Helicopter Parents ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง

กระทู้สนทนา
กระทู้นี้ไม่สนับสนุนการโจมตี สร้างความแตกแยก หรือแสดงความอกตัญญูต่อสถาบันครอบครัว แต่อย่างใด

Helicopter Parents คือพ่อแม่ที่คอยควบคุมลูก (แม้บรรลุนิติภาวะแล้ว) ยังนอนห้องลูก ลูกไม่มีพื้นที่ส่วนตัว
พ่อแม่พวกนี้ มีความเห็นต่างจากลูก และออกความคิดเห็นที่ลูกไม่ได้ร้องขอ แถมบังคับลูกให้ทำตาม
พ่อแม่พวกนี้ อาจเลี้ยงดูลูก (ทางกาย) ดี แต่ไม่คำนึงถึงจิตใจของลูกเท่าที่ควร โดยเฉพาะกรณีสภาพจิตใจของลูกที่ถูกรังแก
พ่อแม่พวกนี้ ชอบมองการแก้ปัญหาของสถานการณ์ ว่าเป็นการแก้แค้น ทั้งที่วิธีการแก้ปัญหา ไม่มีผลต่อคนที่มารังแก เพียงแต่เยียวยาสภาพจิตใจให้กลับมาเบิกบานเช่นเดิม และข้าวของต่าง ๆ ที่ถูกทำลายให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเท่านั้น
พ่อแม่พวกนี้ ไม่เคารพสิทธิทางศาสนา สิทธิในร่างกาย หรือสิทธิใด ๆ ของพลเมืองเท่าที่ควร
เมื่อลูกบอกว่าอยากไม่มีศาสนา ก็จะยัดเยียดศาสนาตัวเองให้ลูกนับถือ
ฯลฯ

พ่อแม่ชอบบอกว่าลูกมีแต่นิติภาวะ แต่ไม่มีวุฒิภาวะ ทั้งที่ลูก ๆ ก็มีวุฒิภาวะในสิทธิ เสรีภาพ บทบาท และหน้าที่เต็มที่
สิทธิ ที่จะแสดงออกในสังคม
เสรีภาพ ที่จะเป็นตัวของตัวเอง
บทบาท ในฐานะพลเมืองของสังคม
หน้าที่ ของลูกที่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และพ่อแม่
ความรับผิดชอบ ทางจริยธรรมต่อประเด็นต่าง ๆ ในสังคม

หากลูกของท่าน ถูกเอาเปรียบ โดยครู อาจารย์ หรือ พนักงานบริหาร (ซึ่งไม่ได้หมายถึงทุกท่านแน่ ๆ เพราะผู้ถ่ายทอดดี ๆ พบเห็นได้ทั่วไป) ที่สถาบันการศึกษา หรือที่ทำงาน หรือถูกรังแก โดยเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน หรือสนามแข่งขัน (ที่พ่อ ๆ แม่ ๆ ยัดเยียดให้ไป)
แล้วมาถูกพ่อแม่ย่ำยีซ้ำอีกที จะดีหรือ

หากลูกเรียนจบจากสถาบันการศึกษา ไม่ว่าจะระดับใด หรือวุฒิใดก็ตาม แล้วพ่อแม่บอกว่า ลูกต้องอดทนกับการทำงานในองค์กร เจ้าของกระทู้ก็ยอมรับว่า ลูกก็ต้องปรับตัวเข้ากับองค์กรให้ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าลูกไม่สามารถปรับตัวเข้าได้ เพราะพบว่ามีการเอาเปรียบพนักงานในองค์กร หรือองค์กรนี้ยอมรับการฉ้อโกง เอาเปรียบ หรือรังแก แล้วลูกต้องการออกจากองค์กร เพราะไม่อยากทำงานให้คนไม่ดี โดยจะออกมาประกอบอาชีพอื่น ในองค์กรอื่น หรือทำธุรกิจส่วนตัว พ่อแม่ก็บอกว่า ลูกต้องยอมรับ ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ต้องอดทน แต่ลูกรู้ว่า ถ้าทนให้เขาเอาเปรียบหรือฉ้อโกงต่อไป ลูกก็จะไม่มีความสุข การสอนให้ลูกอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อคนที่เอาเปรียบ ฉ้อโกง หรือต้องการใช้เป็นที่ระบายอารมณ์ โดยไม่สอนวิธีบริหารความเสี่ยงจากคนชั่วเหล่านี้ คือการรังแกลูกทางอ้อม

กรณีต่อมา ลูกอยากทำกิจกรรมจิตอาสา หรือแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นในสังคม (ไม่ว่าจะการเมืองหรือไม่) พ่อแม่ก็ค้าน บอกว่าให้ลูกอดทน ทั้งที่ลูกรู้ว่าต้องอดทน แต่ถ้าบางสิ่งในสังคมยังมีจุดอ่อน ความอดทนก็จะพ่ายต่อการยอมจำนนต่อปัญหา เช่น ช่องโหว่ทางกฎหมายต่าง ๆ ความไม่เท่าเทียมในสังคม หรือการรังแกในสถานศึกษาและที่ทำงาน กรณีจิตอาสา พ่อแม่บางคนเรียกร้องให้ลูกดูแลคนในบ้านก่อน โดยไม่คำนึงถึงบทบาทลูกต่อสังคมเลย

พ่อแม่ก็ไม่ยอมรับวิธีการแก้ปัญหาของลูก โดยการยัดเยียดความเป็นออทิสติกหรือแอสเพอร์เกอร์ให้ลูก ทั้งที่ลูกต้องการทวงคืนสิ่งที่อาชญากรหรืออันธพาลพรากไป เช่น ความมั่นใจในตัวเอง สมาธิในการเรียน ความคิดสร้างสรรค์ (หลักจากลูกเป็นเหยื่อของการรังแก) โดยวิธีที่จะต้องทำมากกว่าคนที่ไม่ถูกรังแกจนเด่นขึ้นมาในสังคม แต่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครเลย ของหายใครก็อยากได้คืน หรือสร้างใหม่กันทั้งนั้น แล้วทำไมพ่อแม่ไม่เคารพวิธีที่ลูกต้องการจะต่อสู้กับคนที่มาทำร้ายลูก บอกว่าให้อภัยแล้วจบหรือ ปัญหาที่เกิดจากการถูกรังแกไม่จบแค่การให้อภัย แต่จบที่การยอมรับ หรือการซ่อมแซมความเสียหายจากการถูกรังแก พ่อแม่ชอบเร่งให้ลูกเรียนอะไรบางอย่าง พอลูกรายงานว่าความล่าช้าเกิดจากการถูกรังแก พ่อแม่พวกนี้ก็ไม่สนใจแผลจากการรังแก หรือยอมรับความเสียหาย (ความล่าช้า) จากการมีคนป่วนระบบการเรียน อันนี้ก็รังแกลูกซ้ำ

หากลูกไปแข่งวิชาการ แล้วถูกดูถูกโดยคนที่กรรมการจะตัดสินว่าชนะ และถูกกรรมการตัดสินว่าแพ้ และหมดสิทธิการเข้าแข่งขันซ้ำ ตามกฎกติกาที่ลูกยอมรับ
ลูกต้องการแก้ปัญหาโดยการฝึกให้มากกว่าก่อนที่จะไปแข่ง แต่พ่อแม่ จากเดิมที่กวดขันให้ลูกฝึกฝนวิชาการเพื่อไปแข่งขันจนลูกอ่านไม่ไหว กลับห้ามปรามลูกจากการศึกษาวิชาการนั้น ๆ  อย่างจริงจังเพื่อเยียวยาจิตใจจากการดูถูกที่การแข่งขัน เพียงเพราะองค์ความรู้ไม่สามารถใช้แข่งขันได้แล้ว ลูกรู้กติกาการแข่งขันดี ว่ากลับไปแข่งไม่ได้ เพราะอายุเกิน แต่ตั้งใจฝึกฝน เพราะอยากบรรลุความรู้ทางวิชาการนั้น และอยากลบคำดูถูกของผู้ชนะ โดยการเอาชนะจุดอ่อนทางวิชาการของตัวเอง แต่ต้องมาสู้กับพ่อแม่เพื่อไปถึงจุดที่สามารถทำตามใจอยาก งานนี้ลูกถูกรังแกซ้ำสอง คือ นอกจากจะพ่ายต่อการแข่งขันโดยต้องแพ้นักเรียนที่มีพฤติกรรมเยี่ยงอันธพาลแล้ว ยังแพ้พ่อแม่อีก อันนี้ยังแสดงให้เห็นว่า พ่อแม่ไม่ได้เห็นความสำคัญของวิชาการไปมากกว่าเพื่อการแข่งขันเลย

อีกกรณีหนึ่ง ลูกอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่พ่อแม่ก็จะเข้ามาแทรกแซงการตัดสินใจในชีวิต คิดดูละกัน ว่ากว่าจะพ้นกฎทรงโรงเรียนมาได้ มันนานไหม ตั้งแต่ประถมยันมัธยม พอขึ้นมหาวิทยาลัย ลูกจะไว้ผมยาว (หางม้า) จากที่ลูกชายเคยได้ไว้แค่รองทรง และลูกสาวเคยได้แค่ไว้บ็อบ แต่พ่อแม่ตั้งกฎบ้านขึ้นมาเพื่อปรามลูก นอกจากทรงผมแล้ว ยังบังคับสาขาวิชาที่เรียน ลูกบางคนก็กบฎ บางคนก็เรียน แต่มีข้อแม้ว่า ถ้ามีเวลาว่างจากการศึกษา อยากจะเรียนวิชาที่ลูกอยากเรียนด้วยตัวเอง แต่พ่อแม่ก็จะบอกว่า ลูกต้องพักผ่อนจากการเรียน โดยมีกิจกรรมที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้ (ทั้งที่ตอนนี้การพักพ่อนที่แท้จริงคือการเรียนวิชาที่ลูกอยากเรียน ไม่ใช่ที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้เลย) บางทีลูกต้องนอนดึกเพื่อทำงานให้เสร็จทันกำหนด หรืออ่านหนังสืออย่างต่อเนื่อง เพราะสาขาวิชาที่พ่อแม่ยัดเยียดให้เรียนเองด้วยซ้ำ แต่พ่อแม่อยากนอนเร็ว ก็บังคับลูกให้นอนเร็วตาม ทั้งที่วงจรการนอนของวัยรุ่นกับผู้ใหญ่ไม่เหมือนกัน ลูกมีความเชื่อทางศาสนาต่างจากพ่อแม่ คือ นับถือคนศาสนา ลัทธิ ลูกอาจจะไม่นับถือศาสนาเลย หรือลัทธิ/ศาสนาเดียวกันแต่ต่างมุมมอง เช่น มองศาสนาพุทธจากคนละมิติ พ่อเน้นการปล่อยวาง โดยมองว่าการปล่อยวางเป็นหนทางสู่นิพพาน (พระพุทธเจ้า) แต่ลูกเน้นความเคารพตนเอง ผู้อื่น และสังคม โดยมองการเพิกเฉยเป็นภัยต่อสังคม (ไอน์สไตน์) ลูกไม่ได้ขัดแย้งกับพ่อ แต่พ่อบอกว่าทำไมลูกไม่ปล่อยวาง ลูกบอกว่า ปล่อยวางแล้ว ใช้กฎเกณฑ์สังคมเป็นแนวทางปฏิบัติ และต้องทำเพื่อความสงบสุขและระเบียบสังคม เป็นต้น

ลูกไม่เห็นด้วยกับการรังแกคน และรังแกสัตว์ เลยอยากจะกินอาหารมังสาวิรัติ หรืออย่างน้อยก็ลดเนื้อสัตว์บก นมวัว และไข่ไก่ลงบ้าง เพื่อเมตตาต่อสัตว์และคนที่อยู๋ในกระบวนการผลิต แต่พ่อแม่ก็ใช้ตรรกะเดียวกับที่ใช้กดขี่ลูกกับสภาพสังคม คือ สัตว์พวกนี้เกิดมาเพื่อเป็นอาหาร คนเกิดมาเพื่อรับใช้ระบบทุนนิยม  และลูกเกิดมาต้องเชื่อฟังพ่อแม่ และบอกว่าอาหารพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นพิษภัยอะไร

จนตอนนี้เจ้าของกระทู้เองก็นอนไม่หลับเพราะกังวลปัญหาระดับสังคมปัญหานี้ เลยขอฝากกระทู้นี้ไว้ก่อนนอน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่