ความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับ "บุพเพสันนิวาส"

เนื้อหายาว หากไม่ชอบอ่าน โปรดข้าม

ปกติเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ นิยายก็อ่านและส่วนใหญ่จะเป็นแนวที่เป็นประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็ตามแต่ ถ้าหากดูก็จะดูหนังหรือภาพยนตร์มากกว่าการดูละคร เพราะหนังดูรวดเดียวจบ ผิดกับละครที่ต้องรอคอยที่ต้องติดตาม

ละครเรื่องสุดท้ายที่ดูแบบติดตามทุกตอนไม่ขาดสำหรับตัวเองก็เป็นเรื่องที่ออนแอร์นานมาแล้วหลายปีมาก ทีวีก็ไม่ค่อยดูนอกจากข่าวหรือมีรายการพิเศษอะไรน่าสนใจ เนื่องจากงานที่ทำก็ต้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว

จนเมื่อปีก่อนที่มีรายการปิดหน้าร้องเพลงเข้ามาเป็นกระแสให้คนพูดถึงจึงได้เข้ามาติดตามดู และเป็น EP กลางๆ เกือบท้ายแล้ว แต่แน่นอนพอดูซีซั่นต่อมาเรื่อยๆ มันก็เริ่มไม่มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจก็เลยห่างๆ จากทีวีอีกรอบแต่ก็ยังเปิดดูอยู่บ้างในวันที่ต้องการความบันเทิง เพียงแค่ไม่ได้ติดหนึบหนับแบบต้องดูทุกตอน

กระทั่งตอนนี้คืนวันพุธ – พฤหัสบดีตอนสองทุ่มกลับต้องมานั่งรอที่หน้าจอทีวีอีกครั้ง ซึ่งส่วนตัวไม่คิดว่าจะต้องมาติดละครเรื่องไหนอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องมาติดตาม “บุพเพสันนิวาส” ต้องขอออกตัวว่าไม่ได้ติดตามดูตั้งแต่ตอนแรก แต่ได้ดูตอนที่ 2 และเป็นการมานั่งดูเพราะภรรยาบังคับ แต่เมื่อเริ่มดูแล้วกลับลุกไปไหนไม่ได้ซะอย่างนั้น แต่ตอน 2 ที่ดูก็ไม่ได้รู้สึกว่าพลาดอะไรไป แต่ภรรยาก็ยังย้ำตลอดว่าให้ไปหาดูตอนแรกย้อนหลังซะ แต่คุณเธอก็พยายามเล่าฉากที่เกศสุรางค์เพิ่งมาเข้าร่างการะเกดให้ฟัง ผมก็รับปากส่งๆ ไปว่าเดี๋ยวค่อยไปหาดู

ในตอนที่ 2 มีตัวละครที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ออก นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกอยากติดตามละครเรื่องนี้ได้ไม่ยาก และหลังจากนั้นทุกอย่างในละครก็ถูกพูดถึงกันเป็นวงกว้าง และก็ทำให้ผมเกิดความสงสัยว่ามีคนสนใจเยอะเพราะอะไร ได้เห็นมีคนวิเคราะห์องค์ประกอบที่ทำให้ละครดังออกมา ผมก็จำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง เอาเท่าที่จำได้ก็คือบอกว่าเนื้อหาของเรื่องมีจุดแข็งและแปลกใหม่ ข้อนี้คือใช่เลย ไม่ต้องดูอื่นไกลตัวนางเอกนั่นเอง ส่วนตัวผมว่านางเอกเรื่องนี้ไม่เหมือนแบบฉบับของนางเอกทั่วไปดี เพราะส่วนใหญ่นางเอกก็จะประมาณแก่นเซี้ยว ไม่ก็เรียบร้อยแสนดี มีที่เป็นแบบห้าวแข็งบ้างแต่ก็น้อย

ส่วนตัวผมว่านิยายแนวย้อนเวลาก็มีให้เห็นอยู่ ทั้งทวิภพ ทั้งบ่วงบรรจถรณ์ แต่เรื่องบุพเพสันนิวาสนี้ที่ผมว่ามีจุดแข็งคือเป็นยุคสมัยที่ไม่เหมือนในนิยายเรื่องอื่นๆ (หรือว่าผมยังอ่านนิยายน้อยไปก็ไม่รู้นะ) ยิ่งเป็นของคุณรอมแพง ผมเคยอ่านแค่เรื่องเดียวคือเรื่องพรายพรหมแต่ผมว่านี่เป็นข้อได้เปรียบของผมที่ไม่ต้องมีข้อเปรียบเทียบระหว่างฉบับนิยายกับละคร ส่วนเนื้อเรื่องพรายพรหมเป็นยังไงนั้น ผมไม่ขอสปอยละกันนะ เผื่อมีคนกำลังอ่านอยู่เดี๋ยวผมจะถูกก่นด่าเอา

ที่มาเขียนอะไรยืดยาวอยู่นี่ก็เพราะอยากแสดงความคิดเห็นบ้างหลังจากที่ติดตามกระทู้ต่างๆ ในนี้มา จนมาถึงตอนที่ 9 -10 ของสัปดาห์นี้ ก่อนอื่นเลยคือเรื่องการแสดงของนักแสดงในเรื่องทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็กแม้แต่ตัวประกอบ ทุกคนแสดงได้กลมกลืนเป็นธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ จะมีขัดๆ หน่อยในเรื่องวิธีการพูดของคุณซูซี่แต่ก็พอเข้าใจได้ นักแสดงรุ่นใหญ่ทุกท่านผมว่าดูพอเหมาะพอดีในด้านแสดงอารมณ์ สีหน้าแววตาพาคนดูคล้อยตามได้แบบไม่ต้องพยายาม และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือฉากปะทะอารมณ์ของพระเพทราชากับสมเด็จพระนารายณ์ แต่ผมกลับรู้สึกชอบฉากที่พระโหราธิบดีไปเยี่ยมท่านเหล็กที่เรือนก่อนที่ท่านเหล็กจะเสียชีวิต สีหน้าและแววตาของคุณหนิง นิรุตต์นั้น ไม่ต้องใช้คำพูดอะไรเลยแต่มันบอกว่ากำลังเสียใจ อยากช่วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อพูดถึงเรื่องการแสดงทางแววตาผมก็อยากยกตัวอย่างนักแสดงท่านหนึ่งที่ทำผมตราตรึงใจมาจนทุกวันนี้นั่นคือคุณอ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ที่แสดงเป็นท่านผู้นำในเรื่องโหมโรง ฉากที่ผมชื่นชอบคือตอนที่ท่านผู้นำเข้าไปถกเถียงกับครูศรในบ้าน ตอนที่ลากลับขณะที่ท่านผู้นำขึ้นนั่งบนรถและกำลังเคลื่อนออกจากบ้าน ครูศรเดินไปตีระนาด สายตาของคุณอ๊อฟตอนที่เดินออกมาแข็งกร้าวแม้แต่ตอนที่นั่งอยู่บนรถ แต่เมื่อได้ยินเสียงระนาดอันอ่อนหวานไพเราะสายตานั้นก็อ่อนลง เป็นการเปลี่ยนอารมณ์ด้วยสายตาที่ผมประทับใจมากๆ อีกคนคือคุณโก๊ะตี๋จากเรื่องน้ำ ผีนองสยองขวัญ ไม่แน่ใจว่าเป็นฉากตอนไหนแต่อารมณ์ที่คุณโก๊ะแสดงก็จะเป็นการเปลี่ยนอารมณ์ด้วยสายตาเช่นกัน และก็ได้มาเห็นสายตาของคุณโป๊ปที่แสดงในเรื่องนี้ในตอนที่ 10 และอีกหลายๆ ตอนแม้จะไม่ได้เห็นการเปลี่ยนอารมณ์แบบฉับพลันทางสายตา แต่การสื่ออารมณ์ทางตาที่ไม่ต้องมีคำพูด ผมยอมรับว่าคุณโป๊ปแสดงได้ละเอียดดีจริงๆ

ด้านองค์ประกอบโดยรวมต่างๆ โอเค มีผิดพลาดบ้างแต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมเพราะผมสนใจดูเนื้อหา ส่วนคนที่ชอบการจับผิดและคิดว่ามันสนุกอันนั้นก็สุดแล้วแต่...

และที่ผมชอบมากของละครเรื่องนี้คือด้านเสียง ทั้งเพลง และเสียงที่ใช้ประกอบ อย่างตอนที่เกศสุรางค์ในร่างของการะเกดทำผมประหลาดเพื่อไปวัด ภาพของสองบ่าวที่หมอบอยู่หน้าห้อง มองเท้าของแม่นายและค่อยๆ เงยขึ้น เสียงประกอบเป็นดนตรีไพเราะแสดงความงดงาม แต่พอภาพเลื่อนขึ้นมาถึงทรงผมของแม่นายเพลงก็ Fade ลงไปเป็นเสียงเหมือนเทปยืด ส่วนตัวผมว่ามันทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมมากขึ้น

ในตอนที่ 10 ที่มีหลายคนติโน่นตินี่ ที่ว่าทำไมต้องมีผีการะเกดออกมา ที่ว่าเกศสุรางค์ในร่างการะเกดไม่มีมารยาทต่อหน้าหลวงสรศักดิ์ ที่ว่าละครไม่เหมือนนิยาย ข้อนี้ผมไม่รู้หรอกว่าเหมือนไม่เหมือนยังไงเพราะยังไม่ได้อ่าน แต่เท่าที่เคยฟังสัมภาษณ์ของคุณรอมแพง เธอบอกว่าชอบที่เป็นแบบละครมากเพราะอาจารย์แดง ศัลยาแก้จุดที่แบน(พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือไม่มีมิติ)ของนิยายให้ดูกลมมีเหตุมีผลมากขึ้น ซึ่งผมมองว่าอันนี้มันเป็นคำตอบของการที่ว่าทำไมต้องมีผีการะเกดออกมา จริงๆ ผมไม่ได้อยากถูกสปอยตอนต่อไปเลย แต่เพราะอยู่ในนี้มันจึงเลี่ยงไม่ได้และได้เห็นรูปถ่ายบทโทรทัศน์ของอาจารย์ นั่นเองคือคำตอบทุกอย่างว่าทำไมต้องมีผีการะเกดออกมา ผมไม่รู้ว่าในนิยายนั้นเขียนบทนี้มาว่ายังไง แต่หากให้ผมคิดก็จะขอเข้าใจง่ายๆ ตามความคิดผมว่า หากในนิยายเป็นแค่ความคิดของนางเอกที่ว่าเธอจะอยู่ในร่างนี้ได้อีกนานมั้ย จะได้สมรักกับพระเอกหรือเปล่า ถ้าเป็นละครแล้วต้องให้นางเอกมานั่งคิด นั่งพูดคนเดียวผมก็คิดว่ามันจะเกร่อไป แต่การที่อาจารย์แดงเอาผีมาโยงและอธิบายความรู้สึกทุกอย่างของนางเอกเสียแทน นี่สิผมว่ามันดูกลมกว่า ส่วนเรื่องที่ไม่มีมารยาทต่อหน้าหลวงสรศักดิ์ ผมว่าเป็นแบบนี้ก็ดูพอเหมาะแล้ว ลองคิดดูง่ายๆ ว่าหากคุณเป็นนางเอกแล้วจู่ๆ มานั่งเจี๋ยมเจี้ยมต่อหน้าหลวงท่าน คนรอบข้างก็จะสงสัยอีกว่าทำไมต้องแสดงท่าทางแบบนั้น และแน่นอนว่ามันต้องมีคำถามต่อไปซึ่งมันจะต้องลากยาวไปถึงเรื่องอนาคตจนต้องมาตอบคำถามกันอีกว่าทำไมถึงรู้ เหมือนๆ กับเรื่องท่านเหล็กที่เป็นประเด็นว่าทำไมการะเกดต้องเป็นห่วงจนทั้งพ่อพระเอกและพระเอกสงสัย หากสังเกตการแสดงท่าทางของนางเอกในฉากนี้คือเธอไม่ได้สบตากับหลวงท่านตรงๆ เลยนอกจากตอนไหว้ แม้แต่ตอนที่เรียก “หนุ่มๆ” เธอก็หันไปทางขุนเรือง มีคนบอกว่าพอนางเอกบอกให้พาไปวัดแล้วหลวงท่านกับขุนเรืองเบือนหน้าหนี ถ้าดูจังหวะดีๆ จะเห็นว่าทั้งสองคนมองหน้านางเอกและยิ้มตามวิสัยของผู้ชาย แต่ที่ต้องเบือนหน้าหนีนั่นเพราะพระเอกกระแทกถ้วยชาลงกับโต๊ะต่างหาก

เอาเป็นว่าส่วนตัวผมถูกใจและชื่นชอบละครเรื่องนี้มาก  และไม่ใช่ว่าชอบมากเลยไม่มีเรื่องให้ติ แต่เพราะเรื่องที่ให้ติมันน้อยนิดมากหากเทียบกับองค์รวมใหญ่ที่ดีของเรื่องทั้งหมด

นี่ก็ลงทุนไปซื้ออีบุ๊กมาแล้วเพราะเห็นบอกว่าเป็นเล่มต้องรอคิวนานแต่ก็ยังไม่ได้อ่านนะครับ กะว่าจะรอตอนที่ละครจบแล้วค่อยอ่าน แต่ตอนที่เสิร์ซเพื่อหาซื้อบุพเพสันนิวาสมาอ่านนั้น ได้เรื่องอื่นมาด้วยและมีโอกาสได้อ่านก่อนซึ่งก็สนุกดีเป็นแนวย้อนยุคตามความชอบส่วนตัว หากชอบแนวเดียวกันและอยากรู้ว่าเรื่องไหนลองไปค้นหาคำว่า “บุพเพ” ได้ครับ ไม่อยากนำเสนอชื่อเดี๋ยวจะคิดว่าชี้แนะเพราะมีส่วนได้ส่วนเสีย แต่เรื่องที่อ่านอยู่นี้ผมชอบที่มีการสอดแทรกธรรมะและมีคำคมเปรียบเทียบ แสดงให้เห็นถึงเวรกรรมได้ชัดดี

เขียนมาเสียยืดยาวยังไงก็ขอจบเท่านี้นะครับ หากมีอะไรน่าสนใจอีกคงมีโอกาสได้มาเขียนอะไรยาวๆ อีกครั้ง

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่