค่าเงินและการลงทุน
ปัจจุบันสถานะการณ์กลับมาสู่วังวนเดิมที่เมื่อทุกคนจบปริญญากันเป็นส่วนใหญ่ในขณะที่ตลาดงานไม่ได้ขยายขึ้นมารองรับอย่างพอเพียง ถึงจบปริญญาในไทยก็หางานไม่ได้หรือได้งานที่เงินเดือนน้อยกว่าวุฒิ การไขว่คว้าหาโอกาสในต่างประเทศก็ยังเป็นเหตุผลเดิมคือเหตุผลทางเศรษฐกิจ
สำหรับที่ จขกท บอกว่า บางคนเงินเดือนที่ได้ก็อยู่ในเกณฑ์ดีแล้วคือราว 2-3 หมื่นก็ยังพยายามเข้าไปอย่างผิดกฏหมาย ผมเชื่อว่านั่นเป็นเพราะความเข้าใจในสถานะการณ์ความเป็นจริงผิด แต่เพราะความที่อายุยังน้อยทุกคนต้องการทดลองเสี่ยง เมื่อเข้ามาแล้วและได้ประสบชีวิตจริงก็จะรู้และกลับออกไปเอง ขึ้นชื่อว่า "เสี่ยง" คนเหล่านี้ไม่ยอมรับรู้เงื่อนไขที่จะทำให้ตนเองต้องได้รับผลระยะยาวในภายภาคหน้า
การที่มนุษย์เราใช้อารมณ์ในการตัดสินใจย่อมขาดเหตุผลในการไตร่ตรองเสมอ ผลลัพธ์ที่เสี่ยงมานั้นต้องแลกกับค่าความเสียหายที่แพงมหาศาล แต่ความหวังที่คิดว่าตนเองจะได้รับโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าย่อมอยู่เหนือความกลัวในอันตรายใดๆ
ในอดีตยุคปี 1970 เป็นยุคเริ่มต้นคลื่นอพยพของคนไทยที่เข้าไปในอเมริกาจะเป็นกลุ่มแพทย์และพยาบาลเป็นหลัก การศึกษาของประชาชนไทยในยุคนั้นยังไม่เฟ้อเหมือนสมัยนี้ คนจบปริญญาตรีมีน้อยและมีงานรองรับเต็มที่สมฐานะการศึกษาและค่าตอบแทน การเดินทางไปต่างประเทศยังไม่ง่ายดายเหมือนปัจจุบัน คนที่จะไปต่างประเทศในยุคนั้นจึงต้องเป็นกลุ่มที่พอมีฐานะที่จะจุนเจือค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้
ค่านิยมของการไปรียนต่างประเทศเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อการศึกษาไทยเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าศึกษาในระดับปริญญาได้ง่ายดาย การหางานเริ่มแข่งขันกันมากขึ้นจนผลักดันให้กระแสที่ต้องขวนขวายไปต่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่ตนเองจะมีโอกาสดีกว่าคนอื่นๆ ในตลาดงาน
เรื่องนี้ จขกท เองก็เป็นคนหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้ย่อมเข้าใจสถานะการณ์นี้เป็นอย่างดี
จากเดิมที่เป็นคนไทยที่มีการศึกษาน้อยจริงๆ ที่มีโอกาสในประเทศไทยด้อยกว่าคนอื่นๆ จึงพยายามไปหาโอกาสชีวิตในต่างประเทศโดยยอมเข้าไปอย่างผิดกฏหมาย การหากินในยุคนั้นย่อมคุ้มค่าเงินและการลงทุน
ปัจจุบันสถานะการณ์กลับมาสู่วังวนเดิมที่เมื่อทุกคนจบปริญญากันเป็นส่วนใหญ่ในขณะที่ตลาดงานไม่ได้ขยายขึ้นมารองรับอย่างพอเพียง ถึงจบปริญญาในไทยก็หางานไม่ได้หรือได้งานที่เงินเดือนน้อยกว่าวุฒิ การไขว่คว้าหาโอกาสในต่างประเทศก็ยังเป็นเหตุผลเดิมคือเหตุผลทางเศรษฐกิจ
สำหรับที่ จขกท บอกว่า บางคนเงินเดือนที่ได้ก็อยู่ในเกณฑ์ดีแล้วคือราว 2-3 หมื่นก็ยังพยายามเข้าไปอย่างผิดกฏหมาย ผมเชื่อว่านั่นเป็นเพราะความเข้าใจในสถานะการณ์ความเป็นจริงผิด แต่เพราะความที่อายุยังน้อยทุกคนต้องการทดลองเสี่ยง เมื่อเข้ามาแล้วและได้ประสบชีวิตจริงก็จะรู้และกลับออกไปเอง ขึ้นชื่อว่า "เสี่ยง" คนเหล่านี้ไม่ยอมรับรู้เงื่อนไขที่จะทำให้ตนเองต้องได้รับผลระยะยาวในภายภาคหน้า
การที่มนุษย์เราใช้อารมณ์ในการตัดสินใจย่อมขาดเหตุผลในการไตร่ตรองเสมอ ผลลัพธ์ที่เสี่ยงมานั้นต้องแลกกับค่าความเสียหายที่แพงมหาศาล แต่ความหวังที่คิดว่าตนเองจะได้รับโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าย่อมอยู่เหนือความกลัวในอันตรายใดๆ
แสดงความคิดเห็น
ขอถามหน่อยครับ เกี่ยวกับ ... โรบินฮู้ด
เอาที่ตัวผมก่อนละกัน ผมอยู่เมกามาได้ก็ห้าหกปีได้แล้วมั๊ง ตามสเตปก็คือมาเรียนโท แล้วก็ได้งานตอนเรียนจบ "ไม่เคยทำอะไรที่ผิด กม. เลย" ไม่เคยทำร้านอาหาร ที่เค้าบอกว่ามาเรียนเมืองนอกทั้งทีต้องทำงานร้านอาหาร เหมือนเป็นเทรนด์ ผมไม่เคยทำเลยครับ คือมันผิด กม. อ่ะ ไม่เสี่ยง อะไรผิด กม ผมไม่เสี่ยงที่จะทำ แต่ต่อให้ผมไม่เคยทำผิด กม. ผมก็ไม่ได้มานั่งตำหนิคนทำผิดนะ ผมมองว่าชีวิตเลือกเดินเส้นทางไหนแล้วก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาหากอะไรมันเกิดขึ้น บางคนอาจจะชอบเสี่ยงหน่อย ส่วนตัวผมขอเซฟๆไปก่อนดีกว่า
ตอนเรียนก็ทำงานกับอาจารย์ อาทิตย์นึงทำได้ 20 ชม จบมาทำงานก็ได้งานในบริษัทดี เงินดีเลยแหล่ะ (จ่ายภาษีแต่ละเดือนน้ำตาจะไหล T_T) ชีวิตความเป็นอยู่ดีครับ หลังๆเริ่มอยู่ประหยัดขึ้นทำให้เงินเก็บมันงอกเงยเร็วหน่อย เพราะกังวลหากเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วจะไม่มีเงินสำรอง ... ยอมรับตามตรงเลยว่าอยากอยู่ที่นี่เพราะ เงิน + งาน + ชีวิตส่วนตัว มันดีกว่าตอนผมอยู่ไทย อยากที่จะถอนทุนคืนด้วย แต่ข้อเสียคือมีเหงาบ้าง และคิดถึงอาหารไทยแท้ๆ เงินที่ได้ทุกเดือนก็ส่งคืนพ่อแม่เป็นค่ากินอยู่เหมือนคนไทยหลายๆคน
พอดีวันนี้ได้ไปทานข้าวร้านอาหารไทย แล้วได้มีโอกาสคุยกับน้องพนักงานเสริฟคนนึง และได้เรียนรู้อะไรเยอะจากเค้าจริงๆ คือน้องเค้าก็โดดวีซ่าแหล่ะมาด้วยวีซ่าท่องเที่ยว เค้าก็บอกผมหมดนะ อยู่นี่มานานกว่าผมอีก 8 ปีนิดๆ รายได้ไม่คงที่แต่ก็พอมีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน (แชร์กับเพื่อนอีกคน) เงินที่เหลือก็สามารถเอามาใช้ซื้อของเล็กๆน้อยๆได้ เงินเก็บเค้าบอกผมมาว่ามีไม่เยอะ แต่ก็เหลือเก็บเยอะกว่าตอนอยู่ไทยและทะยอยๆเก็บเรื่อยๆ เค้าบอกผมว่าตอนเค้าอยู่เมืองไทยทำงานได้เงินเดือนหนึ่งหมื่นบาท เป็นลูกจ้าง เงินเดือนเคยจ่ายเลทด้วย และที่สำคัญคือไม่มีอนาคตในสายงานเลย ทำเยอะไปก็ไม่มีโอกาสเลื่อนขั้นด้วยเหตุผลในเรื่องของการศึกษา สุดท้ายเลยตัดสินใจโดดวีซ่ามาทำงานร้านอาหารที่นี่ เอาเงินที่เก็บจากไทยมาหมด อันนี้ผมเข้าใจได้นะ หากไม่วัดเรื่องที่เค้าทำมันผิด กม. มันก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่คือ ทำงาน(ในระดับเดียวกับที่เราเคยทำตอนอยู่ไทย) ใช้ชีวิต เก็บเงิน และส่งเงินให้ที่บ้าน
คือ ผมพอเข้าใจเหตุผลทำไมบางคนเค้าต้องทำผิด กม. นะ
1. นร. มาเรียนแล้วแอบทำงานร้านอาหาร: อันนี้ผมเข้าใจได้เพราะงานที่ รร มันหายาก ถ้าเป็นงานทั่วไปพวกห้องสมุด ห้องอาหาร โดนพวกจีนกับอินเดียคาบไปกินหมด พวกนี้เร็วมาก (ตัวผมโชคดีที่พอมีความรู้เฉพาะทาง อาจารย์เลยจ้าง เงินถือว่าดีกว่างานทั่วไปหน่อยนึง เรทต่อชั่วโมงก็น่าจะได้เยอะกว่าร้านอาหารนะ แต่ก็นั่นแหล่ะมันจำกัดอยู่แค่วีคละ 20 ชม) และเด็กพอมาเรียนมันก็อยากทำงานหาเงินค่าขนม ไว้เที่ยวบ้าง ไหนๆมาแล้ว
2. คนที่เมืองไทยไม่มีโอกาส ประกอบกับเงินเดือนน้อยมาก: อันนี้ก็เหมือนน้องที่ผมกล่าวมาข้างต้น คือมันเมคเซ้นส์ที่ถ้าอยู่ไทยแล้วทำงานไปวันๆ เงินเดือนก็น้อย โอกาสหน้าที่การงานไม่มี สู้ออกมาทำอย่างอื่นที่มันได้เงินเยอะกว่า และได้ใช้ชีวิตในเมืองนอกดีกว่า ... อารมณ์ว่าชีวิตมันมีสีสันกว่าอ่ะ เงินดีกว่าด้วย
สองข้อนี้ ผมเข้าใจเลย มันมีเหตุผลของมันชัดเจน แต่ที่ผมไม่เข้าใจและงงมากๆคือคือ น้องคนเสริฟเค้าเล่าให้ผมฟังว่า หลังๆมานี่เริ่มมีหลายคนที่จบ ป.ตรี ป.โท มหาลัยรัฐชื่อดังทั้งหลาย เริ่มมีทะยอยๆเข้ามาเป็นโรบินฮู้ด ซึ่งส่วนใหญ่ตอนอยู่ไทยก็มีงานการที่โอเค (เงินเดือนประมาณ 2หมื่นกลางๆ ถึงสามหมื่นกลางๆ) และถ้าทำงานไปเรื่อยๆก็มีโอกาสเจริญเติบโตเพราะเป็นงานบริษัท เงินเดือนมันก็ขึ้นตามตัว สถานะทางสังคมก็ดีกว่ามาทำงานร้านอาหาร
สำหรับผมที่ผมไม่เข้าใจหลักๆเลยคือ ต่อให้ทำงานที่นี่เงินมันเยอะกว่า แต่มันคุ้มเหรอที่เสี่ยงทิ้งงานตรงนั้น แลกกับการที่จะได้มาทำงานใช้แรงงานที่นี่ น้องคนเสริฟเค้าก็ไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงเหมือนกัน เพราะสิ่งที่คุณเสียไปมันคือ โอกาสเจริญก้าวหน้าในสายงานที่มันดีกว่า (ผมเรียกว่า opportunity cost ละกันน่าจะตรงความหมายกว่า) ไม่ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมา นี่ยังไม่นับครอบครัวที่ไม่ได้เห็นหน้าอีก ถ้ากลับไทยก็กลับเข้ามาใหม่ไม่ได้ ติด black list อีก
... ถือซะว่าให้ความรู้ผมหน่อยนะครับ บางครั้งผมก็อยากเรียนรู้ชีวิตคนไทยคนอื่นๆเหมือนกัน อยากให้คิดซะว่าแชร์ ปสก ชีวิตละกันครับ ผมอยากรู้จริงๆว่าคนเหล่านั้นเค้ามีเหตุผลยังไง ...