ว่าด้วยธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐาน หรือ ?

๔๓๐]  ป.   ไม่พึงกล่าวว่า    ธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐาน  หรือ ?
                         ส.   ถูกแล้ว.  
                         ป.   ปรารภธรรมทั้งปวงตั้งมั่นได้   มิใช่หรือ ?
                         ส.   หากว่าสติ  ปรารภธรรมทั้งปวง   ตั้งมั่นได้ ด้วย
เหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า    ธรรมทั้งปวงเป็นสติ
ปัฏฐาน.

           [๔๓๑]   ส.   เพราะสติปรารภธรรมทั้งปวงตั้งมั่นได้    ฉะนั้น
                               ธรรมทั้งปวงจึงชื่อว่า   สติปัฏฐาน   หรือ ?
                         ป.   ถูกแล้ว.
                         ส.   เพราะผัสสะปรารภธรรมทั้งปวงตั้งมั่นได้  ฉะนั้น
                               ธรรมทั้งปวงจึงชื่อว่า  ผัสสปัฏฐาน  หรือ ?
                         ป.   ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น   ฯ ล ฯ

           [๔๓๒]  ส.   เพราะสติปรารภธรรมทั้งปวงตั้งมั่นได้    ฉะนั้น
                               ธรรมทั้งปวงจึงชื่อว่า   สติปัฏฐาน  หรือ ?
                         ป.   ถูกแล้ว.
                         ส.   เพราะเวทนา ฯ ล ฯ  สัญญา  ฯ ล ฯ  เจตนา  ฯ ล ฯ  
จิตปรารภธรรมทั้งปวง  ตั้งมั่นได้  ฉะนั้นธรรมทั้งปวงจึงชื่อว่า  จิตต-
ปัฏฐาน  หรือ ?
                         ป.  ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น   ฯ ล ฯ
           [๔๓๓]  ส.   ธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐาน  หรือ ?
                         ป.   ถูกแล้ว.
                         ส.   สัตว์ทั้งปวงเป็นผู้ตั้งสติมั่น  เป็นผู้ประกอบด้วย สติ  เป็นผู้มั่นคงด้วยสติ    
สติเป็นธรรมชาติเข้าไปตั้งมั่นแก่สัตว์ทั้งปวง
หรือ  ?
                         ป.   ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น   ฯ ล ฯ  
           [๔๓๔]  ส.   ธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐาน   หรือ ?
                         ป.   ถูกแล้ว.  
                         ส.   พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า     ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย  ชนเหล่าใดไม่ได้บริโภคกายคตาสติ   ชนเหล่านั้นไม่ได้
บริโภคอมตะ     ชนเหล่าใดบริโภคกายคตาสติ     ชนเหล่านั้นได้
บริโภคอมตะ   ดังนี้๑     เป็นสูตรมีอยู่จริง   มิใช่หรือ  ?
                         ป.   ถูกแล้ว.
                         ส.   สัตว์ทั้งปวงเจริญ  ปฏิบัติ  เสพ  อบรมทำให้มาก
                               ซึ่งกายคตาสติ   หรือ ?
                         ป.   ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น   ฯ ล ฯ

           [๔๓๕]  ส.   ธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐาน   หรือ ?
                         ป.   ถูกแล้ว.
                         ส.   พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า     ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย  นี้มรรคเป็นเอกายนะทางอันเอก  เพื่อความบริสุทธิ์แห่ง
สัตว์ทั้งหลาย   เพื่อความก้าวล่วงซึ่งโสกะปริเทวะ เพื่อความสาป-
สูญแห่งทุกข์และโทมนัส  เพื่อบรรลุอริยมรรค  เครื่องออกไปจาก
๑.  องฺ.  เอก.  ๒๐/๒๓๕ ทุกข์    เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน    นี้คือสติปัฏฐานทั้ง  ๔   ดังนี้๑
เป็นสูตรมีอยู่จริง   มิใช่หรือ ?  
                         ป.   ถูกแล้ว.
                         ส.   ธรรมทั้งปวงเป็นเอกายมรรค   หรือ  ?
                         ป.   ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น   ฯลฯ
           [๔๓๖]  ส.   ธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐาน  หรือ ?
                         ป.   ถูกแล้ว.
                         ส.  พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า     ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย   รัตนะ    ๗    ประการ  ย่อมปรากฏ  เพราะความปรากฏแห่ง
พระเจ้าจักรพรรดิ  ๗ ประการเป็นไฉน     จักรรัตนะ   คือจักรแก้ว
ปรากฏ  ๑  หัตถิรัตนะ  คือช้างแก้ว  ปรากฏ  ๑  อัสสรัตนะคือม้าแก้ว
ปรากฏ  ๑     มณีรัตนะ    คือดวงมณีแล้ว   ปรากฏ       อิตถีรัตนะ
คือนางแก้ว  ปรากฏ  ๑  คหปฏิรัตนะ คือคหบดีแก้ว  ปรากฏ  ๑
ปริณายกรัตนะ    คือขุนพลแก้ว  ปรากฏ    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รัตนะ  ๗   ประการ    เหล่านี้ย่อมปรากฏ    เพราะความปรากฏแห่ง
พระเจ้าจักรพรรดิ.

           ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  รัตนะคือโพชฌงค์(เป็นองค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ )
๗ ประการ  ย่อม
ปรากฏเพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ
๗  ประการ  เป็นไฉน รัตนะคือสติสัมโพชฌงค์ปรากฏ ๑  รัตนะ
คือธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ปรากฏ  ๑       รัตนะคือวิริยสัมโพชฌงค์ปรากฏ  ๑
  รัตนะคือปีติสัมโพชฌงค์ปรากฏ ๑  รัตนะคือปัสสัทธิ
สัมโพชฌงค์ปรากฏ ๑ รัตนะคือสมาธิสัมโพชฌงค์ปรากฏ  ๑ รัตนะ  
คืออุเบกขาสัมโพชฌงค์ปรากฏ ๑   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  รัตนะคือ
โพชฌงค์ ๗  ประการเหล่านี้  ย่อมปรากฏ  เพราะความปรากฏแห่ง
พระตถาคต    ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ     ดังนี้๑  เป็นสูตรมีอยู่จริง
มิใช่หรือ  ?
                         ป.   ถูกแล้ว.  
                         ส.   ธรรมทั้งปวงเป็นรัตนะคือสติสัมโพชฌงค์ปรากฏ
เพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า   หรือ ?
                         ป.   ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น   ฯ ล ฯ
                         ส.   ธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐาน   หรือ ?
                         ป.   ถูกแล้ว.
                         ส.   ธรรมทั้งปวงเป็นสัมมัปปธาน     ฯ ล ฯ     เป็น
อิทธิบาท  ฯลฯ  เป็นอินทีย์  ฯ ล ฯ  เป็นพละ   ฯ ล ฯ  เป็นสัมโพชฌงค์
หรือ ?
                         ป.   ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น   ฯ ล ฯ
                                     สติปัฏฐานกถา  จบ
๑. สํ.  มหา.  ๑๙/๕๐๕,๕๐๖
๑.  ม.ม.  ๑๓/๑๓๒

บัดนี้  ชื่อว่าเรื่องสติปัฏฐาน.  ในเรื่องนั้น  ลัทธิแห่งชนเหล่าใด
ว่า       ธรรมทั้งปวงเป็นสติปัฏฐาน       เพราะถือเอาธรรมทั้งหลายมีกาย
เป็นต้นเป็นอารมณ์ด้วยสติ   โดยนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในสติ-
ปัฏฐานสังยุตว่า  จตุนฺนํ  สติปฏฺานานํ  ภิกฺขเว  สมุทยญฺจ  อตฺถงฺค-  
มญฺจ      เทสิสฺสามิ     ดังนี้ {อภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ ภาคที่ ๑}
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่